พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

บทที่ 13 พระราชกรณียกิจด้านอักษรศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ และวัฒนธรรม

1. พระราชกรณียกิจทางด้านอักษรศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ (2523 : 176) ได้ให้คำจำกัดความคำว่า งานอักษรศาสตร์ ดังนี้ “… งานอักษรศาสตร์นั้น แท้จริงย่อมหมายถึงงานด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับศิลปะ ภาษาและวัฒนธรรม …”

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีความสนพระราชหฤทัยในด้านอักษรศาสตร์ อาทิ

1.1 ทรงตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่รัชกาลที่ 9 หัวทรงเป็นตัวอย่างที่ดีแก่พสกนิกรทุกด้าน หากกล่าวเฉพาะด้านภาษาและหนังสือ จะเห็นได้จากพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่บุคคลต่างๆ ทั้งในสถาบันราชการและเอกชนในโอกาสและสถานที่ต่างๆ ล้วนเหมาะแก่บุคคล เหมาะแก่โอกาสและเหมาะแก่สถานการณ์ ทั้งในการพระราชทานพระราชดำริและในการใช้ภาษา คำแต่ละคำมีความหมายสำนวนภาษาเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งกินความ ทรงประณีตมากในการใช้ถ้อยคำและสำนวนภาษา ดังตอนหนึ่งดังนี้

“… ท่านจะต้องไม่ลืมว่าตัวเป็นคนไทย ไทยเรามีความเจริญของเราเองมาช้านานแล้ว ซึ่งล้วนเป็นแก่นสาร เป็นประโยชน์ยั่งยืน และเหมาะสมแก่คนไทย สิ่งใดที่เรามีดีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องแสวงหาสิ่งอื่นมาแทน ถ้าเราสามารถรับสิ่งที่เรายังขาดอยู่ และที่เราจะนำมาปรับปรุงใช้ให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองได้ ก็สมควร… ” ( พระบรมราโชวาท พระราชทานแด่อาสามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 45 วันศุกร์ที่ 2 ถึง วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2511)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัส เกี่ยวกับความสำคัญของภาษาไทย ในวโรกาสต่างๆ อยู่เสมอ ดังเช่นพระบรมราโชวาทต่างๆ ดังต่อไปนี้

“ … ภาษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบ้านเมือง ขอให้ร่วมมือช่วยกันรักษามาตรฐานของภาษาไทยไว้อย่าให้ทรุดโทรม …”

“ … ภาษาไทย เราต้องหวงแหน เป็นภาษาของเราเองแต่โบราณกาล เราต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในการออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน รักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้คำ… ”

“ … คำใหม่ๆ จำเป็นทางวิชาการ แต่บางคำที่ง่ายๆ ก็ควรใช้คำเก่าๆ ของเราที่มีอยู่แล้ว ไม่ควรใช้คำบัญญัติใหม่ แต่คงเห็นจะไม่โก้พอ… ”

“ …ความร่ำรวยของภาษาไทยเรามีอยู่มาก แต่นึกกันไปเองว่าไม่รวย เลยต้องบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่ๆ การบัญญัติศัพท์นั้นจำเป็น แต่ก็อันตราย… ” (ภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยฯ, สมาคม. เพ็ญพระพิริยะเกินจะรำพัน. กรุงเทพฯ : สมาคมภาษาและหนังสือฯ, 2530 : 191)

เนื้อความในพระราชดำรัสดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชประสงค์ให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทย ช่วยกันรักษาให้เป็นภาษาที่ได้มาตรฐาน ไม่เกิดความเสื่อมโทรม การออกเสียงคำไทยต้องชัดเจน

และควรใช้คำไทยซึ่งมีความร่ำรวยอยู่มากนั้นให้บริสุทธิ์ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ โดยควรพิจารณาใช้คำเก่าที่มีอยู่แล้วจะเหมาะสมกว่า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงย้ำให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทย อีกตอนหนึ่งว่า

“ …ภาษาไทยนั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ภาษาทั้งหลายเป็นเครื่องมือของมนุษย์ชนิดหนึ่ง คือเป็นทางสำหรับแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งสวยงามอย่างหนึ่ง… ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ประเทศไทยนั้นมีภาษาของเราเอง ซึ่งต้องหวงแหน ประเทศใกล้เคียงของเราหลายประเทศมีภาษาของตนเอง แต่ว่าเขาก็ไม่ค่อยแข็งแรง เขาต้องพยายามหาทางที่จะสร้างภาษาของตนเองไว้ให้มั่นคง… ” (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะอักษรศาสตร์. 2507 : 5) และอีกตอนหนึ่งแสดงถึงความลุ่มลึก ในเรื่องของภาษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9  ดังนี้

“ …เมืองไทยของเราไม่เหมือนเมืองแขก ไม่เหมือนเมืองที่ใกล้เคียง… เมืองไทยเราโชคดี มีภาษาของเรา มีภาษาที่เราใช้ได้ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำลายเสีย แต่ของแขก ของประเทศใกล้เคียงนี้เขาต้องทำลายภาษาเดิมที่เขาพูดอยู่ เพราะว่ารักชาติ เราขอรักชาติขออย่าทำลายภาษาที่มีอยู่ แขกนั้นเขาอยู่ใต้อังกฤษมานานก็ต้องใช้ภาษาแบบอังกฤษมาตลอดเวลา แล้วก็อยู่คละกับปากีสถานเขาก็อยากแยกเรื่องชาติอีกแล้ว ไม่อยากตาม จะว่าตามก้นก็จะเป็นศัพท์หนังสือไปหน่อย ไม่อยากตามก้นปากีสถาน ปากีสถานไม่อยากตามก้นอินเดีย เลยทะเลาะกันใหญ่ เป็นเรื่องที่จะต้องแสดงศักดาแสนยานุภาพว่าตัวมีภาษาของตัว จนกระทั่งไม่รู้เรื่อง ก็ไม่รู้เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่าความรักชาติ… ” (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะอักษรศาสตร์. 2507 : 17)

ในการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชประสงค์ให้คนไทย ทั้งหลายมีความตระหนัก ในคุณค่าของภาษาไทย และมีความสำนึกที่จะใช้ภาษาไทยด้วยความรู้สึกนิยมชมชอบนั้น พระองค์จะทรงเป็นตัวอย่างที่ดีทางด้านการใช้ภาษาด้วย

ดังจะเห็นได้จากทุกครั้งที่พระองค์ได้พระราชทานพระราชดำรัสทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทรงใช้หลักวาทศิลป์อย่างครบถ้วน บางครั้งยังแทรกพระอารมณ์ขันด้วย เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงดนตรีเป็นการส่วนพระองค์ ณ หอประชุมแพทยาลัยศิริราชพยาบาล วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2514 พระองค์ก็ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นิสิตมหาวิทยาลัยมหิดล แสดงถึงพระอารมณ์ขัน แต่แฝงไว้ด้วยสาระที่ทรงเตือนทุกคน ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษาไทยตอนหนึ่งว่า

“ …ผู้ป่วยนั้นก็เป็นวัตถุที่อยู่ในเมืองไทย แล้วส่วนมากก็เป็นคนไทย ทั้งผู้ที่มาช่วยในการทำงานคือผู้ที่เป็นพนักงานในโรงพยาบาล ที่ไม่ใช่แพทย์ปริญญาหรือประกาศนียบัตรพยาบาล เป็นผู้ที่มาประกอบการทำงานนั่นก็เป็นคนไทย แต่ว่าทำไมป้ายที่จะเข้าไปในห้องน้ำจึงต้องเขียนเป็นภาษาฝรั่ง ภาษาไทยก็ไม่มี ถ้าอยากไปเข้าห้องน้ำก็ไปไม่ได้ แม้ภารโรงจะปัดกวาดพื้นก็ต้องอ่านภาษาฝรั่งเป็น จะได้ไปหาไม้กวาดมาได้ … ” (ชำนาญ รอดเหตุภัย, 2545 : 88-90)

1.2 ทรงสนพระราชหฤทัยด้านการใช้ภาษาและทรงมีความห่วงใยในภาษาของชาติ ดังพระราชดำรัสพระราชทานแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2502 เป็นใจความตอนหนึ่งดังนี้

… เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านการรักษาภาษานี้มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ ในการออกเสียง คือให้ออกเสียงถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ ในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำประกอบประโยคนับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สามคือ ความร่ำรวยในคำ ของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอจึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้ ในปัจจุบันปรากฏว่า ได้มีการใช้ถ้อยคำออกจะฟุ่มเฟือย และไม่ตรงกับความหมายอันแท้จริงอยู่เนืองๆ ทั้งการออกเสียงก็ไม่ถูกต้องตามอักขรวิธี ถ้าปล่อยให้เป็นดังนี้ ภาษาของเราก็จะมีแต่ทรุดโทรม ชาติไทยเรามีภาษาของเราใช้เอง เป็นสิ่งอันประเสริฐอยู่แล้ว เป็นมรดกอันมีค่าตกทอดมาถึงเรา ทุกคนจึงมีหน้าที่จะต้องรักษาไว้ ฉะนั้นขอให้บรรดานิสิตและบัณฑิต ตลอดจนครูอาจารย์ ได้ช่วยกันรักษาและส่งเสริมภาษาซึ่งเป็นอุปกรณ์และหลักประกัน เพื่อความเจริญของประเทศชาติ …”
พระราชดำรัสดังใจความที่ได้อัญเชิญมากล่าวไว้นี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ทรงฝากให้บัณฑิตและประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศทั้งหลายได้ตระหนักและเห็นความสำคัญว่า “ ภาษา ” แสดงความเป็นชาติอย่างไร ถ้าเราเป็นเจ้าของภาษาใช้ภาษาไม่ถูก ไม่ช่วยกันรักษาภาษาของชาติไว้ นั่นก็หมายถึงเราไม่รักษาประเทศชาติของเราด้วย ด้วยความสนพระทัยในเรื่องนี้ จึงได้ทรงมีพระราชกรณียกิจที่ประทับใจและผู้ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอย่างซาบซึ้ง ในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก นั่นก็คือ พระองค์ ได้เสด็จมาทรงเป็นองค์ผู้ดำเนินการอภิปราย ในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2505 เป็นการประชุมเพื่อปรึกษาหารือถึงปัญหาความเสื่อมโทรมและข้อบกพร่องในการศึกษาวิชาภาษาไทย

ในการประชุมครั้งนี้ ทรงมีพระราชดำรัสว่า

“ ก่อนอื่นต้องขอขอบใจและแสดงความยินดีที่มีต่อการตั้งชุมนุมภาษาไทยเพื่อรักษาและศึกษาเรื่องภาษาไทย และขอขอบใจที่ต้อนรับในวันนี้ ซึ่งท่านทั้งหลายไม่ได้เชิญมา แต่ว่าเชิญตัวเองมา เพราะสุดแสนจะทนทาน การที่มีชุมนุมภาษาไทยเป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่ง เพราะว่าภาษาไทยนั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ภาษาทั้งหลายเป็นเครื่องมือของมนุษย์ชนิดหนึ่ง คือ เป็นทางสำหรับแสดงความคิดความเห็นอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งสวยงามอย่างหนึ่ง เช่น ในทางวรรณคดี เป็นต้น ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ประเทศไทยนั้นมีภาษาของเราเองซึ่งต้องหวงแหน ”

จากพระราชดำรัสดังที่ได้อัญเชิญมานี้ ย่อมตระหนักได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระราชหฤทัยในเรื่องของภาษาประจำชาติเพียงใด ถ้าจะพิจารณาพระปรีชาสามารถในการวางเรียบเรียงถ้อยคำในการพูดแล้วจะเห็นว่า ทรงใช้คำเข้าใจง่าย และทรงแสดงให้เห็นดังพระราชอัธยาศัยอันดีที่มีพระมหากรุณาธิคุณต่ออาณาประชาราษฎร์ ดังความในพระราชดำรัสว่า “ ซึ่งท่านทั้งหลายไม่ได้เชิญมา แต่ว่าเชิญตัวเองมา เพราะสุดแสนจะทนทาน ” หากผู้ใดได้เข้าฟังการประชุมครั้งนี้ด้วยตนเองแล้ว ยากที่จะลืมในพระมหากรุณาธิคุณได้

ไม่แต่จะทรงห่วงใยภาษาเท่านั้น ทรงเป็นนักสังเกตที่ดีอีกด้วย ดังทรงมีพระราชดำรัสว่า

“ แต่ปัญหาเรื่องการออกเสียงนั้นก็อันตรายอย่างยิ่ง นึกถึงคำว่า “ มหาวิทยาลัย ” เดี๋ยวนี้ทางโทรทัศน์หรือทางวิทยุได้ยินว่า “ หมาวิทยาลัย ” กลายเป็น “ วิทยาลัยหมา ” ออกจะอันตรายซึ่งเรายอมไม่ได้ บางอย่างเรายอมได้อย่างคำว่า “ ฉัน ” ที่จริงเขียนว่า ฉัน แต่พูดว่า “ ชั้น ” ทั้งนั้นก็เป็นที่ยอมไว้บ้าง แต่บางทีก็เกินไปหน่อยกลายเป็นอย่างอื่น คำว่า “ น้าม ” เขียนว่า “ น้ำ ” แต่ออกเสียงว่า “ น้าม ” นี่เราก็ต้องยอมบ้าง อย่างนี้ไม่เป็นไร แต่คำว่า มหาวิทยาลัยเราอย่ายอม ”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชปรารภถึงการบัญญัติศัพท์ภาษาไทยว่า ควรจะบัญญัติให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความเข้าใจ ทั้งนี้เพราะ “ เมื่อคนบัญญัติศัพท์คำที่พูดยากหรือเข้าใจยากก็อาจจะผิดความหมายไปได้ ต่อไปอีก 50 ปี 100 ปี ก็จะไม่ทราบว่าคำมาจากอะไร ”

พระปรีชาสามารถในทางด้านอักษรศาสตร์ของพระองค์ได้ทรงแสดงไว้เป็นที่ประจักษ์แก่ ผู้ที่ได้พบเห็นในวันนั้นอย่างมาก กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสสรุปและเพิ่มเติมตลอดจนทรงแทรกความรู้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ในทุกตอนที่ผู้ร่วมอภิปรายกล่าวจบพระ – องค์จะทรงให้ทรรศนะส่วนพระองค์ นอกจากความรู้แล้วยังทรงสามารถสร้างบรรยากาศให้แก่ผู้เข้าประชุมได้รับความเพลิดเพลินอีกด้วย ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า

“ ที่จริงจบไว้ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าถ้าไม่จบเดี๋ยวเป็นการโต้วาทีระหว่างอาจารย์บุญเหลือ (ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ) กับอาจารย์คึกฤทธิ์ (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) อย่างนี้ทราบดี ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วพรุ่งนี้เช้าก็ยังไม่เลิก เพราะว่าเวลาเริ่มแล้วก็หยุดยาก แล้วก็เลยเถิดไปเรื่องอื่นต่างๆ ขณะนี้มีผู้ถามปัญหามา ขอให้กรมนราฯ ทรงตอบ ”

จากพระราชดำรัสตอนหนึ่งของการสรุปผู้อภิปราย ทรงมีว่า
“ เราได้ฟังหมออวย (นพ.อวยชัย เกตุสิงห์) ได้พูดถึงปัญหาโดยเฉพาะของ การบัญญัติศัพท์หรือ ภาษาของสาขาวิชาหนึ่ง แต่ว่ามีข้อสังเกตอย่างหนึ่งซึ่งน่าจะย้ำ คือการบัญญัติศัพท์ว่า ภาษาไทยที่เอาคำสองคำมาประกอบกันเป็นคำใหม่ได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของภาษาไทยอย่างหนึ่ง การประสมสองคำหรือสองส่วนมาเป็นคำหนึ่งนั้นย่อมต้องทำตามหลักวิชาของภาษา ต้องระวังไม่ให้เป็นปิศาจหรือตัวที่เป็นคำไม่สมประกอบ

คือเอาสองภาษามาประสมกัน อย่างภาษาฝรั่งก็มีเหมือนกันที่เอาสองภาษามาประสมคำเดียวเขาเรียกว่า monster เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักภาษา เช่น คำว่ารถยนต์ automobile ซึ่งเป็นการประสมภาษากรีกกับภาษาลาติน ก็กลายเป็น monster ภาษาไทยก็คงมีหลายคำ มีข้อสังเกตอีกอย่างเกี่ยวกับที่คุณคึกฤทธิ์ได้พูด ไม่ใช่โจมตีนะ มองอย่างเป็นห่วงเห็นด้วยในการที่ควรจะรักษาภาษาภาคเหนือ ภาคใต้ ต้องระวังภาษาให้ดี ๆ เพราะเป็นแหล่งที่จะไปศึกษาภาษาโดยแท้ เป็นความจริง เพราะว่าคนเราในกรุงเทพฯ ได้พบปะกับชาวต่างประเทศ ทั้งแขก ฝรั่ง จีน มากมาย ทำให้ภาษาของเราพูดจาแล้วทั้งบางทีก็ไม่รู้เรื่อง เพราะคิดแบบฝรั่ง คิดแบบจีน หรือแบบแขก นี่ก็เป็นความจริง

การรักษาภาษาในชนบทนั้นก็ต้องทำ… ภาษาถ้าเป็นศิลปะเหมือนกัน อาจจะไม่ทราบว่าภาษามาจากไหน ภาษาของไทยเราเป็นของจริง อยู่ที่ไหน เพราะว่าเราพยายามก่อขึ้นโดยไม่มีหลักฐาน ไม่มีความรอบคอบพอ แล้วก็ไปแพร่ไปต่างจังหวัด ไปทำลายภาษาพื้นเมืองซึ่งจะเป็นหลักประกันความบริสุทธิ์ของภาษา ”

จากพระราชดำรัสข้างต้นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชกรณียกิจที่ต้องทรงศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพื่อทั้งเพิ่มพูนความรู้ของพระองค์เอง แล้วยังจะเป็นประโยชน์ต่อการปกครองประเทศชาติอีกด้วย

1.3 ทรงเป็นตัวอย่างของการใช้ภาษาประจำชาติเป็นหลักสำคัญ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นตัวอย่างว่าคนไทยต้องใช้ภาษาไทย เพราะภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ เป็นหลัก เป็นศักดิ์ศรี เป็นเอกลักษณ์ของชาติ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จะต้องทรงติดต่อกับชางต่างประเทศในประเทศไทย พระราชดำรัส หรือพระราชสาส์นที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ไปอ่าน

พระองค์จะพระราชทานเป็นภาษาไทยและมีคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพราะถือว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล ดังเช่นในพิธีทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญทองเฉลิมพระเกียรติคุณฯ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9  ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ในวันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2530 พระองค์ก็พระราชทานพระราชดำรัสเป็นภาษาไทย โดยมีเอกสารภาษาอังกฤษอย่างไม่เป็นทางการ (Unofficial translation) แจกแก่ผู้มาร่วมพิธี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระราชหฤทัยในภาษาไทยเป็นพิเศษ แม้จะทรงมีพระราชภารกิจมากมายในปัจจุบันนี้ก็ยังทรงศึกษาด้วยพระองค์เองอยู่ตลอดเวลาจากตำรา จากประสบการณ์ และจากผู้ทรงคุณวุฒิในทางภาษาไทย ประกอบกับได้ทรงศึกษาภาษาบาลี สันสฤต เขมรโบราณ และเทวนาครีอีกด้วย จึงทรงศึกษาภาษาไทยได้อย่างลึกซึ้งถึงรากศัพท์ที่มาจากภาษาต่างๆ ดังจะเห็นได้จากการที่ทรงเป็นตัวอย่างในการบัญญัติศัพท์โดยใช้คำไทย เช่น “ ธนาคารกระบือ ” และ “ ธนาคารข้าว ” ซึ่งไม่มีใช้ที่ใดมาก่อน ทรงใช้คำศัพท์ไทยๆ ว่า “ คำคะนอง ” แทนการทับศัพท์ว่า สแลง (Slang) เป็นต้น นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้เครื่องคณิตกรณ์ (คอมพิวเตอร์) มาผสมผสานในการศึกษาภาษาและการพระราชนิพนธ์ต่างๆ ให้ได้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์ด้วย (ชำนาญ รอดเหตุภัย, 2545 : 90)

พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระราชทานในโอกาสต่าง ๆ พระราชกรณียกิจที่เว้นจะกล่าวถึงเสียมิได้ก็คือ การที่เสด็จไปในพิธีการและโอกาสต่างๆ ดังที่ได้แจ้งแล้วในหนังสือ “ ประมวลพระราชดำรัสและบรมราโชวาทที่พระราชทานในโอกาสต่างๆ เช่น พระราชกรณียกิจ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2512 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2513” มีทั้งหมด 127 บท ซึ่งแต่ละบทจะแสดงถึงพระปรีชาสามารถในการเรียบเรียงถ้อยคำ ถึงแม้ว่าจะมีฝ่ายราชเลขาธิการ ส่วนพระองค์อยู่ก็ตาม แต่โดยส่วนพระองค์แล้ว หากข้อความใดมิชอบหรือต้องพระราชหฤทัยก็จะโปรดให้แก้ไข และด้วยพระราชดำรัสที่ตรัสด้วยพระองค์เอง เช่น พระราชดำรัสในโอกาสที่เสด็จออกมหาสมาคม พระราชดำรัสในวันทรงดนตรีพระราชทานแก่นิสิตหลายสถาบัน ถ้อยคำในพระราชดำรัสล้วนแล้วด้วยความซาบซึ้งจับใจ และให้แง่คิดแก่ผู้ที่ได้ฟังยิ่งนัก

พระบรมราโชวาทก็เช่นเดียวกัน มีหลายบทที่จะพระราชทานในโอกาสที่มีผู้เข้าเฝ้า เพื่อดำเนินกิจการต่างๆ พระองค์จะทรงให้ข้อคิดทั้งในทางปฏิบัติและวิชาการแก่คณะผู้ดำเนินการนั้น ดังพระบรมราโชวาทที่พระราชทาน แก่คณะนาฏศิลป์จากกรมศิลปากร ซึ่งจะเดินทางไปเผยแพร่ศิลปะและวัฒนธรรมไทย ใจความสำคัญของพระบรมราโชวาท ได้แสดงถึงความมีพระปรีชาสามารถในด้านศิลปะและวัฒนธรรมเป็นอย่างดี ทรงกล่าวถึงความสำคัญของศิลปวัฒนธรรมว่า

“ ถ้าสังเกตดูในประเทศต่างๆ เขาก็ใช้ศิลปะเป็นการเมือง เพื่อที่จะให้คนรู้จักบ้านเมืองเขาและแข่งขันกัน แสดงว่าบ้านเมืองเขามีของดีกว่าบ้านเมืองเรา เช่น ในด้านการดนตรี ก็ประกวดประขันกันว่าประเทศไหนมีศิลปินที่เก่งที่สุด ให้เป็นการคล้ายการข่มขวัญกัน แม้ในทางกีฬาเขาก็ข่มขวัญกันด้วยสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะนำมาใช้ในทางแสดงความใหญ่โต แต่เมื่อเป็นไปเช่นนี้ คือ เป็นไปในทางที่ไม่ควรเป็น เราจะต้องนึกว่า หน้าที่ของศิลปินต้องมีอย่างหนัก โดยเฉพาะศิลปะไทยอย่างที่จะไปแสดงนี้เป็นศิลปะที่สำคัญมาก เพราะเป็นการแสดงจิตใจ เป็นการแสดงความเป็นไปของประเทศ ของประชาชนคนไทย หมายความว่า ถ้าต่างประเทศเขาเห็นว่าเรามีศิลปะที่งดงาม ที่ลึกซึ้ง เขาก็เกรงใจเรา นับถือเรา ”

ในการใดที่ทรงมีพระบรมราโชวาท ดังได้กล่าวไว้ในตอนหนึ่งแล้วว่า มิใช่แต่จะทรงให้ข้อคิดแก่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น ยังทรงมีความรู้ในเรื่องที่ผู้ปฏิบัติจะจัดทำอีกด้วย จากพระบรมราโชวาทเดียวกันนี้ ทรงให้ทรรศนะเกี่ยวกับวัฒนธรรมว่า

“ คำว่า “ วัฒนธรรม ” นี่จะแปลว่าอะไรก็แล้วแต่จะตีความ ความจริงแปลว่าความเจริญ ความก้าวหน้า แต่วัฒนธรรมในที่นี้ก็คงจะบ่งถึงว่ามีความเจริญมาช้านาน ไม่ใช่ว่ามีความเจริญก้าวหน้า แต่มีความเจริญมาเป็นเวลาช้านานต่อเนื่องมา และจนกระทั่งยังอยู่ในสายเลือด แต่ว่าถ้าเราไปแสดงตนว่ามีวัฒนธรรม ว่ามีฝีมือเท่านั้นเองก็ไม่พอ ต้องแสดงวัฒนธรรมของเราอยู่ในสายเลือด วัฒนธรรมไทยมีความอ่อนโยน ก็ต้องเป็นคนอ่อนโยน

ทั้งในเวลาที่มาแสดง ทั้งนอกเวลาแสดง วัฒนธรรมหมายถึงว่าเป็นคนที่มีความคิดสูงด้วย อย่างเราบอกว่าคนนี้มีวัฒนธรรมหรือคนนี้ไม่มีวัฒนธรรม หมายความว่า คนนี้หยาบคายหรือคนนี้อ่อนโยนมีความสุภาพเรียบร้อย ก็ต้องแสดงความสุภาพอ่อนโยนทั้งในเวลาการแสดง และนอกเวลาการแสดงเหมือนกัน ให้เห็นว่าความสุภาพอ่อนโยนนั้นอยู่ในเลือดของคนไทย อันนี้จะทำให้การไปแสดงศิลปะไทย และการที่ได้มุ่งหมายที่จะให้เป็นการติดต่อสัมพันธไมตรีอย่างดีกับต่างประเทศเป็นผลสำเร็จอย่างดีที่สุด ”

กระแสพระราชดำรัสก็ดี พระบรมราโชวาทก็ดี หลายครั้งหลายโอกาสทีเดียวที่ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งจากพระราชหฤทัยที่ทรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ และทรงห่วงใยประเทศชาติและทรงแสดงให้เห็นถึงความมั่นในพระราชหฤทัย ที่จะทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญยิ่งขึ้น และคงความเป็นเอกราชชั่วกาลนาน จะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ของไทยทรงอาศัยงานอักษร – ศาสตร์เป็นทางนำเข้าถึงประชาชน และใช้หนังสือใช้ถ้อยคำเป็นส่วนที่จะชี้ทางให้พสกนิกรประพฤติปฏิบัติตน ในอันที่จะนำสันติสุขมาสู่ชาติบ้านเมือง

2. พระราชกรณียกิจด้านพิพิธภัณฑ์ เพื่อการอนุรักษ์ ศิลปะและวัฒนธรรม และพระราชดำริด้านการพัฒนากิจการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

วันเวลาผ่านไป กิจการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ก็ยิ่งพัฒนาขึ้นไปเป็นลำดับ ตามครรลองของการพัฒนาในสังคมโลก ทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ยืนยงคงอยู่กับความมั่นคงของชาติไทยยังคงเป็นศิลปวัฒนธรรมประจำชาตินั่นเอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานแนวพระราชดำริ พระราชทานศิลปโบราณวัตถุส่วนพระองค์ พระราชทานกำลังใจ ทรงเป็นผู้นำให้เหล่าพสกนิกรทุกคน ยึดมั่นในการอนุรักษ์สมบัติวัฒนธรรมของชาติไว้ เพื่อความอยู่รอดของประเทศในกระแสโลกาภิวัฒน์ ทรงแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า นับวันพิพิธภัณฑสถานจะยิ่งยังประโยชน์ให้กับชาติและชนในชาติ ได้สมกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดให้เป็นสถาบันเพื่อสังคมชัดเจนยิ่งขึ้นๆ และตราบจนทุกวันนี้กิจการพิพิธภัณฑสถาน ได้เป็นตัวแทนที่แสดงให้เห็นแล้วว่า พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงนำประเทศให้ก้าวหน้า พัฒนาไปได้ในทุกสภาวการณ์

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

ในฐานะคนไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงแสดงให้พสกนิกรเห็นว่า พระองค์ทรงมีความซาบซึ้งในคุณค่าของโบราณสถาน โบราณวัตถุ ทรงเห็นความจำเป็นในการคุ้มครองดูแลและอนุรักษ์สมบัติวัฒนธรรมของชาติไว้ให้เป็นหลักฐานในการศึกษาหาอดีต เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจให้คนไทยตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษได้สั่งสมไว้ให้เป็นสมบัติตกทอด มาถึงคนรุ่นปัจจุบัน พระองค์ได้พระราชทานกระแสพระราชดำรัส เมื่อเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2504 (คณะกรรมการรวบรวมและเรียบเรียงพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการศึกษา การศาสนา และการวัฒนธรรม, 2531 : 619)

“ โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และโบราณสถานทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นของมีคุณค่าและจำเป็นแก่การศึกษาค้นคว้า ในทางประวัติศาสตร์ ศิลปะและโบราณคดี เป็นเครื่องแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชาติไทย ที่มีมาแต่อดีตกาล สมควรจะสงวนรักษาให้คงทนถาวร เป็นสมบัติส่วนรวมของชาติไว้ตลอดกาล โดยเฉพาะโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ ควรจะได้มีพิพิธภัณฑสถานเก็บรักษา และตั้งแสดงให้นักศึกษาและประชาชนได้ชมและศึกษาหาความรู้ให้มาก และทั่วถึงยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ข้าพเจ้าได้คิดมานานแล้วว่า โบราณวัตถุและศิลปวัตถุของท้องถิ่นใด ก็ควรจะเก็บรักษาและตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของจังหวัดนั้นๆ ข้าพเจ้าพอใจที่กระทรวงศึกษาธิการและกรมศิลปากรที่เห็นพ้องด้วย และทำได้สำเร็จเป็นแห่งแรกที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยานี้ กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นราชธานีอันรุ่งเรืองอยู่ถึง 417 ปี มีโบราณสถาน โบราณวัตถุและศิลปวัตถุอันควรแก่การสนใจศึกษามากมาย ถ้าเราพิจารณาตามความเจริญรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาที่เคยมีมาแต่อดีตแล้ว จะเห็นกันได้ว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเท่าที่มีอยู่นี้คงจะน้อยไปเสียอีก ที่จะเก็บรวบรวมและตั้งแสดงโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่พบในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

มีผู้กล่าวกันว่า ขณะนี้ได้มีผู้สนใจและหาซื้อโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ ส่งออกไปต่างประเทศกันมาก ถ้าต่อไปภายหน้า เราจะต้องไปศึกษาหรือชมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุของไทยเราเองในต่างประเทศ ก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าอับอายมาก เราจึงควรจะขวนขวายและช่วยกันหาทางรวบรวมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุของเรา แล้วจัดสร้างพิพิธภัณฑสถานเก็บรักษาไว้จะเป็นการดีที่สุด จริงอยู่ งานดังกล่าวนี้จะต้องใช้เวลาและเงินมาก แต่ก็เชื่อว่า ถ้าทุกๆ ฝ่ายได้ร่วมมือร่วมใจกันอย่างจริงจังแล้วก็คงจะสำเร็จลุล่วงไปได้ … ”

ด้วยความทรงเป็นนักอนุรักษ์สมบัติวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ พระองค์จะทรงสดับตรับฟังเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการค้นพบสมบัติวัฒนธรรมเหล่านี้ ทั้งที่เป็นการค้นพบทางวิชาการ ค้นพบโดยบังเอิญ หรือแม้แต่เมื่อมีการลักลอบขุดค้น ซึ่งทำให้เป็นที่มาของการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่สมบูรณ์แบบขึ้นในภูมิภาคต่างๆ เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง จังหวัดสุโขทัย และเมื่อมีการสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ที่ไหน ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดเช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ในปีพ.ศ.2509 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ในปีพ.ศ.2515 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ในปีพ.ศ.2516 และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ในปีพ.ศ.2517 เป็นต้น พระมหากรุณาธิคุณในการเสด็จพระราชดำเนิน เปิดอาคารทำการด้วยพระองค์เองทุกครั้ง แสดงให้เห็นว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ทรงตระหนักถึงบทบาทสำคัญของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่มีส่วนในการพัฒนาสังคม และส่งเสริมความมั่นคงของชาติ จึงทรงสนับสนุนการจัดตั้งสถาบันนี้ในท้องถิ่นต่างๆ ต่อมา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีความสนพระราชหฤทัยด้านโบราณคดี ทรงมีความรอบรู้ในศาสตร์ดังกล่าวและเมื่อมีการสำรวจขุดค้นเพื่อหาหลักฐานที่จะสามารถบอกเรื่องราวในอดีต ให้ชัดแจ้งขึ้นได้ก็ได้พระราชทานแนวพระราชดำริที่ทำให้เหล่านักโบราณคดี และนักวิชาการของกรมศิลปากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สามารถนำไปพัฒนาทักษะในการดำเนินงานต่อมา เช่น การเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรแหล่งขุดค้นบ้านเชียงที่ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2515 และต่อมาได้เกิดโครงการร่วมวิจัยกับพิพิธภัณฑสถาน มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ พ.ศ.2517 อันเนื่องมาจากพระราชปรารภ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 (จากหนังสือเรื่องมรดกบ้านเชียง) มีความว่า

“ …พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรแหล่งขุดค้นด้วยความสนพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงมีรับสั่งถาม และพระราชทานคำแนะนำ เรื่องต่างๆ ตลอดเวลา ”
“ เปลือกหอยเหล่านั้น รู้หรือไม่ ว่าเป็นหอยทะเลหรือหอยน้ำจืด ”
“ ที่ตั้งใจมาดู ก็อยากจะเห็นสิ่งต่างๆ อยู่ในสภาพเดิมอย่างนี้ ทำไมถึงพบหลุมฝังศพ และเครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสีมาก ที่นี่เป็นสถานที่ฝังศพหรือ ”
“ ลายเขียนสีแดงนั้นคงจะเขียนลงบนเครื่องปั้นดินเผา หลังจากที่ได้ทำการเผาหม้อแล้วใช่ไหม ”
“ เคยส่งกระดูกที่ค้นพบไปพิสูจน์ เรื่องการหาอายุบ้างหรือไม่ … กระดูกนี้เคยใช้ในการพิสูจน์หาอายุได้หรือไม่ ”

เรื่องการหาอายุนี้ ได้รับสั่งถาม ศาสตราจารย์ นายแพทย์ สุด แสงวิเชียร ซึ่งกราบบังคมทูลว่า
“ การหาอายุจากกระดูก ในต่างประเทศก็เคยกระทำกัน แต่ประเทศเรายังไม่เคยจัดส่งไปคิดว่าค่าส่งก็คงจะแพง ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสต่อไปว่า “ ก็ไม่น่าจะสิ้นเปลืองเงินทองมากนัก เพราะเรื่องพิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องสากลระหว่างชาติ อีกประการหนึ่งทั่วโลกก็คงจะสนใจเรื่องบ้านเชียงนี้มาก ใครๆ ก็คงอยากจะรู้และให้ความร่วมมือในเรื่องการหาอายุ ถ้าหาอายุจากกระดูกได้ ก็จะเป็นการน่าเชื่อถือมากขึ้นอีก ”

ทรงทอดพระเนตรหลุมขุดค้นแต่ละหลุมอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ หลุมฝังศพนี้คงจะมีอายุเก่ากว่าบริเวณหลุมขุดค้นที่ 1 และที่ 2 เพราะอยู่ระดับลึกกว่า ” ทั้งทรงพระราชวินิจฉัยทางวิชาการอย่างจริงจัง

“ คนก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบในแหล่งขุดค้นนี้ มีความสัมพันธ์กับชุมชนที่เข้ามาอยู่อาศัยเมื่อประมาณ 200 ปี อย่างไร ”

“ สาเหตุที่ชุมชนต้องร้างไประยะใดระยะหนึ่ง นับเป็นสิ่งสำคัญที่น่าคิด นี่ก็ต้องเป็นเรื่องราวของหมอ ( หมายถึงศาสตราจารย์ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ) ที่จะต้องช่วยกันค้นคว้าว่าชุมชนที่ร้างไปนั้นล้มตายด้วย โรคระบาดชนิดใดหรือเปล่า ซึ่งก็ต้องร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายดำเนินงานขุดค้น ”

โครงการศึกษาวิจัยร่วมกันระหว่างไทยกับมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ในเรื่องโบราณคดีบ้านเชียง ได้ผลวิจัยออกมาเผยแพร่ถึงความเก่าแก่ของแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ที่นำชื่อเสียง มาให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมากในเวลาต่อมา และโบราณวัตถุที่ได้จากการขุดค้นทั้งหลายได้นำมาจัดตั้งเป็น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียงในเวลาต่อมา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงแนะนำวิธีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย ในการอนุรักษ์ศิลปโบราณวัตถุด้วย กรมศิลปากรจึงได้จัดส่งนักวิทยาศาสตร์ไปศึกษาวิชาการ การสงวนรักษาโบราณวัตถุ ณ ประเทศเบลเยี่ยม โดยทุนยูเนสโกร่วมกับรัฐบาลเบลเยี่ยม

นี่คือจุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์ศิลปโบราณวัตถุโดยทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นการประยุกต์วิชาการทางวิทยาศาสตร์เข้ากับการอนุรักษ์สมบัติวัฒนธรรม และดำเนินสืบต่อกันมาตราบเท่าทุกวันนี้ ทำให้กิจการด้านการอนุรักษ์ด้วยวิทยาศาสตร์ของ พิพิธภัณฑสถานพัฒนาก้าวหน้าไปด้วยพระบารมี ดังกล่าว นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จะทรงให้ความสนพระราชหฤทัยในเรื่องของพิพิธภัณฑสถานเป็นส่วนพระองค์แล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ก็สนพระทัยในกิจการด้านศิลปวัฒนธรรม และพิพิธภัณฑสถานเสมอตลอดมา ในวาระต่างๆ เมื่อมีพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ มักทรงมีพระราชกระแสให้เข้าชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า พิพิธภัณฑสถานนั้นเปรียบเสมือน เอกลักษณ์ของชาตินั่นเอง สมควรให้แขกเมืองได้รู้เรื่องราวของคนไทยเมื่อมาเมืองไทย

ในที่สุดจึงเกิดพัฒนาเป็น พิพิธภัณฑสถานเฉพาะเรื่อง ขึ้น และได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมากเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อการประชาสัมพันธ์เอกลักษณ์ของชาติ และได้เพิ่มบทบาทจากการอนุรักษ์สมบัติวัฒนธรรม มาเป็นการพัฒนาการศึกษาให้กับคนทั้งปวง ในรูป การศึกษานอกรูปแบบ ให้แก่สังคม ซึ่งสอดคล้องกับวิถีการพัฒนาของพิพิธภัณฑสถานในประเทศสากล และมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ฯในสาขาพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องอาทิ ท้องฟ้าจำลอง ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ อนุสรณ์สถาน รวมทั้งศูนย์ข้อมูลที่ต้องเผยแพร่ความเข้าใจให้กับประชาชน

เช่น พิพิธภัณฑ์วัดพระแก้ว โครงการสวนหลวง ร.9 โครงการอุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระ ศรีนครินทราบรมราชชนนี อุทยานแห่งชาติต่างๆ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

3. พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับวัฒนธรรม ในด้านการอนุรักษ์โบราณราชประเพณีและการฟื้นฟูบำรุงส่งเสริมและเผยแพร่วัฒนธรรม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีที่เคยทำมาเพื่อความสวัสดิมงคลแก่ประเทศชาติ และประชาชนหลายประการ โดยทรงถือ “ สายกลาง ” คือไม่เปลี่ยนแปลงในหลักการ และความมุ่งหมาย แต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลงให้รัดกุมและประหยัด รวมทั้งทรงส่งเสริมให้เป็นเอกลักษณ์ของไทย ให้เป็นที่ภาคภูมิใจในวัฒนธรรมที่สูงส่งโอ่อ่าของชาติ ดังพระบรมราโชวาท ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2505 ว่า “ การรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเก่านั้นเป็นของดี แต่ถ้าประเพณีบางอย่างไม่สะดวกแก่การปฏิบัติ ไม่เหมาะแก่กาละ ก็ควรจะจัดดัดแปลงบ้าง การที่จะเปลี่ยนแปลงประเพณีใดๆ หรือจะรับเอาประเพณีของชาติอื่นใดมาใช้นั้น ต้องพิจารณาให้รอบคอบถ่องแท้เสียก่อน ”

และพระบรมราโชวาทที่ได้พระราชทานแก่นักศึกษาและคณาจารย์ มหาวิทยาลัยสงขลา วิทยาเขตปัตตานี วันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2521 และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2512 โดยทรงตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยไว้ดังนี้

“ ชาตินั้นเปรียบได้กับชีวิตคน กล่าวตามหลักความจริง คนเราประกอบด้วยร่างกายส่วนหนึ่ง จิตใจส่วนหนึ่ง ถ้าทั้งสองส่วนคุมกันอยู่บริบูรณ์ ชีวิตก็คงอยู่ ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งทำลายไป ชีวิตก็แตกดับ เพราะอีกส่วนหนึ่งจะต้องแตกทำลายไปด้วย ชาติของเรานั้นมีผืนแผ่นดิน
และประชากรอันรวมกันอยู่เป็นส่วนร่างกาย มีศิลปวิทยา มีธรรมเนียมประเพณี มีความเชื่อถือและความคิดจิตใจที่จะสามัคคีกันอยู่เป็นปึกแผ่น ซึ่งรวมเรียกว่า “ ความเป็นไทย ” เป็นส่วนจิตใจ ชาติไทยเราดำรงมั่นคงอยู่ ก็เพราะยังมีทั้งบ้านเมืองและความเป็นไทยพร้อมบริบูรณ์ แต่ถ้าความเป็นไทยของเรามีอันเป็นต้องเสื่อมสลายไปด้วยประการใดแล้ว ชาติก็ต้องสิ้นสูญ ”

ดังนั้น การที่จะรักษาคุณค่าและความสำคัญของสิ่งที่ดีงามให้คงอยู่สถาพรได้ก็ด้วยการพิจารณาไตร่ตรอง ทำความเข้าใจในความสำคัญของเอกลักษณ์ความเป็นไทย และสำนึกตระหนักในหน้าที่ ความรับผิดชอบ และความผูกพันที่มีต่อประเทศชาติและปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสม ย่อมจะเกิดผลดีและสร้างความเจริญให้แก่ชาติบ้านเมืองตลอดไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9  ทรงเป็นผู้นำในการสืบทอดฟื้นฟูวัฒนธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย และทรงฟื้นฟูพระราชพิธีบางอย่างที่ขาดหายไปหรือทรงริเริ่มพระราชพิธีขึ้นใหม่ ดังต่อไปนี้
3.1 พระราชลัญจกร
3.2 พระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี และพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
3.3 กระบวนพยุหยาตราสถลมารค (การเสด็จฯเลียบพระนคร)
3.4 พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
3.5 พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค
3.6 พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
3.7 พระราชพิธีการเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรประจำฤดู
3.8 พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ

  • 3.1 พระราชลัญจกร
    พระราชลัญจกร มี 3 องค์คือ พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน พระราชลัญจกรประจำพระองค์รัชกาลที่ 9 และพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาล                                                                                                                                                                                                                          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รักษาโบราณราชประเพณีในการสร้าง พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน พระราชลัญจกรประจำพระองค์ และพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาลขึ้น ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีในการจารึกพระราชลัญจกรหรือที่เรียกว่า “รุกตรา” ขึ้นตามโบราณขัตติยราชประเพณี ระหว่างวันที่ 20-21 เมษายน พ.ศ.2493 ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 พฤษภาคม พ.ศ.2493

ในการจารึกพระสุพรรณบัฏพระบรมนามาภิไธย ดวงพระบรมราชสมภพ และพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินนั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร (ขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระวรวงศ์เธอพระองศ์เจ้าธานีนิวัต) เสด็จไปทรงเป็นประธานในพระราชพิธีฯ โดยพระราชพิธีในวันแรกเริ่มด้วยพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวันที่สองเป็นพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏพระนามาภิไธย และพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร เป็นศิลปินผู้จารึกพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน

3.1.1 พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ที่โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีจารึกตราขึ้น ในปีพ.ศ.2493 คือพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างรูปขึ้นและในสมัยต่อๆ มาใช้เป็นพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินอย่างถาวรทุกรัชกาล โดยเปลี่ยนแต่พระปรมาภิไธยที่ขอบรอบลัญจกรให้เป็นตามรัชกาล ซึ่งเริ่มในขึ้นตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมา

3.1.2 พระราชลัญจกรประจำพระองค์รัชกาลที่ 9  ในปีพ.ศ.2496 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างพระราชลัญจกรประจำพระองค์สำหรับใช้ประทับในประกาศนียบัตรเหรียญรัตนาภรณ์ โดยสำนักพระราชวังเป็นผู้ดำเนินการ เมื่อจัดสร้างเสร็จแล้วโปรดเกล้าฯ ให้เชิญเข้าร่วมในพระราชพิธีฉัตรมงคล วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2496 และได้เชิญออกใช้ประทับต่อไป

พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรนั้น โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นโดยคิดประดิษฐ์รูปลายตามความหมายแห่งพระปรมาภิไธย “ ภูมิพล ” โดยนัยความหมายว่า ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เป็นกำลังหรือเป็นใหญ่แห่งแผ่นดิน พระราชลัญจกรประจำพระองค์จึงเป็นรูปพระที่นั่งอัฐทิศ มีรูปพระมหาอุณาโลมอยู่ในวงจักร รอบวงจักรมีรัศมีเปล่งออกมาโดยรอบ เหนือจักรเป็นรูปเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ตั้งอยู่บนพระที่นั่งอัฐทิศ และที่แปลกไปกว่าพระราชลัญจกรประจำพระองค์ในรัชกาลอื่นประการหนึ่งก็คือ สร้างเป็นรูปกลมรีตั้ง ส่วนความหมายของสัญลักษณ์ของสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏเป็นรูปลายพระราชลัญจกรดังกล่าวอธิบายได้ว่า หมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน โดยที่ผู้แทน (เทพ) ทั้งแปดทิศน้อมนำแผ่นดินและความเป็นใหญ่มาถวาย เป็นสัญลักษณ์แห่งวันบรมราชาภิเษกตาม โบราณราชประเพณีที่เสด็จประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศ และสมาชิกรัฐสภาถวายน้ำอภิเษกจากทั้งแปดทิศ และรัชกาลของพระองค์นี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ทรงรับน้ำอภิเษกจากสมาชิกรัฐสภาแทนที่จะทรงรับจากราชบัณฑิตดั่งในรัชกาลก่อนๆ

พระราชลัญจกรประจำพระองค์รัชกาลที่ 9 นี้เป็นตรางา มีลักษณะรูปไข่ขนาดกว้าง 5 เซนติเมตร ยาว 6.2 เซนติเมตร สูง 9.4 เซนติเมตร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นสำหรับใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในต้นเอกสารสำคัญส่วนพระองค์ ซึ่งไม่เกี่ยวด้วยราชการแผ่นดินเช่น ใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในประกาศนียบัตรกำกับเหรียญรัตนาภรณ์ ใช้เป็นลายตราในเหรียญราชอิสริยาภรณ์บรมราชาภิเษก โดยมีพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. อยู่กลาง นอกจากนั้นยังปรากฏว่าได้ใช้เป็นลายตราในเหรียญราชอิสริยาภรณ์รัชดาภิเษก และใช้เป็นลายประดับใน เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ ชนิดราคา 1 บาท เป็นต้น

3.1.3 พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาล ในปีพ.ศ.2538 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่สำคัญประการหนึ่ง ในการดูแลรักษาตลอดจนควบคุมการเชิญ พระราชลัญจกรออกใช้ประทับเอกสาร สำคัญต่างๆ ของชาติ ดำเนินการสร้างพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาล ด้วยทองคำ ขึ้นอีกองค์หนึ่งเพิ่มขึ้นจากองค์ปัจจุบัน ซึ่งสร้างด้วยงามาตั้งแต่ พ.ศ.2493 และมีสภาพชำรุดสึกหรอ เนื่องจากได้เชิญออกใช้ประทับเอกสาร มาเป็นเวลากว่า 45 ปีแล้ว

พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาลที่จัดสร้างขึ้นนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพิ่มเป็นองค์ที่ 2 เพื่ออัญเชิญออกใช้ในราชการ ส่วนวัสดุที่ใช้สร้างเป็นทองคำเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในพระราชพิธีกาญจาภิเษก ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นในมหามงคลวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติ 50 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2539

ทั้งนี้โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีจารึกพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาลองค์ทองคำ พร้อมกับพระสุพรรณบัฏสถาปนาพระอิสริยศักดิ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2538 (จากหนังสือพระราชลัญจกร สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. 2538 : 108-109, 113, 129)

  • 3.2 พระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี และพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นพระราชพิธีด้านการทหาร

พระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี และพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นพระราชพิธีเกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร โดยทรงฟื้นฟูพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ตามแบบโบราณราชประเพณี ผนวกเป็นการเดียวกับพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2512

3.2.1 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการ สำหรับทหารที่ถวายชีวิตเป็นราชพลี เพื่อรักษาปกป้องแผ่นดินไทยตามพระราชบัญญัติ อันมีศักดิ์รามาธิบดี พ.ศ.2461 (วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2461 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 1 ปี ที่ไทยส่งทหารอาสาไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1) มีหลักเกณฑ์การพระราชทานทั้งในเวลาสงคราม และเวลาสงบศึก แก่ผู้กระทำการรบองอาจเข้มแข็ง และผู้ควบคุมทหารในสนามรบ รวมทั้งผู้ที่ปฏิบัติราชการเป็นผลดีอย่างยิ่ง ทำให้ราชการทหารเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า หลังจากรัชสมัยของพระองค์เป็นต้นมา ไม่มีการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีอีก จนกระทั่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป เมื่อพ.ศ.2503 ทรงมีพระราชดำริว่า ควรจะพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีแก่ผู้มีเกียรติชาวต่างประเทศได้ เพิ่มเติมจากหลักเกณฑ์ซึ่งกำหนดไว้แต่เดิม จึงมีการตราพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี พ.ศ.2503 กำหนดหลักเกณฑ์การพระราชทานใหม่คือ ถวายเป็นพระราชอำนาจที่จะพระราชทาน แก่ผู้ทำความดีความชอบเป็นพิเศษ หรือทำประโยชน์อย่างยิ่งแก่ราชการทหารไม่ว่าในยามสงบหรือยามสงคราม และอาจทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ผู้มีเกียรติซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าได้ทำความดีความชอบเป็นพิเศษ เป็นประโยชน์ยิ่งแก่ราชการทหารหรือไม่ก็ตาม

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เริ่มมีการพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ในปีพ.ศ.2504 และพระราชทานตลอดมาในบางปี ในการพระราชทานครั้งที่ 4 พ.ศ.2512 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งยกเลิกไปนับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ผนวกเข้ากับพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี โดยกำหนดเฉพาะ ผู้เป็นสมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันศักดิ์รามาธิบดีเท่านั้นที่ต้องดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

3.2.2 พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล หมายถึง พระราชพิธีอันเป็นมงคลแห่งความซื่อสัตย์ที่ใช้น้ำเป็นเครื่องกำหนด เรียกอย่างย่อว่า พระราชพิธีถือน้ำ เป็นการดื่มน้ำที่แทงด้วยพระแสงราชศัสตรา สาบานตนเพื่อแสดงความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และเพื่อความเจริญก้าวหน้าของตนเอง หากตั้งอยู่ในความสัตย์นั้น นับเป็นพระราชพิธีใหญ่สำคัญสำหรับแผ่นดินสืบมาแต่โบราณ ที่ไทยรับอิทธิพลมาจากอินเดีย มีการประกอบพระราชพิธีนี้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ประกอบพระราชพิธีที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ต่อมาย้ายไปประกอบพระราชพิธีที่วิหารพระมงคลบพิตร

ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ร่วมเสวยน้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วย หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย ในปีพ.ศ.2475 ก็ไม่มีการจัดพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาอีก จนกระทั่ง พ.ศ.2512 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

การพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี และพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นี้ กำหนดเป็น 2 วัน วันแรกเป็นการเสกน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยใช้น้ำฝนต้มบรรจุขันพระสาคร (ขันเงินถมตะทองใหญ่) พระสงฆ์ 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์ ทวาทศปริตร (สวดมนต์สิบสองตำนาน) พระครูพราหมณ์อ่านฉันท์สดุดีพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร วันที่ 2 เป็นการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ณ ท้องพระโรงกลาง พระที่นั่งจักรี มหาปราสาทและการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

หลังจากพิธีพุทธซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ทรงกราบและทรงรับศีลแล้วเป็นพิธีพราหมณ์ อ่านโองการแช่งน้ำและเชิญพระแสงราชศัสตราแทงน้ำ รวมทั้งหมด 13 พระองค์ ได้แก่ พระแสงศร 3 องค์ คือ พระแสงศรปลัยวาต พระแสงศรอัคนิวาต และพระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงขรรค์ชัยศรี พระแสงดาบคาบค่าย และพระแสงราชศัสตราประจำรัชกาลที่ 1-7 เสร็จแล้ว

พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์สัจจคาถาจบ ผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ยืนกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตน พราหมณ์ตักน้ำพระพิพัฒน์สัตยาถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงดื่ม

จากนั้นสมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ถวายคำนับ เดินไปยังขันสาคร พราหมณ์ตักน้ำให้ผู้ดื่มรับ ไหว้พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร แล้วดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา สุดท้ายกลับมาหมอบกราบแทบเบื้องพระยุคลบาท เมื่อดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาครบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรกกลับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงกราบที่หน้าเครื่องนมัสการ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าฯ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ เป็นเสร็จพิธี

  • 3.3 กระบวนพยุหยาตราสถลมารค ( การเสด็จฯ เลียบพระนคร ) ในวโรกาสอันเป็นมงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้กำหนดการพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนิน โดยกระบวนพยุหยาตราสถลมารคตามโบราณราชประเพณี เป็นครั้งแรกในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบสามรอบ

เพื่อเสด็จฯ ไปทรงบูชาพระรัตนตรัย ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ในวันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2506
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงพระมหามาลา เสด็จฯ จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มายังเกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท เพื่อประทับพระที่นั่งราชยาน พุดตานทอง กระบวนเสด็จพระราชดำเนินยาตราออกจากพระบรมมหาราชวัง ทางประตูวิเศษไชยศรีไปตาม ถนนหน้าพระลาน เลี้ยวเข้าถนนราชดำเนิน ข้ามสะพานผ่านพิภพลีลาไปตามถนนจักรพงษ์ เลี้ยวขวาเข้าถนน พระสุเมรุ เทียบพระที่นั่งพระราชยาน ที่เกยพลับพลาหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย บูชาเครื่องราชสักการะ กราบถวายบังคมพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.6) แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ถวายสักการะพระบรมรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระราชอุปัชฌายาจารย์ จากนั้นเสด็จฯ ประทับพระที่นั่งพระราชยานฯ กลับตามเส้นทางเดิม โดยมีพสกนิกรเฝ้าชมพระบารมีอย่างเนืองแน่น แล้วเสด็จฯเข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง เป็นการเสร็จพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบสามรอบ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2506

ขบวนพยุหยาตรา ประกอบด้วย ริ้วขบวนทหารทุกหมู่เหล่า และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยแต่งกายเต็มยศหลากสี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ (นั่ง)            บนพระราชยานพุดตานทอง แวดล้อมหน้าหลังสะพรั่งพร้อมด้วยเครื่องสูง พระอภิรุม ชุมสาย กลิ้งกลด จามรมาศ บังสูรย์ บังแทรก พระเสนาธิปัติ ฉัตรชัย        พระเกาวพ่าห์ ดังรายละเอียดที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา (เล่ม 80 ตอนที่ 116 วันที่ 1 ธันวาคม 2506 ฉบับพิเศษ หน้า 3-15) ดังนี้

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม
บ่าย
เสด็จฯ โดยกระบวนพยุหยาตราสถลมารค แต่งกายเครื่องแบบเต็มยศ สายสะพายมหาจักรี สายสร้อยจุลจอมเกล้า

วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม
เย็น
ราชอุทยานสโมสร แต่งเครื่องแบบครึ่งยศ

สำนักพระราชวัง
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2506

สำหรับในตอนค่ำวันที่ 9 ธันวาคมนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต ผู้แทนฝ่ายกงสุล สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ข้าราชการและพ่อค้าคหบดี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในงานพระราชอุทยานสโมสรเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ สวนศิวาลัย ในพระบรมมหาราชวัง

  • 3.4 พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีพืชมงคลนี้เป็นพระราชพิธีประจำของประเทศกสิกรรม ทางแถบเอเซียแทบทุกประเทศมาช้านาน นับเป็นพันๆ ปีมาแล้ว ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงเรียกพิธีนี้ว่า พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

พิธีการต่างๆ เกิดจากความเชื่อตามลัทธิไสยศาสตร์ของพราหมณ์ โดยเฉพาะ พระมหากษัตริย์หรือประมุขของประเทศ จะแต่งตั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ให้ปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ เรียกว่า พระยาแรกนา ทำหน้าที่ ไถ หว่านธัญ – พืช โดยมีผู้ช่วยเรียกว่า เทพี ซึ่งเลือกจากนางในราชสำนัก ทำหน้าที่หาบกระบุงพันธุ์พืชเดินตามพระยาแรกนาขณะไถ หว่านธัญพืช

สำหรับประเทศไทยนั้นพระราชพิธีนี้ ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นพิธีพราหมณ์ตามแบบโบราณ จนกระทั่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีพิธีสงฆ์เพิ่มโดยจัดงานเป็น 2 วัน วันแรกเป็นพระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งเป็นพิธีสงฆ์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พืชพันธุ์ธัญญาหาร ได้แก่ข้าวเปลือก ถั่ว งา และพืชพันธุ์ธัญญาหารอื่นๆ ที่จะนำไปใช้หว่านในวันรุ่งขึ้น

วันที่สองเป็นพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเป็นพิธีพราหมณ์ ซึ่งประกอบด้วยการจัดริ้วขบวน การบูชาเทวรูป ตลอดจนการเสี่ยงทายในเรื่องการเลือกผ้านุ่งของพระยาแรกนา และการเสี่ยงทายพระโคกินเลี้ยง

พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (ภาพจากหนังสือเทศกาล งานประเพณีท้องถิ่น)

พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีมงคลที่จัดเป็นประจำทุกปีระหว่างเดือน 6 ทางจันทรคติ ซึ่งเป็นระยะเวลาเริ่มฤดูฝน ถือเป็นราชประเพณีตลอดมาจนถึง พ.ศ.2477 ได้เว้นว่างไปจนกระทั่ง พ.ศ.2483 ทางรัฐบาลได้กำหนดให้มีการพระราชพิธีพืชมงคลแต่เพียงอย่างเดียว ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูราชประเพณีเดิม ซึ่งเป็นขวัญกำลังใจของเกษตรกรขึ้นใหม่โดยให้จัดงานเป็น 2 วัน คือ พระราชพิธีพืชมงคลวันหนึ่ง เป็นการสวดมนต์ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

และวันรุ่งขึ้นเป็นพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงเกษตรเป็นพระยาแรกนา ซึ่งปัจจุบันได้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนเทพีคู่หาบเงินหาบทองนั้น จะคัดเลือกจากข้าราชการสตรีโสดในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง จะเสด็จมาทรงเป็นประธานอธิษฐานขอความสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารให้บังเกิดแก่ราชอาณาจักรไทย และทรงปลูกพันธุ์ข้าวในนาทดลองบริเวณสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เพื่อนำเมล็ดพันธุ์ข้าวดังกล่าวมาเข้าในพระราชพิธี เมล็ดพันธุ์ข้าวเหล่านี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดแบ่งเพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัล – แรกนาขวัญส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งจัดบรรจุซองส่งไปยังจังหวัดต่างๆ สำหรับแจกจ่ายเกษตรกร เพื่อเป็นสิริมงคลตามพระราชประสงค์ที่ทรงส่งเสริมการเกษตร

วันแรก เวลาบ่าย เสด็จฯ ไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลา 16 นาฬิกา 30 นาที เสด็จฯ ขึ้นสู่พระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนถวายนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและพระพุทธรูป สำคัญ พระราชาคณะถวายศีลจบแล้ว ทรงพระสุหร่าย ถวายดอกไม้บูชาพระพุทธคันธารราษฎร์ ทรงอธิษฐานเพื่อความสมบูรณ์แห่งพืชผลของราชอาณาจักรไทย

แล้วหัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีพืชมงคล พระสงฆ์ 11 รูป เจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว ทรงหลั่งน้ำสังข์ ทรงเจิม พระราชทานธำมรงค์กับพระแสงปฏักสำหรับตำแหน่งพระยาแรกนาขวัญ แก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจะเป็นพระยาแรกนาขวัญในแต่ละปีนั้น แล้วทรงหลั่งน้ำสังข์ ทรงเจิมพระราชทานเทพีผู้ที่จะเข้าไปในการพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ขณะนั้นพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา พนักงานประโคมฆ้องชัย เครื่องดุริยางค์ แล้วทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรกออกจากพระอุโบสถ เสด็จฯ กลับ แต่งกายเครื่องแบบครึ่งยศ

วันที่สอง เวลาเช้า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาแรกนาขึ้นรถยนต์หลวงที่หน้าวัดพระศรีรัตนศาสดารามออกจากพระบรมมหาราชวัง ไปยังพิธีมณฑลท้องสนามหลวง แล้วเดินกระบวนอิสริยยศแห่ไปส่งที่โรงพิธีพราหมณ์ จุดธูปเทียนถวายสักการะเทวรูปสำคัญ แล้วตั้งสัตยาธิษฐานหยิบผ้านุ่งแต่งกายไว้พร้อม เวลา 8 นาฬิกา 30 นาที เสด็จฯ ยังพลับพลาท้องสนามหลวง ระหว่างเวลาพระฤกษ์ พระยาแรกนายาตราพร้อมเทพีออกจากโรงพิธีพราหมณ์ มีราชบัณฑิตและพราหมณ์นำผ่านพลับพลาพระที่นั่ง พระยาแรกนาเข้าเฝ้าฯ ถวายบังคม แล้วไปยังลานแรกนา เจ้าพนักงานจูงโคเทียมแอก พระยาแรกนาเจิมโคและไถ แล้วจึงไถดะไปโดยรี 3 รอบ โดยขวาง 3 รอบ หว่านธัญพืช โหรลั่นฆ้องชัยแล้วไถกลบอีก 3 รอบ พนักงานปลดโคออกจากแอก พระยาแรกนาและเทพีกลับไปยังโรงพิธีพราหมณ์ พราหมณ์เสี่ยงของกิน 7 สิ่ง ตั้งเลี้ยงพระโค โหรหลวงถวายคำพยากรณ์เสร็จแล้วแห่พระยาแรกนา

เป็นกระบวนอิสริยยศจากโรงพิธีพราหมณ์ พระยาแรกนาเข้าเฝ้าฯ ถวายบังคม แล้วเข้ากระบวนไปขึ้นรถยนต์หลวงกลับยังศาลาว่าการกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ เสด็จพระราชดำเนินกลับ แต่งกายปรกติขาว

  • 3.5 พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินทางชลมารค กฐินกาลเริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 รวมเวลาได้ 1 เดือน

กฐิน ตามศัพท์บาลี แปลว่า กรอบไม้สำหรับขึงผ้า กรอบไม้ขึงผ้าเพื่อเย็บนี้ ไทยเรียกว่า สะดึง การใช้กรอบไม้ก็เพื่อขึงผ้าที่ต้องเย็บต่อกันเป็นผืนใหญ่ สำหรับพระภิกษุใช้ห่มพันกายที่เรียกว่า จีวร การเย็บผ้าดังกล่าวทำให้เกิดศัพท์ ผ้ากฐิน ขึ้น

มูลเหตุที่เกิดการทอดกฐิน ในบาลีกล่าวว่า เมื่อครั้งพุทธกาลพระภิกษุเมืองปาไถยรัฐ 30 รูป จะเดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ ที่ประทับเชตวันมหาวิหาร แต่มาไม่ทันเพราะจะถึงเวลาเข้าพรรษาจึงพักเข้าพรรษาเสียก่อนที่เมืองสาเกต เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็รีบเดินทางไปเฝ้าพระพุทธองค์ การเดินทางของพระภิกษุเหล่านี้ ถูกฝนเปรอะเปื้อนโคลนตมในระหว่างเดินทาง พระพุทธองค์ทรงทราบถึงความยากลำบาก จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุอยู่รับผ้ากฐินที่จะมีผู้นำมาถวายเมื่อออกพรรษาเสียก่อน กำหนดตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12

ต่อมาเมื่อมีพระภิกษุจำนวนมากขึ้น ผ้ากฐินที่พุทธศาสนิกชนทำขึ้นไม่พอจะถวายทั่วทุกองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติว่า ภิกษุรูปใดมีจีวรครองเก่ากว่าภิกษุอื่นในอาวาสที่จำพรรษาด้วยกัน รอบรู้พระธรรมวินัยและปฏิบัติศาสนกิจเป็นที่ยกย่องสรรเสริญของหมู่พระสงฆ์ และไม่ต้องอธิกรณ์ใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสีย

พระภิกษุในอาวาสที่จำพรรษาลงอุโบสถร่วมสังฆกรรมเห็นชอบพร้อมกันอนุโมทนาให้เป็นผู้รับครองผ้ากฐิน ส่วนผู้ถวายจะเจาะจงถวายแด่พระภิกษุรูปใดรูปหนี่งไม่ได้ จะต้องวางลงแล้วกล่าวคำถวายโดยไม่เจาะจง จึงเรียกกันว่า ทอดผ้ากฐิน หรือ ทอดกฐิน

การทอดกฐิน เป็นประเพณีสำคัญของพุทธศาสนิกชน เป็นงานบุญใหญ่ของทั้งหลวงและราษฎร์ เป็นประเพณีสำคัญมาแต่โบราณตั้งแต่ไทยได้ยอมรับให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ไม่มีการกุศลใดๆ ที่พุทธศาสนิกชนจะร่วมกันทำมากเท่าการทอดกฐิน

การทอดกฐินที่ตั้งเป็นการพระราชพิธีประจำปี ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯพระราชดำเนินทั้งทางบกทางเรือวันละ 2 วัด 3 วัดบ้าง ในสมัยก่อนๆ เป็นงานใหญ่ เสด็จฯโดยกระบวนพยุหยาตราสถลมารค คือทรงพระราชยาน มีกระบวนแห่ราชอิสริยยศ เครื่องสูง สังข์ แตร กลองชนะ คู่เคียง อินทร์พรหมถือหอก ถือทวน ถือดาบ เชิญพระแสงต่างๆ เป็นกระบวนราชอิสริยยศ แต่งกายอย่างทหารไทยโบราณ บางปีเสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐินทางเรือ เป็นกระบวนพยุหยาตราชลมารคด้วย ผ้าไตรองค์กฐินตั้งในบุษบกเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช หรือเรือพระที่นั่งลำอื่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับในเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ พลเรือแต่งกายด้วยเครื่องทหารแบบโบราณ มีการเห่เรือตามบทประพันธ์กาพย์เห่เรือ (สำหรับปี พ.ศ.2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับในเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 พรรษา) ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเจริญมากขึ้น จึงเปลี่ยนเป็นเสด็จพระราชดำเนินโดยรถม้าพระที่นั่ง รถยนต์พระที่นั่ง เรือยนต์พระที่นั่งไปถวายผ้าพระกฐิน แต่บางปีก็โปรดเกล้าฯ ให้กำหนดเป็นเสด็จพระราชดำเนิน กระบวนพยุหยาตราสถลมารค และกระบวนพยุหยาตราชลมารคตามโบราณราชประเพณี เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9

การพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินในปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 ประเภท ตามฐานะของพระอารามหรือวัดที่พระราชทาน คือ

1) พระกฐินหลวงหรือพระกฐินของหลวง ได้แก่ พระกฐินที่เสด็จฯไปถวายด้วยพระองค์เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวงศ์นำผ้าพระกฐินไปถวายแทน โดยถือว่าเสด็จไปในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้พระราชวงศ์หรือองคมนตรีนำไปถวาย จำนวน 16 พระอาราม

พระอารามหลวงที่ทางราชการกำหนดเป็นวัด ที่จะต้องเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินเป็นประจำปีในปัจจุบันมี 16 วัด คือ

1. วัดบวรนิเวศวิหาร (มีพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 6)
2. วัดสุทัศนเทพวราราม (มีพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 8)
3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (มีพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 1)
4. วัดเบญจมบพิตรสถิตมหาสีมาราม (มีพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 5)
5. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม (มีพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 7)
6. วัดมกุฎกษัตริยาราม (เป็นพระบรมราชนุสรณ์รัชกาลที่ 4)
7. วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม (มีพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 4)
8. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ (เป็นวัดของพระบรมราชจักรีวงศ์)
9. วัดราชาธิวาส (มีพระบรมราชสรีรางคารของสมเด็จพระราชินี 2 พระองค์ของรัชกาลที่ 5)
10. วัดราชโอรสาราม (มีพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 3)
11. วัดอรุณราชวราราม (มีพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 2)
12. วัดเทพศิรินทราวาส (รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างอุทิศถวายพระบรมราชชนนี)
13. วัดสุวรรณดาราราม (เป็นวัดที่พระปฐมบรมมหาชนกสร้างขึ้นไว้ ณ นิวาสสถานเดิม)
14. วัดนิเวศธรรมประวัติ (เป็นวัดที่รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชดำริให้สร้างเป็นวัดประจำพระราชวังบางปะอิน)
15. วัดพระปฐมเจดีย์ (มีพระราชสรีรางคารรัชกาลที่ 6)
16. วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก (เป็นวัดในประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญ ถือเป็นราชประเพณี เมื่อพระมหากษัตริย์เสวยราชย์บรมราชาภิเษกแล้วจะต้องเสด็จฯ ไปถวายสักการะพระพุทธชินราช)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จะเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินวันละ 2 วัด หรือ 3 วัด ประมาณ 3 วัน วัดที่เหลือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวงศ์ องคมนตรี หรือบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดเสด็จไป หรือไปถวายแทนพระองค์ นอกจากนี้ถ้าสมเด็จพระสังฆราชประทับที่วัด นอกจากจะได้รับกฐินหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จะเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินด้วย

2) พระกฐินพระราชทาน ได้แก่ พระกฐินที่พระราชทานกระทรวง ทบวง กรม องค์การ สมาคม หรือเอกชนผู้มีจิตศรัทธานำไปทอดถวายพระสงฆ์ ณ พระอารามหลวงทั่วพระราชอาณาจักร จำนวน 195 พระอาราม (นอกจากพระอารามหลวงตามข้อ 1) กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ดำเนินการในการขอพระราชทานกราบบังคมทูลตามสายงานของรัฐบาล จัดองค์พระกฐินและนำผลการบริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงพระอาราม

3) พระกฐินต้นหรือพระกฐินส่วนพระองค์ ได้แก่ พระกฐินที่เสด็จฯ ไปถวาย ณ วัดราษฏร์ต่างๆ เป็นการส่วนพระองค์ เป็นการเสด็จทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศด้วย

วัดที่จะเสด็จฯ ไปถวายผ้าพระกฐินต้น มีหลักเกณฑ์ดังนี้
          1. เป็นวัดที่ยังไม่เคยเสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐินต้นมาก่อน
          2. ประชาชนในท้องถิ่นมีความศรัทธาเลื่อมใสในวัดนั้นมาก
          3. ประชาชนในท้องถิ่นนั้นไม่เคยมีโอกาสได้เฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด

พระกฐินหลวง การพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินในรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินและโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมวงศ์เสด็จไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ โดยออกเป็นหมายกำหนดการ การแต่งกายของข้าราชการผู้เฝ้าฯ ในพระราชพิธีนี้มีข้อกำหนดเป็นการพิเศษ ดังนี้

การแต่งกายเครื่องแบบเต็มยศ สวมสายสะพายขัตติยราชอิสริยาภรณ์ มหาจักรีบรมราชวงศ์หรือจุลจอมเกล้าและช้างเผือก ถ้าปีใดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐินวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามด้วย ต้องกำหนดสายสะพายขัตติยราชอิสริยาภรณ์มงกุฎไทยเป็นสายสำคัญ ในกรณีที่โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมวงศ์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์นั้น หมายกำหนดการจะได้กำหนดแต่งกายเต็มยศสายสะพายขัตติยราชอิสริยาภรณ์มหาจักรี และทุกวัดที่ออกหมายกำหนดการต้องมีทหารเหล่ารักษาพระองค์ จัดเป็นกองเกียรติยศ พร้อม แตรวง ธงประจำกองไปตั้งรับ-ส่งเสด็จฯ ดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี

พระกฐินหลวงที่ทอด ณ วัดฝ่ายธรรมยุต ที่ไตรองค์กฐินจะมีผ้าขาวพับซ้อนอยู่ข้างบน เมื่อทอดถวายและพระสงฆ์ทำกฐินกรรมเสร็จแล้ว เสด็จฯ กลับ เจ้าพนักงานช่างเย็บ ซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายในสังกัดสำนักพระราชวัง จะช่วยฝ่ายสงฆ์ตัดเย็บผ้าขาว ที่ทรงทอดถวายรวมกับไตรองค์กฐินเอาไปตัดเย็บเข้ากระทงเป็นจีวรแล้วย้อมใหม่ด้วยสีกรัก (สีเปลือกไม้) ถวายพระสงฆ์ไปทำพิธีกรรมในการครองผ้าพระกฐินต่อไป ซึ่งต้องทำแล้วเสร็จในวันนั้น

การพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงกล่าวคำถวายผ้าพระกฐินเป็นคำบาลีสำหรับพระอารามหลวงฝ่ายธรรมยุตแบบหนึ่ง ฝ่ายมหานิกายแบบหนึ่ง ส่วนวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ และวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ทรงกล่าวคำถวายเป็นภาษาไทย

ในกรณีวัดที่เสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐินนั้น มีการสดับปกรณ์พระอัฐิสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เช่น วัดบวรนิเวศวิหารและวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อพระผู้ครองผ้าพระกฐินออกไปครองผ้าไตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายสักการะแล้ว ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ 10 รูป สดับปกรณ์ ออกไปครองผ้ากลับเข้านั่งที่เดิมพร้อมกับพระผู้ครองผ้าพระกฐินแล้วจึงถวายเครื่องบริขารพระกฐิน

อนึ่งพระกฐินหลวงตลอดจนพระกฐินพระราชทานที่โปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์ กล่าวคำถวายผ้าพระกฐินเป็นภาษาไทยตามที่กรมศาสนากำหนด นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับพระกฐินหลวงและกฐินพระราชทานไว้ด้วย สำหรับภาษาไทยมีคำถวายผ้าพระกฐินดังนี้

“ ผ้าพระกฐินทานกับทั้งผ้าอานิสงฆ์บริวารทั้งปวงนี้ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ กอปรด้วยพระราชศรัทธา โปรดเกล้าฯ ให้ข้าพเจ้าน้อมนำถวายแด่พระภิกษุสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาสในอาวาสวิหารนี้ ขอพระสงฆ์จงรับผ้าพระกฐินทานนี้ กระทำ กฐินัตถารกิจตามพระบรมพุทธานุญาตนั้น เทอญ ”

กระบวนพยุหยาตราชลมารค ในสมัยก่อนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ โดยกระบวนพยุหยาตราสถลมารค และกระบวนพยุหยาตราชลมารค ปัจจุบันเสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่ง

และบางปีเสด็จฯ ทางชลมารคเพื่อพระราชทานผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม เพื่อเป็นการรักษาโบราณราชประเพณี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9  จะเสด็จพระราชดำเนินไป หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวงศ์หรือผู้ใดผู้หนึ่งเสด็จไป หรือไปถวายผ้าพระกฐินแด่พระอารามหลวง 16 อาราม ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันนั้น กระบวนแห่เรือพระราชพิธีทางชลมารค เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.2500 รัฐบาลได้จัดงานเฉลิมฉลอง 25 พุทธศตวรรษขึ้น

ในครั้งนั้นมีการอัญเชิญพระรัตนตรัยคือ พระพุทธรูป พระไตรปิฎก และพระสงฆ์จัดแห่แทนเป็น ขบวนพยุหยาตราน้อยชลมารค เนื่องจากเรือพระราชพิธีต่างๆ ที่มีมาแต่รัชกาลก่อนๆ นั้นชำรุดเสียหายหลายลำ บางส่วนก็ถูกทำลายจากการสู้รบทางอากาศในสงครามมหาเอเซียบูรพา

ต่อมาในปี พ.ศ.2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินถวาย ผ้าพระกฐินทางชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม ในครั้งนั้นจัดเป็นขบวนเล็กๆ เนื่องจากเรือที่มีสภาพสมบูรณ์มีเพียงไม่กี่คู่ ไม่สามารถจัดริ้วกระบวนให้ครบถ้วนตามระเบียบแบบแผน ของกระบวนพยุหยาตราทั้งอย่างใหญ่ และอย่างน้อยได้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองทัพเรือและกรมศิลปากร รับสนองกระแสพระราชดำริด้วยตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงเห็นความสำคัญของการรักษา มรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่าไว้มิให้เสื่อมสูญ จึงดำเนินการซ่อมแซมเรือพระราชพิธีที่สำคัญๆ เช่น เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่ง อนันตนาคราช เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ และได้ใช้ในการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามอีกในปี พ.ศ.2510 และหลังจากนั้นเป็นต้นมาได้มีการซ่อมแซมเรือ พระราชพิธีครั้งใหญ่ด้วยการเปลี่ยนไม้ที่ผุชำรุดบางส่วน เสริมโครงเหล็กตกแต่งลวดลาย ลงรักปิดทองประดับกระจก ตกแต่งเครื่องประกอบเรือเพิ่มเติม ตลอดจนทาสีตัวเรือ ทำส่วนของลำเรือขึ้นใหม่ โดยนำโขนเรือและหางเรือของเดิมที่เก็บไว้ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมาต่อเติมให้สมบูรณ์ได้แก่ เรือดั้งเรือทองขวานฟ้า เรือทองบ้าบิ่น เรือครุฑ เรือกระบี่ และเรือเอกไชย จำนวนเรือพระราชพิธีจึงมีเพิ่มขึ้นเป็น 51 ลำ

ดังนั้น ในปีพ.ศ.2525 อันเป็นวาระสำคัญยิ่งในการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี จึงได้มีการตระเตรียมงานและจัดซ้อมริ้ว กระบวนพยุหยาตราใหญ่ชลมารค เช่น เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงเปิดสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ คราวฉลองพระนครครบรอบ 150 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีทรงปรับปรุงริ้วขบวนเรือพระราชพิธีเพื่อให้งดงาม ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเสด็จประทับในเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ด้วย

และโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประทับเรือพระที่นั่งรองอเนกชาติภุชงค์ ตามเสด็จในขบวนพยุหยาตราครั้งนี้ด้วย นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จลงเรือพระที่นั่งลำทรง นอกจากนั้นก็ยังมีการเห่เรือเฉลิมพระเกียรติซึ่งแต่เดิมในตอนต้นสมัยรัตนโกสินทร์ คือ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ปรากฏมีการเห่เรือพระราชพิธีในการเสด็จพระราชดำเนินโดยทางชลมารค

  • 3.6 พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นองค์พระประมุขของคณะสงฆ์ ทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ปกครองดูแลคณะสงฆ์ตลอดทั้งมณฑล ในอดีตเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่จะทรงสถาปนาพระเถรานุเถระรูปใดรูปหนึ่ง ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตามพระราชอัธยาศัย

ตามโบราณราชประเพณี เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งรูปใด ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแล้ว

ก็จะทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีสถาปนาเป็นลำดับต่อไป ต่อมาในปี พ.ศ.2484 เมื่อมีการตราพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ขึ้นบังคับใช้เป็นครั้งแรก การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชจึงดำเนินไปตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ กล่าวคือ ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ จะเสนอรายชื่อและประวัติของสมเด็จพระราชาคณะซึ่งมีอยู่ในขณะนั้นต่อคณะรัฐมนตรี จากนั้นคณะรัฐมนตรีจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย หรือพระราชกระแสรับสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด แล้วจึงนำมาพิจารณาในคณะรัฐมนตรี แล้วนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาในโอกาสต่อไป ตามปกติพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชในรัชกาลที่ผ่านๆ มา เป็นการประกาศสถาปนาเนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาบ้าง พระราชพิธีฉัตรมงคลบ้าง พร้อมๆ กับการพระราชทานสมณศักดิ์ประจำปี สืบมาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือ ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเป็นการเฉพาะขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2508

ในการพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฎ ฺ ฐายี) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 16 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีสถาปนา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นการพิเศษ ไม่รวมอยู่กับพระราชพิธีอื่นใด

และพระราชประเพณีดังกล่าวได้ถือปฏิบัติสืบมาจนถึงการพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ตามหลักฐานที่ปรากฏมักประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือหากพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใดอยู่ในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกับการพระราชพิธีฉัตรมงคล หรือการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ก็จะทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์นับแต่ปี พ.ศ.2489 ดังนั้นจึงมีพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชหลายพระองค์ คือ

1. เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ในปีพ.ศ.2489 สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (ภายหลังทรงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) ทรงดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกอยู่ก่อนแล้ว นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรก ในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ

2. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกล มหาสังฆปริณายก (ปลด กิตฺติโสภโณ) ทรงเป็นสมเด็จ พระสังฆราชองค์ที่ 14 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงเป็นองค์ที่ 2 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ทรงบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จากนั้น พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้ย้ายมาจำพรรษา ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

3. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

4. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (จวน อุฏฺฐายี) วัดมกุฎกษัตริยาราม

5. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (ปุ่น ปุณฺณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

6. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

7. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร

รายละเอียดการพระราชพิธี

พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช นับตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สืบมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ประกอบด้วยพระราชพิธีสำคัญ 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ และ พระราชพิธีสถาปนา พระราชพิธีทั้งสองพระราชพิธีนี้จะกระทำในวันเดียวกัน หรือคนละวันนั้นสุดแล้วแต่โหรจะถวายพระฤกษ์

ตามปกติในการพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผู้แทนพระองค์ปฏิบัติพระราชภารกิจแทน และจะเสด็จพระราชดำเนินเฉพาะในการพระราชพิธีสถาปนาเท่านั้น

การพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช เกือบทุกพระองค์มักมีแบบแผนธรรมเนียมที่คล้ายคลึงกัน อาจแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดของพระราชพิธี และสถานที่ประกอบพระราชพิธี สำหรับพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกนั้น มีรายละเอียดขั้นตอนพระราชพิธีที่สมบูรณ์ครบถ้วน และถือเป็นแบบแผนของพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชในปัจจุบัน

หมายกำหนดการ พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน)

พระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ
วันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2532 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ผู้แทนพระองค์เสด็จไปในการพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

เมื่อเสด็จถึงผู้แทนพระองค์ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จากนั้นเจ้าหน้าที่กองประกาศิตแต่งชุดขาวทำหน้าที่อาลักษณ์ จารึกพระสุพรรณบัฏ ระหว่างนั้นพระสงฆ์ 5 รูปเจริญชัยมงคลคาถา โหรลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาไกวบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตร พิณพาทย์ เมื่อจารึกพระสุพรรณบัฏเสร็จเรียบร้อย ประธานคณะพราหมณ์หลั่งน้ำเทพมนต์ แล้วเจิมและวางใบมะตูมที่พระสุพรรณบัฏ แล้วเชิญบรรจุลงในถุงผ้าตาดทอง จากนั้นเชิญพระสุพรรณบัฏไปยังสำนักราชเลขาธิการ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจิม แล้วนำมาประดิษฐานไว้ภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อประกอบการพระราชพิธีสถาปนาเป็นลำดับต่อไป

พระราชพิธีสถาปนา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การพระราชพิธีเริ่มด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประเคนผ้าไตรแด่พระสงฆ์ แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงศีล สมเด็จพระราชาคณะถวายศีล

จบแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานอาลักษณ์อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชท่ามกลางสังฆสมาคม จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จฯไปถวายน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวัฏแด่สมเด็จพระสังฆราช และถวายพระสุพรรณบัฏ พระตราตำแหน่ง พัดยศ เครื่องสมณศักดิ์ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา โหรลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ พระสงฆ์ตามพระอารามทั่วราชอาณาจักรเจริญชัยมงคลคาถาและย่ำระฆัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ แล้วทรงหลั่งทักษิโณทก สมเด็จพระสังฆราชเสด็จไปประทับ ณ อาสนสงฆ์กลางพระอุโบสถ พระมหาเถระผู้ใหญ่ ผู้แทนพระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ถวายเครื่องสักการะแด่สมเด็จพระสังฆราช จากนั้นสมเด็จพระสังฆราชเสด็จออกจากพระอุโบสถ ทรงรับเครื่องสักการะจากบรรพชิตญวนและจีน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับ เป็นเสร็จการพระราชพิธี

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน)
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 7 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2532 นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2456 ที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อพระชนมายุ 13 พรรษา ทรงบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี ต่อมาทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเมื่อออกพรรษาแล้วในศกเดียวกัน ได้ทรงอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุติกนิกายอีกครั้งหนึ่ง ณ วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ระหว่างผนวชทรงศึกษาพระปริยัติธรรม จนสามารถสอบได้เปรียญ 9 ประโยค และใน ปีพ.ศ.2499 ทรงได้รับเลือกให้เป็นพระอภิบาล พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในระหว่างที่ทรงพระผนวชและเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

และทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในพระราชพิธี ทรงพระผนวชของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ที่ สมเด็จพระญาณสังวร ในปีพ.ศ.2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2532 เฉลิมพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “ สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศธรรมนีติภิบาล อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสารสุขุมธรรมวิธานธำรง วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี คามวาสี อรัณยวาสี ”

อนึ่ง ในการสถาปนาราชทินนามสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คงราชทินนามเดิมเมื่อครั้งที่ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ ที่สมเด็จพระญาณสังวร โดยมิต้องเปลี่ยนราชทินนามเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ตามสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนๆ มา นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกในราชทินนาม สมเด็จพระญาณสังวร

  • 3.7 พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรง พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ประจำฤดู

    พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า พระแก้วมรกต นั้นเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ทำด้วยมณีสีเขียวเนื้อเดียวกันทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 48.3 เซนติเมตร สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระรัศมี 66 เซนติเมตร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1

ได้อัญเชิญกลับคืนมาจากนครเวียงจันทน์ เมื่อเสด็จไปปราบปรามแคว้นล้านช้าง พ.ศ.2321 ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ภายหลังได้ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ได้โปรดให้ย้ายพระนครจากฝั่งธนบุรีมายังกรุงเทพฯ และสร้างพระราชฐานพร้อมทั้งวัดสำหรับประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรขึ้นใหม่ ต่อมาได้ทรงสร้างเครื่องทรงฤดูร้อนและฤดูฝนถวายเป็นพุทธบูชา รวมทั้งสร้างฐานชุกชีกับบุษบกทองที่ประดิษฐานด้วย

เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นอย่างพระมหากษัตริย์ทำด้วยทองคำลงยา ประดับเพชรและมณีต่างๆ มงกุฎที่ทรงเป็นเทริด ยอดประดับเพชรเม็ดใหญ่ เครื่องทรงนี้เปลี่ยนในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 4
เครื่องทรงสำหรับฤดูฝน ทรงอย่างห่มดอง ใช้ทองคำทำเป็นกาบจำหลักลายทรงข้าวบิณฑ์ ประดับมณีต่างๆ ลักษณะเหมือนผ้าทรงอย่างห่มดอง พระศกศิราภรณ์ทำด้วยทองคำลงยาสีน้ำเงิน แก่ปลายพระเกศา ที่เวียนเป็นทักษิณาวรรต ประดับด้วยมณีเม็ดย่อมๆ ทั่วไป พระรัศมีลงยา เครื่องทรงฤดูนี้เปลี่ยนในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ในสมัยรัชกาลที่ 1 เสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยน เครื่องทรง พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรปีละ 2 ฤดู
เครื่องทรงสำหรับฤดูหนาว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ได้ทรงสร้างเครื่องทรงฤดูหนาวเพิ่มขึ้นอีกฤดูหนึ่ง และทรงสร้างมัญจาทองรองรับบุษบกถวาย ทำให้องค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรประดิษฐานในที่สูงเด่นขึ้น เป็นผ้าทรงคลุมแต่ทำด้วยทองเป็นหลอดลงยาร้อยลวดเหมือนตาข่าย ใช้คลุมทั้งสองพระพาหา พระศกคล้ายของฤดูฝน เครื่องทรงฤดูนี้เปลี่ยนในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12

พระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ถือเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญที่จะต้องเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปลี่ยนด้วยพระองค์เอง เว้นแต่ทรงมีพระราชกรณียกิจจำเป็นไม่อาจเสด็จฯ ได้ จึงจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวงศ์เสด็จไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์

ลำดับพระราชกิจในพระราชพิธี
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีดังนี้
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ถึงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เจ้าหน้าที่พระแสงต้น กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ถวายพระแสงดาบคาบค่าย (เป็นพระแสงที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสร้างขึ้น) ทรงรับแล้วพระราชทานให้มหาดเล็กถือเชิญตามเสด็จฯ ตลอดเวลา แล้วเสด็จฯ เข้าสู่พระอุโบสถไปยังบันไดเกยที่ฐานชุกชีด้านหลังบุษบกประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เมื่อเสด็จฯขึ้นบุษบกทรงกราบ ทรงเปลี่ยนมงกุฎหรือพระศกศิราภรณ์ออกจากพระเศียร แล้วทรงหลั่งพระสุคนธ์ด้วยพระมหาสังข์ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างถวายบูชาไว้ในบัวสี มีด้ามเหมือนพวย พักอยู่ที่บุษบกตรงพระพักตร์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร) และพระมหาสังข์เพชรน้อย ทรงซับองค์พระด้วยผ้าขาว 4 ผืน จากนั้นจึงถวายมงกุฎหรือพระศกศิราภรณ์ แล้วเสด็จฯ ลงจากเกยไปประทับพระเก้าอี้ข้างมุข ฐานชุกชีด้านเหนือ ทรงจุ่มผ้าขาวทั้ง 4 ผืนนั้นลงในหม้อพระสุคนธ์ แล้วทรงบิดลงในโถแก้วและ

พระมหาสังข์เพชรน้อย

หม้อน้ำสำหรับเป็นพระพุทธมนต์พระราชทาน แก่พระบรมวงศานุวงศ์ด้วยพระมหาสังข์เพชรน้อย และพระราชทานแก่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วยพระสุหร่าย แล้วเสด็จฯออกหน้าฐานชุกชีทรง

เปลี่ยนยอดพระรัศมี พระสัมพุทธพรรณี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปของรัชกาลที่ 4 สร้างไว้ (ฤดูร้อนใช้กาไหล่ทอง ฤดูฝนใช้แก้วสีน้ำเงิน และฤดูหนาวใช้แก้วขาวบ้างนาคบ้าง) จากนั้นทรงจุดธูปเทียนท้ายที่นั่งบูชา พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี พระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระพุทธรูปฉลอง พระองค์พระบาท สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการทองใหญ่บูชาพระรัตนตรัย เสด็จไปประทับพระราชอาสน์ เจ้าหน้าที่ภูษามาลาเชิญ พระมหาสังข์เพชรน้อย บรรจุพระสุคนธ์ที่สรง พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ที่พระเศียร ของพระองค์เองแล้ว ทรงหลั่งพระราชทาน แก่พระบรมวงศานุวงศ์ตามลำดับ

พระสัมพุทธพรรณี

จากนั้นจึงเสด็จฯ ไปทรงพระสุหร่ายพระราชทานแก่ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ซึ่งเฝ้าอยู่ภายในพระอุโบสถ แล้วประทับพระราชอาสน์ หัวหน้าพราหมณ์เบิกแว่น พราหมณ์เป่าสังข์ ชาวพนักงานประโคมมโหระทึก สังข์ แตร ดุริยางค์ ข้าราชการรับแว่นเวียนเทียนสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรครบ 3 รอบแล้ว
หัวหน้าพราหมณ์ขึ้นบันไดเกยไปเจิมพระพุท ธมหามณีรัตนปฏิมากร หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่วัดพระศรี รัตนศาสดาราม ( ผู้ซึ่งเปลื้องเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรออกก่อนเวลาเสด็จ พระราชดำเนินมาในพิธี ) ได้แต่งเครื่องทรงฤดูใหม่ถวายเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงกราบที่หน้าเครื่องนมัสการ แล้วเสด็จออกจากพระอุโบสถเพื่อ พระราชทานน้ำพระพุทธมนต์ ที่สรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ด้วยพระสุหร่ายแก่ประชาชน (เป็นพระราชดำริซึ่งพระราชทาน พระมหากรุณาธิคุณ อันมีขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 9) ที่มาเฝ้าฯ อยู่รอบพระอุโบสถทั้งในและนอกกำแพงแก้วเสร็จแล้วพระราชทานพระแสงดาบคาบค่ายคืน ให้แก่เจ้าหน้าที่พระแสงนำไปเก็บรักษา แล้วเสด็จฯ กลับ

  • 3.8 พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ

ช้างเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อคนไทยมาแต่อดีตกาล นอกจากความสำคัญในเรื่องประโยชน์การใช้งาน หรือใช้เป็นพาหนะในการทำศึกสงครามแล้ว ช้างยังได้รับการยกย่องจากคนไทยว่าเป็นสัตว์มงคลด้วย โดยเฉพาะช้างเผือก ซึ่งตามคติความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์ถือว่า ช้างเผือกเป็นสัตว์ที่สูงด้วยมงคลทั้งปวง เป็นสัญลักษณ์แห่งเมฆฝนอันนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ ทั้งธัญญาหาร ภักษาหาร และผลาหาร ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองแก่แผ่นดิน รวมถึงความผาสุกร่มเย็นของอาณาประชาราษฎร์ทั้งมวล นอกจากนี้คนไทยยังมีความเชื่อมาแต่โบราณอีกว่า ช้างเผือกเป็นรัตนะคู่บารมีขององค์พระมหากษัตริย์ สิ่งหนึ่งในเจ็ดสิ่งที่เรียกว่า สัปตรัตนะ

อันได้แก่ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ดวงแก้ว (มณี) และนางแก้ว ดังนั้นหากพระมหากษัตริย์พระองค์ใดได้ช้างเผือก มาสู่พระบารมีย่อมแสดงถึงความมีพระบุญญาธิการสูงส่ง อีกทั้งพระบรมเดชานุภาพก็จะเกริกไกรแผ่ไพศาล เป็นที่แซ่ซ้องสาธุการ ของพสกนิกรนานาประเทศ

ด้วยเหตุที่ช้างเผือกมีความเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมือง และองค์พระมหากษัตริย์ดังกล่าวมาแล้ว การได้ช้างเผือกมาสู่พระราชอาณาจักร จึงเป็นนิมิตที่ดีของแผ่นดิน และเป็นประเพณีที่ จะต้องนำช้างนั้นมาเข้าพระราชพิธีสมโภชรับ และขึ้นระวางเป็นพระยาช้างต้น หรือนางพระยาช้างต้น ซึ่งถือเป็นช้างหลวงส่วนพระองค์ ของพระมหากษัตริย์สืบไป

ช้างเผือกเป็นคำที่คนไทยเรียกช้าง ที่มีสีผิวหนังผิดแปลกไปจากสีผิวหนัง ของช้างธรรมดาทั่วไป เช่น มีสีชมพูแกมเทาหรือสีบัวโรยเป็นต้น ช้างเผือกที่คนไทยถือว่าเป็นมงคล ซึ่งจะนำมาเข้าพิธีขึ้นระวางเป็นพระยา หรือนางพระยาช้างต้นได้นั้น มี 3 ประเภท แต่ละประเภทต้องมีลักษณะพิเศษ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติรักษาช้างป่า พ.ศ.2464 ดังนี้

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรฯ และพระเศวตสุรคชาธารฯ

ช้างสำคัญ คือช้างที่มีมงคลลักษณะ 7 ประการ คือ ตาขาว เพดานขาว เล็บขาว ขนขาว พื้นหนังขาวหรือ สีคล้ายหม้อใหม่ ขนหางขาว อัณฑโกสขาว                      หรือสีคล้ายหม้อใหม่
ช้างสีประหลาด คือ ช้างที่มีมงคล ลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดใน 7 อย่าง เช่น ตาขาว เพดานขาว เล็บขาว ขนขาว พื้นหนังขาวหรือสีคล้ายหม้อใหม่
ช้างเนียม คือ ช้างที่มีลักษณะ 3 ประการคือ พื้นหนังสีดำ งามีลักษณะดังรูปปลีกล้วย เล็บดำ

เนื่องจากช้างเผือกเป็นสัตว์มงคล ที่หายาก ดังนั้น ในพระราชบัญญัติรักษาช้างป่า พ.ศ.2464 จึงกำหนดไว้ว่าหากผู้ใดมีช้างสำคัญ ช้างสีประหลาด หรือช้างเนียม ไม่ว่าจะโดยเหตุที่ตนจับได้ โดยการตกลูกของแม่ช้าง หรือโดยเหตุอื่นใดก็ตาม ให้ถือว่าช้างทั้งสามประเภทเป็นสมบัติของแผ่นดิน และจะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้เชี่ยวชาญการดูลักษณะช้าง ไปตรวจดูลักษณะช้างนั้น และหากปรากฏว่าเป็นช้างเผือก ที่มีมงคลลักษณะตามตำราคชศาสตร์ ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวาง ณ จังหวัดที่ได้ช้างนั้น หรือนำมาสมโภชขึ้นระวางที่กรุงเทพฯ ตามแต่พระราชประสงค์ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงเป็นผู้กำหนดด้วยว่า ช้างเผือกที่ได้มานั้นเป็นช้างเผือกชั้นใด ซึ่งตามตำราคชลักษณ์ได้กำหนดชั้นของช้างเผือกไว้ 3 ชั้น คือ

ช้างเผือกเอก เป็นช้างสีสังข์และช้างทองเนื้อริน
ช้างเผือกโท เป็นช้างสีบัวโรย
ช้างเผือกตรี เป็นช้างที่มีสีดังนี้คือ ช้างสียอดตองตากแห้ง สีแดงแก่ สีแดงอ่อน สีทองแดง และสีเมฆ

พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญเป็นพระราชพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นเพื่อสมโภชการรับช้างสำคัญขึ้นระวางเป็นช้างต้นหรือช้างหลวงของพระมหากษัตริย์ อันเป็นพระราชประเพณีที่มีมาแต่โบราณกาล ส่วนระยะเวลาของการจัดงานพระราชพิธีดังกล่าว ในสมัยก่อนมิได้มีการกำหนดแน่นอน เช่นในสมัยรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 5 จัดงาน 5 วัน สมัยรัชกาลที่ 6 จัดงาน 4 วัน เป็นต้น สำหรับในรัชกาลปัจจุบันมีการจัดงานตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตามความเหมาะสมของสภาพบ้านเมือง โดยการพระราชพิธีมีทั้งพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ ซึ่งขั้นตอนพิธีที่สำคัญๆ ได้แก่

1. พิธีจารึกนามพระราชทานช้างสำคัญลงบนอ้อยแดง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามแก่ช้างสำคัญ ซึ่งแสดงถึงคชลักษณ์อันเป็นมงคลลักษณะและเป็นการยกย่องช้างเผือกคู่พระบารมีของพระองค์ ให้มีฐานะเทียบเท่าเจ้านายชั้นสูง เจ้าพนักงานอาลักษณ์จะเป็นผู้จารึกนามที่พระราชทานมาลงบนอ้อยแดงแล้วพระราชครูพราหมณ์ จะทำพิธีจารึกเทพมนต์กำกับที่อ้อยแดงนั้น มักประกอบพิธีในพระอุโบสถ ก่อนหน้าวันพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญหรือในช่วงเช้าของวันพระราชพิธีฯ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จะพระราชทานอ้อยแดงดังกล่าว แก่ช้างสำคัญในวันพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญด้วย

ส่วนนามพระราชทานนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงกำหนดให้ใช้คำว่า พระเศวต นำหน้าชื่อ และลงท้ายด้วยคำว่า เลิศฟ้า ซึ่งได้ทรงยึดถือเป็นราชประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน

2. พิธีถวายช้างสำคัญ
เป็นพิธีนำช้างสำคัญน้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อย่างเป็นทางการ และทรงรับการถวายช้างสำคัญนั้น พิธีถวายช้างสำคัญบางเชือกจัดให้มีขึ้นก่อนหน้าวันพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ แต่บางเชือกก็จัดไว้ในวันเดียวกันกับวันพระราชพิธีสมโภช โดยกำหนดการต่างๆ เป็นไปตามพระราชประสงค์ ซึ่งมีขั้นตอนพอสังเขปดังนี้

1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
2. พิธีกล่าวรายงานประวัติช้างสำคัญและเบิกตัวผู้น้อมเกล้าฯถวายช้างสำคัญ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายช้างสำคัญ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
3. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำพระพุทธมนต์พระราชทานแก่ช้างสำคัญ และพระราชทานเครื่องคชาภรณ์สำหรับแห่ให้แต่งช้างสำคัญ
4. ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแก่พระสงฆ์

3. พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ  มีขั้นตอนโดยสังเขปดังนี้
3.1 จัดกระบวนแห่ช้างสำคัญเข้าสู่โรงพระราชพิธี ประกอบด้วยกระบวนหน้า กระบวนอิสริยยศพระยาช้างต้น มีคู่แห่กลองชนะ สังข์ แตร และเครื่องสูงต่างๆ ตามด้วยกระบวนหลังและกระบวนสมทบ ฯลฯ สำหรับโรงพระราชพิธีหรือโรงสมโภช ที่ประกอบพระราชพิธี อาจเป็นโรงช้างชั่วคราว หรือโรงช้างของจังหวัด ที่ได้ช้างมา หรืออาจทำในโรงช้างต้นที่สร้างให้ช้างอยู่ประจำก็ได้ รัชกาลปัจจุบันได้ทรงสร้างโรงช้างต้นขึ้นมา ใหม่ในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สำหรับเป็นที่อยู่ของช้างสำคัญที่สมโภชขึ้นระวางแล้ว โรงช้างเดิมกรมศิลปากรได้บูรณะและจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ช้างต้น

– พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธปฏิมาชัยหลังช้าง ทรงศีล ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแก่พระสงฆ์ ซึ่งจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานย่ามปักอักษร บอกงานพระราชพิธีฯ เป็นพิเศษด้วย
– ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระเทวกรรม
– พราหมณ์ทำพิธีบูชาพระเทวกรรมและราชบัณฑิตจุดธูปเทียนบูชาจุฬาฐทิฐ
– พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ด้วย พระเต้าเทวบิฐ และน้ำพระมหาสังข์พระราชทาน แก่ช้างสำคัญ ทรงเจิมกระพองช้างสำคัญและพระราชทานอ้อยแดง ซึ่งจารึกนามพระราชทานช้างสำคัญ
– พระมหาราชครูพราหมณ์หลั่งน้ำเทพมนต์และเจิมช้างสำคัญ
– พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานเครื่องต้นคชาภรณ์ให้แต่งช้างสำคัญ ตามยศพระยาช้างต้น ซึ่งประกอบด้วยผ้าปกหลัง ปกกระพอง เครื่องผูกหุ้มทอง สายสร้อยคอห้อยก้อนทองหรือเสมาทอง พู่หู ชนักสีแดง พานหน้าหุ้มตาดสีทอง ประโคนหุ้มตาดสีทอง สำอางหุ้มตาดสีทอง
– พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระสุหร่ายและทรงเจิมแผ่นป้ายพระสุพรรณบัฏนามพระยาช้างต้น

3.2 พิธีอาบน้ำช้างสำคัญ คือการนำช้างสำคัญไปเข้าพิธีอาบน้ำที่เบญจา ซึ่งเป็นที่เตรียมไว้ สำหรับให้ช้างสำคัญอาบน้ำ สร้างเป็นปะรำพิธีที่ข้างโรงสมโภช มีแท่นเสาตะลุงเบญจา พาดหุ้มผ้าขาว ยอดทอง ตั้งขันสาครใหญ่และขันน้ำสำหรับอาบน้ำช้างสำคัญและวางสายสิญจน์โยงเนื่องกันกับโรงสมโภชด้วย

3.3 พิธีนำช้างสำคัญตักบาตร หลังจากช้างสำคัญเข้าพิธีอาบน้ำแล้ว นำช้างสำคัญไปตักบาตรพระสงฆ์เพื่อความเป็นสิริมงคล

3.4 พิธีอ่านฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างและกาพย์ขับไม้ประกอบซอสามสาย นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่ง เนื่องจากคำฉันท์ดุษฎีสังเวยและการขับไม้ถือเป็นของสูง จะมีเฉพาะพระราชพิธีสำคัญๆ และพระราชพิธีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นพิเศษเท่านั้น

เนื้อความในคำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างเป็นการกล่าวสรรเสริญเทพเจ้าและขอพรอำลาไพรที่ช้างเคยอาศัยอยู่ การได้ช้างเชือกนั้นมาสู่พระบารมีพระมหากษัตริย์ พรรณนาชมเมืองที่ช้างจะมาอยู่และกล่อมสั่งสอนให้ช้างได้รับรู้และรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ คำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างนิยมแต่งเป็น 4 ลา คือ ลา 1 บทสดุดีหรือขอพร ลา 2 ลา ไพร ลา 3 ชมเมือง ลา 4 สอนช้าง ส่วนกาพย์ขับไม้ นิยมแต่งเป็น 5 แผด คือ แผด 1 ขอพร แผด 2 ลาไพร แผด 3 ชมเมือง แผด 4 สอนช้าง แผด 5 ชมเครื่องคชาภรณ์

3.5 พิธีเวียนเทียน พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเวียนเทียน สมโภชพระยาช้างต้น จากนั้นพราหมณ์เจิมพระยาช้างต้นและป้อนน้ำมะพร้าวอ่อน การจัดพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญนี้จัดตามแบบแผน โบราณราช ประเพณีทุกอย่าง นับว่าได้มีการฟื้นฟูกวีนิพนธ์ด้วย ประชาชนต่างนิยมชื่น ในพระบารมีพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรอย่างยิ่ง

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นับตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อพ.ศ.2489 จวบจนถึงพ.ศ.2523 มีการจัดพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญทั้งหมดรวม 8 ครั้ง 10 เชือกคือ

สมโภชครั้งที่ 1  สมโภชพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เป็นช้างเผือกเชือกแรกในรัชกาลปัจจุบัน เป็นช้างพลายเผือกโทลูกเถื่อน ( คือลูกช้างที่เกิดจากช้างเถื่อนในป่า ) มีลักษณะเป็นช้างสำคัญในตระกูลพรหมพงศ์ จำพวกอัฏฐทิศ ชื่อหมู่กมุท นายแปลกคล้องได้ที่จังหวัดกระบี่ เมื่อพ.ศ.2499 จัดพระราชพิธีสมโภชขึ้น ระวาง ณ โรงช้างต้น พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 10-11 พฤศจิกายน พ.ศ.2502 ได้รับพระราชทานนามว่า “ พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนวมนาถบารมี ทุติยเศวตกรี กมุทพรรโณภาส บรมกมลาสนวิสุทธิวงศ์ สรรพมงคลลักษณะคเชนทรชาติ สยามราษฎร์สวัสดิประสิทธิ รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการ ปรมินทรบพิตร สารศักดิ์เลิศฟ้า ”

สมโภชครั้งที่ พระเศวตวรรัตนกรีฯ พระเศวตวรรัตนกรีฯ เป็นช้างพลายเผือก ลูกบ้าน ตกลูกที่บ้านนายแก้ว ปัญญาคง ตำบลอ่อนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อหมู่ดามพหัสดินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวาง ณ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 22–24 มกราคม พ.ศ.2509 และทรงพระราชทานนามว่า “ พระเศวตวรรัตนกรี นพีสีสิริ พิงคนัทย์ เอกาทัศมงคลสุลักษณ์ ศุภนัขเนตราทิโควรรณ์ พิษณุพันธุ์อัครคชาธาร อัฐ์กุลสารดามพหัสดิน ปรมินทรมหาราชพาหน สยามประชาชนสวัสดิคุณ เดชอดุลยสารเลิศฟ้า 

สมโภชครั้งที่ 
พระเศวตสุรคชาธารฯ  พระเศวตสุรคชาธารฯ เป็นช้างพลายเผือก ลูกเถื่อนพลัดแม่ มีลักษณะเป็นช้างสำคัญในตระกูลพรหมพงศ์ จำพวกช้าง 10 หมู่ ชื่อ หมู่ดามพหัตถี นายเจ๊ะเฮง หะระตี กำนันตำบลการอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา เป็นผู้พบ สมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญวันที่ 10–11 มีนาคม พ.ศ.2511 ได้รับพระราชทานนามว่า “ พระเศวตสุรคชาธาร บรมนฤบาลสวามิภักดิ์ ศุภลักษณเนตราทิคุณ ทศกุลวิศิษฏ พรหมพงศ์ อดุลยวงศดามพหัตถี ประชาชนะสวัสดีวิบูลยศักดิ์ อัครสยามนาถสุรพาหน มงคลสารเลิศฟ้า 

สมโภชครั้งที่ พระนางศรีเศวตศุภลักษณ์ อรรครัตนกริณีฯ พระนางศรีเศวตศุภลักษณ์ อรรครัตนกริณีฯ เป็นช้างพังเผือก ลูกเถื่อนเดิมชื่อเจ้าแต๋น มีลักษณะเป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อหมู่ดามพหัสดินทร์ กรมป่าไม้ได้มาจากอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา นำไปเลี้ยงไว้ ณ วนอุทยานเขาช่องจังหวัดตรัง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางต่อเนื่องกันในวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2519 ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต และพระราชทานนามว่า “ พระนางศรีเศวตศุภลักษณ์ อรรครัตนกริณี ดามพหัสดีพิษณุพงศ์ ดำรงสุทธสกนธ์สุคนธชาติ เฉลิมราชกฤดาบารมีศรีตรังคพิเศษสุทธิ์ อุตดมสารเลิศฟ้า ”

สมโภชครั้งที่ พระเศวต สุทธวิลาสฯ พระเศวตศุทธวิลาสฯ เป็นช้างพลายเผือก มีมงคลลักษณะเป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อหมู่ดามพหัสดินทร์ เดิมชื่อบุญรอด คนงานของกรมป่าไม้พบที่บริเวณแม่น้ำแควน้อย จังหวัดกาญจนบุรี ภายหลังได้นำมาเลี้ยงไว้ ณ วนอุทยานเขาเขียว จังหวัดชลบุรี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวาง เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2520 ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ได้รับพระราชทานนามว่า “ พระเศต สุทธวิลาส อัฐคชาชาตพิษณุพงศ์ ดำรงประภาพมหิมัน ตามรพรรณไพศิษฏ์ ผริตวรุตตมมงคล ดาลศุภผลสวัดิบุล อดุลยลักษณ์เลิศฟ้า 

สมโภชครั้งที่ 6  พระวิมลรัตนกิริณีฯ พระวิมลรัตนกิริณีฯ เป็นช้างพังเผือก มีมงคลลักษณะเป็นช้างสำคัญในตระกูล พรหมพงศ์ จำพวกอัฏฐทิศ ชื่อหมู่กมุท เดิมชื่อพังขจร นายปรีชาและนางพิมพ์ใจ วารวิจิตร ได้มาจากป่าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และนำมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน ณ ทุ่งสีกัน กรุงเทพฯ แล้วได้นำขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวาง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2520 ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต พระราชทานนามนางพระยาช้างต้นว่า “ พระวิมลรัตนกิริณี กมุทศรีพรรณโศภิต อัฐทิศพงศ์กมลาสน์ อรรคราชทิพยพาหน ถกลกิตติคุณกำจร อมรสารเลิศฟ้า 

สมโภชครั้งที่ พระศรีนรารัฐราชกิริณีฯ พระศรีนรารัฐราชกิริณีฯ เป็นช้างพังเผือก มีมงคลลักษณะ เป็นช้างสำคัญในตระกูลพรหมพงศ์ จำพวกอั ฏ ฐทิศ ชื่อหมู่อัญชัน เดิมมีชื่อเป็นภาษาพื้น บ้าน ว่า จิ ภายหลังได้รับการตั้งชื่อใหม่ว่า จิตรา นายมายิ มามุ ราษฎรบ้านกูมุง หมู่ 7 ตำบลจะแนะ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เป็นผู้พบบนเทือกเขากือซา กระทรวงมหาดไทยร่วมด้วยประชาชนจังหวัดนราธิวาส ได้นำช้างสำคัญเชือกนี้น้อมเกล้าฯ ถวายตามราชประเพณี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการ พระราชพิธีสมโภช ขึ้นระวางช้างสำคัญขึ้น ณ จังหวัดนราธิวาส ระหว่างวันที่ 23–25 สิงหาคม พ.ศ.2520 จารึกนามที่พระราชทานขึ้นระวางเป็นนางพระยาช้างต้นว่า “ พระศรีนรารัฐราชกิริณี จิตรวดีโรจนสุวงศ์ พรหมพงศ์อัฐทิศพิศาล พิเสฐธารธรณิพิทักษ์ คุณารักษ์กิตติกำจร อมรสารเลิศฟ้า 

สมโภชครั้งที่ 
พระเศวตภาสุรคเชนทร์ฯ พระเทพวัชรกิริณีฯ และพระบรมนขทัศฯ (รวม 3 เชือก)

1. พระเศวตภาสุรคเชนทร์ฯ  เป็นช้างพลายเผือก มีมงคลลักษณะเป็นช้างสำคัญในตระกูล วิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อหมู่ดามพหัสดินทร์ เดิมชื่อภาศรี มีประวัติว่าเกิดประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ.2518 จากแม่ช้างป่าในเขตตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ขณะอายุได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ชาวบ้านกระเหรี่ยง บ้านหนองปืนแตก ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่ายาง จับได้ แล้วตกไปอยู่กับตำรวจหมวดโจมตี ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 706 ต่อมานายสุรเดช มหารมย์ เจ้าของไร่ภาศรี ใกล้เขื่อนแก่งกระจาน อำเภอท่ายาง นำมาเลี้ยงไว้

2. พระเทพวัชรกิริณีฯ  เป็นช้างพังเผือก มีมงคลลักษณะเป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อหมู่ดามพหัสดินทร์ เดิมชื่อกำพร้า ภายหลังได้รับการตั้งชื่อใหม่ว่าขวัญตา ช้างสำคัญนี้มีประวัติว่าเกิดประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2519 จากแม่ช้างป่า เขตท้องที่ป่าเด็ง ป่ายาง ตำบลสองพี่น้อง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ขณะอายุได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ชาวบ้านอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อาชีพรับจ้างทำไม้จับได้และนำมาให้นายสนิท ศิริวานิช กำนันตำบลเขาน้อย อำเภอปราณบุรี ต่อมาเมื่อนายสนิท ศิริวานิช ถึงแก่กรรม ทายาทได้นำไปถวายแก่พระปลัดบุญส่ง ธัมมปาโล เจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี

3. พระบรมนขทัศฯ  เป็นช้างพลายเผือก มีมงคลลักษณะเป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อหมู่ครบกระจอก เดิมชื่อดาวรุ่ง พระปลัดบุญส่ง ธัมมปาโล เจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ ได้ขอมาจากราษฎรอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำมาเลี้ยงไว้ที่วัดเขาบันไดอิฐ คู่กับช้างพังขวัญตา

กระทรวงมหาดไทยร่วมกับประชาชนชาวจังหวัดเพชรบุรีได้นำช้างสำคัญทั้ง 3 เชือก น้อมเกล้าฯถวายพร้อมกันตามโบราณราชประเพณี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญทั้ง 3 เชือก เมื่อวันที่ 25–26 พฤษภาคม พ.ศ.2521 ณ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อเป็นสิริมงคลและเป็นเกียรติประวัติแก่ส่วนภูมิภาคนี้

จารึกนามพระราชทานขึ้นระวางเป็นช้างต้นดังนี้
          1. ช้างพลายภาศรี ได้รับพระราชทานนามว่า “ พระเศวตภาสุรคเชนทร์ นวเมนทรพาหน สุทธวิมลวิษณุพงศ์ คุณธำรงดามพหัสดินทร์ สุพัชรินทร์อนันตพล คชมงคลเลิศฟ้า ”
          2. ช้างขวัญตา ได้รับพระราชทานนามว่า “ พระเทพวัชรกิริณี ดามพหัสดีพิษณุพงศ์ โสตถิธำรงวิสุทธิลักษณ์ อำนรรฆคุณสบสกนธ์ วิมลสารโสภิต พิบูลกิต ติ์ เลิศ ฟ้า 
          3. ช้างพลายดาวรุ่ง ได้รับพระราชทานนามว่า “ พระบรมนขทัศ วัชรพ่าหน์พิษณุพงศ์ โสตถิธำรงอัฏฐคช ดิเรกยศ อนันตคุณ อดุลสารเลิศฟ้า ”

หนึ่ง ในรัชกาลที่ 9 นอกจากช้างสำคัญทั้ง 10 เชือก ซึ่งได้สมโภชขึ้นระวางเป็นช้างต้นแล้ว ยังมีช้างสำคัญและช้างสีประหลาดมาสู่พระบารมี แต่มิได้สมโภชขึ้นระวางเป็นช้างต้น ดังนี้

1. ช้างพลายแก้วขาว ช้างพลายเชือกนี้ มีมงคลลักษณะเป็นช้างสำคัญในตระกูลพรหมพงศ์ จำพวกอัฏฐทิศ ชื่อหมู่อัญชัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้กราบบังคมทูลน้อมเกล้าฯ ถวาย ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์และทูลเกล้าฯ ถวายเอกสารใบสำคัญรูปพรรณทะเบียนพาหนะ เมื่อปี พ.ศ.2519 ส่วนตัวช้างพลายนั้นได้นำไปฝากดูแลที่ศูนย์ฝึกลูกช้าง จังหวัดลำปาง ยังมิได้สมโภชขึ้นระวางเนื่องจากล้มเสียก่อนในปีเดียวกันนั้นเอง

2. ช้างพลายก้อง ช้างพลายเชือกนี้ กรมป่าไม้นำไปเลี้ยงไว้ ณ วนอุทยานเขาเขียว จังหวัดชลบุรี หลังจากที่ได้ตรวจสอบแล้วปรากฏว่า เป็นช้างมีมงคลลักษณะจัดเข้าจำพวก ช้างสีประหลาด ยังมิได้น้อมเกล้าฯ ถวาย เนื่องจากล้มเสียก่อน

โรงช้างต้น ในบริเวณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

3. ช้างพลายวันเพ็ญ ช้างพลายเชือกนี้เป็นของนายทรัพย์ พุกดุ่ย ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 5 ตำบลไม้รวก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี นายศุภโยค พาณิชวิทย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นำมาน้อมเกล้าฯถวาย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2521

4. ช้างพังมด ช้างพังเชือกนี้ได้มาจากจังหวัดกาญจนบุรี นางไฉไล ถาวร น้อมเกล้าฯ ถวาย ณ สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2522

5. ช้างพลายขวัญเมืองและช้างพลายยอดเพชร ช้างพลาย 2 เชือกนี้ นายประสาท โพธิปิติ และพระปลัดบุญส่ง ธัมมปาโล เจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ จังหวัดเพชรบุรี เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระ – บาท น้อมเกล้าฯ ถวาย ณ สนามมุขตะวันออก พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2523

ช้างเผือก 10 เชือก ที่ยืนอยู่ ณ โรงช้างต้น ในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในปีพ.ศ.2530