พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
บทที่ 9 พระราชกรณียกิจด้านการศึกษาในระบบการศึกษานอกโรงเรียน
โครงการตามพระราชประสงค์ที่ทรงจัดทำขึ้นเป็นโครงการที่มีความสมบูรณ์ ครอบคลุมเนื้อหาสาระพร้อมสรรพวิทยาหลายสาขา อันเป็นการให้การศึกษานอกโรงเรียนที่สมบูรณ์แบบ คือให้การศึกษาเพื่อให้รู้จักแก้ปัญหา ศึกษาอาชีพ และพัฒนาความรู้เฉพาะอย่าง ตามความต้องการและความสนใจของราษฎร โดยเน้นทางการปฏิบัติ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ ทรงเน้น 2 ประการ คือ ให้ผลการศึกษาต่างๆ นั้น ไปสู่ประชาชนโดยเร็วที่สุดและอย่างกว้างขวาง อีกทั้งจะต้องถูก เรียบง่าย ซึ่งประชาชนสามารถดำเนินการได้ในขอบขีดอันจำกัดของเขาเอง ทรงทำการสอนโดยวิธีการทำ “ สาธิต ” ให้แนวทางด้วยพระองค์เอง จนประชาชนสามารถปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาทและพัฒนาชีวิตได้ดีขึ้นอย่างแท้จริง
โครงการตามพระราชประสงค์มีมากมาย ในที่นี้ขออัญเชิญบางโครงการมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เห็นพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงทำเพื่อสอนประชาชน
โครงการต่างๆ ที่ทรงริเริ่มและเป็นต้นแบบทางการศึกษานอกโรงเรียนมีดังนี้
1. โครงการฝนหลวงพิเศษ
2. โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา และโครงการที่เกี่ยวเนื่อง
3. โครงการต้นแบบของอุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดย่อม เช่น โครงการโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป
4. โครงการชลประทาน
5. โครงการประมงพระราชทาน
6. โครงการด้านการผลิตนม ได้แก่ โครงการโรงโคนมสวนจิตรลดา โครงการโรงนมผงสวนดุสิต และโครงการศูนย์รวมนมสวนจิตรลดา
7. โครงการด้านการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการนาสาธิตสวนจิตรลดา และโครงการโรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดา
8. โครงการพระดาบส และโครงการลูกพระดาบส
1. โครงการฝนหลวงพิเศษ

“….. ท่านทั้งหลายก็เป็นประจักษ์พยานว่า การทำฝนเทียมได้ชุบชีวิตต้นไม้ซึ่งมิฉะนั้นก็เสียหายไป ฉะนั้นจึงเกิดความยินดีมากที่ท่านทั้งหลาย ได้มาพบกันในวันนี้ ได้นำเงินมาสมทบในกิจการฝนเทียม และได้นำผลิตผลซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาให้ ความดีใจนี้มีหลายประการ อย่างหนึ่งก็ได้เห็นว่าท่านทั้งหลายได้มีความสุขสบาย อีกอย่างหนึ่งก็ที่เห็นว่ากิจการมีผลดี และท่านทั้งหลายทราบดี ก็ขอขอบใจท่านทั้งหลายที่ร่วมมือ ทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่ได้ร่วมมือในกิจการ และกำลังช่วยให้ประชาชนมีความสุข ความเรียบร้อยทุกประการ ตามหน้าที่ อันนี้นำความปลาบปลื้มแก่ข้าพเจ้าอย่างมาก
ฉะนั้นก็ขอขอบใจท่านทั้งหลายทุกฝ่ายที่ได้ร่วมมืออย่างมีสามัคคีที่กระชับแน่นแฟ้นที่สุด เป็นทางที่ทำให้ท้องที่มีความเจริญมั่นคง และเมื่อท้องที่มีความเจริญมั่นคงแล้ว ประเทศชาติย่อมอยู่ได้ มีทางที่จะก้าวหน้าเพราะทุกคนร่วมมือกัน ทุกคนช่วยซึ่งกันและกัน ทุกคนมีความเห็นอย่างไรก็แจ้งออกมา
ผู้ที่ได้รับฟังก็ย่อมรับฟังด้วยเหตุผลที่ดี อันนี้เป็นวิธีการที่จะอยู่ในชีวิตของประเทศชาติ อันนี้เป็นความปลื้มที่ใหญ่ที่สุดที่เห็นความสามัคคี ความขยันหมั่นเพียร ความซื่อสัตย์สุจริตประจักษ์ออกมา ก็ขอขอบใจทุกท่านทุกฝ่ายที่ได้แสดงว่าเมืองไทยเรามีวิธีปฏิบัติ … จะไม่เรียกว่าวิธีปกครอง … วิธีปฏิบัติทั้งในด้านชีวิต ทั้งในด้านอาชีพ ตั้งแต่การเป็นอยู่ส่วนตัวจนกระทั่งถึงการจัดระเบียบการทุกขั้นอย่างมีเหตุผล มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน มีความขยันหมั่นเพียรรู้จักหน้าที่ อันนี้ทำให้เมืองไทยคงอยู่ด้วยความผาสุก ด้วยความมั่นคงไปตลอดกาล …”
ปีที่เริ่มดำเนินการ
พุทธศักราช 2499
วัตถุประสงค์ โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงห่วงใยพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดารที่ต้องประสบกับความแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำสำหรับบริโภคและน้ำสำหรับการเพาะปลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน ในฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูเพาะปลูก ทำให้พืชผลเสียหายเสมอมา จึงทรงมีพระราชดำริที่จะนำวิธีการทำฝนเทียมมาใช้แก้ไขบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร
ความเป็นมา
โดยพระราชประสงค์ดังกล่าว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล แห่งกระทรวงเกษตร ทำการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาวิธีการทำฝนเทียมให้ได้ผล ในปี พ.ศ.2499
การดำเนินงาน
หม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล ได้ศึกษาค้นคว้าวิธีการทำฝนเทียมที่ทำกันแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ อยู่เป็นเวลานานถึง 12 ปี จนถึงปี พ.ศ.2512 กระทรวงเกษตรจึงได้ตั้งคณะปฏิบัติการขึ้น ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กองวิศวกรรม กรมการข้าว หน่วยบินเกษตร และกองเกษตรสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตร โดยมีหม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นหัวหน้าคณะ ทำการทดลองปฏิบัติการทำฝนเทียมเป็นครั้งแรกที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2512
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปทำการทดลองที่สนามบินบ่อฝ้าย อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2512 เป็นต้นมา ด้วยทรงเห็นว่าเป็นที่เหมาะสม กล่าวคือมีสภาพภูมิประเทศต่างๆ กัน ทั้งที่ราบ ภูเขา และทะเล ไม่ต้องเกรงอุทกภัยอันเนื่องจากการทดลอง เพราะสามารถที่จะระบายน้ำลงทะเลได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับทั้งเป็นท้องถิ่นที่ประสบปัญหาความแห้งแล้งอยู่เสมอ แม้จะอยู่แถบชายทะเล นอกจากนั้นยังมีหน่วยราชการที่จะอำนวยความสะดวกอยู่แล้ว เช่น หอบังคับการบิน และสนามบินของกรมการบินพลเรือน สถานีตรวจอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา วิทยุสื่อสารของกรมตำรวจ และทางคมนาคมสะดวกในการใช้รถยนต์ติดตามสังเกตการณ์ผลการปฏิบัติงานด้วย
คณะปฏิบัติการทำฝนเทียมได้ทำการศึกษาค้นคว้า ทดลอง และพัฒนาวิธีการทำฝนเทียมเรื่อยมา จนกระทั่งได้ริเริ่มพัฒนากรรมวิธีที่ค้นพบใหม่ขึ้นมาเอง ซึ่งเหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศของประเทศไทยโดยเฉพาะ แตกต่างจากกรรมวิธีที่ปฏิบัติอยู่ในประเทศต่างๆ คณะปฏิบัติการฯ ได้นำเอาวิธีที่ค้นพบและพัฒนาขึ้นนี้ มาปฏิบัติการทำฝนเทียมช่วยเหลือราษฎรอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ.2514 และปฏิบัติการเรื่อยมา ซึ่งปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง
คณะปฏิบัติการฯ ได้ใช้เวลาดำเนินการทำฝนเทียมในจังหวัดต่างๆ รวมวันเดินทางทั้งสิ้น 123 วัน ปฏิบัติการทำฝนเทียมในจังหวัดต่างๆ รวม 16 ครั้ง รวมจำนวนวันที่ใช้ในการปฏิบัติการทั้งหมด 86 วัน สามารถทำให้ฝนตกได้รวม 81 ครั้ง สามารถช่วยเหลือพื้นที่นาให้รอดพ้นจากความเสียหายเนื่องจากความแห้งแล้ง กล่าวคือ สามารถทำให้ฝนตกได้ปริมาณน้ำฝนเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงต้นข้าวให้เจริญงอกงาม เพื่อรองรับน้ำฝนที่จะตกตามธรรมชาติต่อไป รวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 19,215,000 ไร่ รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานครั้งนี้ทั้งสิ้น 877,000 บาท เฉลี่ยแล้วมีค่าใช้จ่ายไร่ละ 4.6 สตางค์ (ข้อมูลในปี พ.ศ.2518)
กรรมวิธีในการทำฝนเทียมที่พัฒนาขึ้นมาและใช้อยู่ในปัจจุบัน
ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติตามกรรมวิธีข้างต้น สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องกระทำก่อนก็คือ ต้องทำการสำรวจและวัดสภาพอากาศทั้งทางอากาศ และทางภาคพื้นดิน สิ่งที่ต้องศึกษาและทำการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนก็คือ การเปลี่ยนแปลงของความชื้นสัมพัทธ์ อุณหภูมิ ความกดอากาศ ความเร็ว และทิศทางของลม สภาพของท้องฟ้าและปริมาณเมฆที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เพื่อประกอบการพิจารณาในการที่จะตัดสินใจที่จะปฏิบัติการทำฝนเทียมในแต่ละวันและแต่ละท้องถิ่น ซึ่งใช้กรรมวิธีเดียวกัน แตกต่างกันเพียงที่ปริมาณสารเคมีและอัตราส่วนผสมที่จะใช้เท่านั้น นอกจากนั้นต้องสำรวจและวัดสภาพอากาศในระดับต่างๆ ตั้งแต่พ้นจากพื้นดินขึ้นไป จนบางครั้งสูงถึง 10,000 ฟิต วัดระดับความสูงของฐานเมฆ เพื่อตัดสินใจที่จะปฏิบัติการในระดับความสูงที่ถูกต้อง และใช้สารละลาย เช่น น้ำเกลือในอุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นต้น
เมื่อตัดสินใจในปัญหาต่างๆ ดังกล่าวแล้วข้างต้น ก็ปฏิบัติการทำฝนเทียมด้วยกรรมวิธีตามลำดับดังนี้ คือ
- 1. สร้าง หรือเร่งให้เมฆก่อตัว
เป็นวิธีเร่งหรือกระตุ้นธรรมชาติในการเพิ่มแกนอากาศ เพื่อก่อให้เกิดเมฆและทำให้เมฆที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติรวมตัวกันหนาแน่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังช่วยให้เมฆที่สร้างขึ้นและเมฆตามธรรมชาติรวมตัวกันเข้าเป็นพืดใหญ่และหนาแน่นยิ่งขึ้น ทั้งนี้โดยการใช้เครื่องบินโปรยละอองน้ำเกลือให้ฟุ้งกระจายในท้องฟ้าในระดับบินที่สูงเหมาะสม คือ ในระหว่าง 3,000-8,000 ฟิต แล้วแต่ผลการสำรวจว่าสภาพอากาศขณะนั้นเป็นอย่างไร ความเข้มข้นของน้ำเกลือขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ หากท้องฟ้ามีเมฆที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่แล้วค่อนข้างมาก แสดงว่ามีปริมาณแกนในอากาศมากพอสมควรอยู่แล้ว ก็ใช้น้ำเกลือที่มีความเข้มข้นน้อย ส่วนในสภาพที่ท้องฟ้าโปร่งปราศจากเมฆ หรือมีปริมาณเมฆที่เกิดตามธรรมชาติน้อย แต่มีเปอร์เซ็นต์ความชื้นสัมพัทธ์สูง จำเป็นต้องใช้น้ำเกลือที่มีความเข้มข้นสูง ความเข้มข้นของน้ำเกลือสูงที่สุดที่ใช้มีถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอุณหภูมิของน้ำเกลือใช้ตั้งแต่อุณหภูมิเท่ากับอากาศจนถึง –15 องศาเซ็ลเซียส ยิ่งอุณหภูมิอากาศยิ่งต่ำ ยิ่งต้องใช้น้ำเกลือที่เย็นจัดขึ้นตามลำดับ สำหรับปริมาณเกลือที่ใช้ในการปฏิบัติการในแต่ละวันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศดังกล่าว โดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เกลือระหว่างวันละ 1,500 ถึง 2,500 กิโลกรัมต่อการปฏิบัติการแต่ละวัน
- 2. เร่ง และช่วยให้เมฆรวมตัว
ทำการเร่งเมฆให้ก่อรวมตัวกันจนหนาแน่นรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยใช้เกลือทำน้ำแข็งแห้งที่บดย่อยให้มีขนาดต่างๆ กัน ตั้งแต่ละเอียดเป็นเกล็ดเล็กๆ จนถึงโต ขนาดประมาณหนึ่งลูกบาศก์นิ้ว โปรยในระดับบินสูงใต้ฐานเมฆ สร้างจุดความเย็นซึ่งก่อให้เกิดหย่อมความกดอากาศต่ำเฉพาะแห่ง การโปรยอาจทำให้เป็นรัศมีวงกลมหรือวงรี หรือเป็นแนวยาวแล้วแต่ลักษณะรูปร่างพื้นที่ของเป้าหมายปฏิบัติการ นอกจากการเร่งการก่อรวมตัวของเมฆให้เกิดขึ้นแล้ว ยังชักนำเมฆที่มีอยู่ตามธรรมชาติโดยรอบเป้าหมายให้เคลื่อนตัว เข้ามารวมตัวด้วยจนเป็นพืดใหญ่
และปกคลุมพื้นที่เป็นอาณาบริเวณกว้าง มีลักษณะเป็นดีเปรสชั่นเล็กๆ และชักนำให้เมฆลดต่ำลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย หากสภาพอากาศเหนือพื้นดินใต้ฐานเมฆลงมา มีสภาพที่อำนวยให้ก็อาจจะเกิดเป็นฝนตกได้ในที่สุด แต่อาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย ปริมาณน้ำแข็งแห้งที่ใช้นี้ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ของเป้าหมาย และสภาพของอากาศ ฉะนั้นจึงใช้น้ำแข็งแห้งประมาณ 200 – 400 กิโลกรัม ต่อการปฏิบัติการในแต่ละวัน
- 3. เร่ง และบังคับให้เมฆฝนเกิดเป็นฝนตก
เมื่อเมฆฝนหนาแน่นอิ่มตัวเต็มที่แล้ว ปกคลุมเป้าหมายเป็นบริเวณกว้าง เพื่อป้องกันมิให้เคลื่อนตัวพลาดเป้าหมาย อาจเร่งให้ฝนตกเร็วขึ้น และตกลงสู่เป้าหมาย โดยใช้เครื่องบินโปรยละอองน้ำธรรมดาหรือน้ำเกลือเจือจาง มีความเข้มข้นไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ เข้าไปใต้ฐานเมฆ เพื่อให้ไอน้ำในฐานเมฆกลั่นตัวรอบละอองน้ำจนกลายเป็นเมล็ดน้ำใหญ่ขึ้น และเกิดเป็นฝนตกในที่สุด อุณหภูมิของน้ำหรือน้ำเกลือเจือจางที่ใช้ต่ำกว่าอุณหภูมิของเมฆฝนนั้นเล็กน้อย แต่ไม่ต่ำกว่า -5 องศาเซ็ลเซียส ปริมาณน้ำหรือน้ำเกลือที่ใช้ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของเมฆ ส่วนมากใช้เพียงหนึ่งหรือสองเที่ยวบินก็สามารถบังคับให้ฝนตกได้แล้ว ปริมาณน้ำที่ใช้อยู่ในระหว่าง 500-1,000 กิโลกรัม การบังคับให้ฝนตกนี้ เลือกพ่นละอองน้ำเข้าใต้ฐานเมฆตรงตำแหน่งที่เห็นว่าเมฆหนาแน่เป็นสีเทาเข้มที่สุด เมื่อฝนเริ่มตกที่จุดจุดหนึ่งแล้ว จะเกิดการชักนำให้ฝนตกขยายบริเวณแผ่กว้าง
ต่อเนื่องกันไป อนึ่ง ฐานเมฆยังสูงกว่าพื้นดิน อาจช่วยให้ฐานเมฆลดต่ำลงเร็วขึ้นโดยการใช้น้ำแข็งแห้งโปรยใต้ฐานเมฆประมาณ 500-1,000 ฟิต เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอากาศต่ำลง และเกิดความกดอากาศต่ำ เหนือบริเวณเป้าหมายใต้ฐานเมฆ แล้วจึงทำการบังคับให้ฝนตกโดยการโปรยน้ำหรือน้ำเกลือเจือจางดังกล่าวแล้ว
2. โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา และโครงการที่เกี่ยวเนื่อง
“… เรื่องที่ช่วยชาวเขาและโครงการชาวเขานั้นมีประโยชน์ โดยตรงกับชาวเขา เพื่อที่จะส่งเสริม จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ดีขึ้น สามารถที่จะเพาะปลูกสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ และเป็นรายได้กับเขาเอง ที่มีโครงการเช่นนี้ จุดประสงค์อย่างหนึ่งก็คือมนุษยธรรม อยากที่จะให้ผู้ที่อยู่ในที่ทุรกันดาร สามารถที่จะมีความรู้และพยุงตัวมีความเจริญได้ อีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นเรื่องช่วยในทางที่ทุกคนเห็นว่าควรจะช่วย เพราะเป็นปัญหาใหญ่ ก็คือปัญหาเรื่องยาเสพติด ถ้าเราสามารถที่จะช่วยชาวเขาให้ปลูกพืชผล ที่เป็นประโยชน์มาก เขาจะเลิกปลูกยาเสพติด ปลูกฝิ่น ทำให้นโยบายการระงับ การปราบ การสูบฝิ่นและการค้าฝิ่นได้ผลดี อันนี้ก็เป็นผลอย่างหนึ่ง ผลอีกอย่างหนึ่งซึ่งสำคัญมากก็คือ ชาวเขาตามที่รู้เป็นผู้ที่ทำการเพาะปลูก ที่อาจทำให้บ้านเมืองเราไปสู่หายนะได้ โดยที่ถางป่าและปลูกป่าโดยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ถ้าพวกเราทุกคนไปช่วยเขา ก็เท่ากับช่วยบ้านเมืองให้มีความดี ความอยู่ดีกินดี และปลอดภัยได้อีกทั้งประเทศ

เพราะว่าถ้าเราสามารถทำโครงการนี้ให้สำเร็จ ให้ชาวเขาอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง สามารถที่จะมีการอยู่ดีกินดีพอควร และสนับสนุนนโยบายที่จะรักษาป่าไม้ รักษาดินให้เป็นประโยชน์ต่อไป ประโยชน์อันนี้จะยั่งยืนมาก ฉะนั้น การที่ทั้งครู อาจารย์ และนักศึกษาได้ไปร่วมมือในงานนี้ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง และนับว่าเป็นการชี้ให้เห็นว่า ทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ เข้าใจดีในจุดประสงค์ของการเกษตร …..” ( พระราชดำรัส เมื่อเสด็จฯ ไปเยี่ยมคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2517)
ปีที่เริ่มโครงการ
พุทธศักราช 2512
วัตถุประสงค์
1. เพื่อป้องกันการทำลายป่าต้นน้ำโดยราษฎรชาวเขา และส่งเสริมการปลูกป่าทดแทน
2. เพื่อจัดให้ราษฎรชาวเขาเลิกโยกย้ายที่ทำกิน ทำการทำลายป่าเพื่อปลูกฝิ่นซึ่งเป็นการผิดกฎหมาย และให้รู้จักอยู่เป็นหลักแหล่ง โดยดำเนินการจัดหาพันธุ์พืชที่ทดลองแล้วว่าสามารถปลูกได้ในสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่เป็นถิ่นที่อยู่ของราษฎรชาวเขา อีกทั้งเป็นพืชที่สามารถทำรายได้สูงเท่ากับฝิ่น หรือสูงกว่า

3. เพื่อดำเนินการฝึกอบรมราษฎรชาวเขา ให้เข้าใจในหลักวิชาการเกษตรที่สูง รวมทั้งการเลี้ยงสัตว์ และการสัตวบาล
4. เพื่อดำเนินการทดลองวิจัยพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ที่จะสามารถขยายพันธุ์ให้แก่ราษฎร เพื่อนำไปปลูกและเลี้ยงเพื่อเพิ่มพูนรายได้ โดยทำการศึกษาในด้านการขนส่งและภาวะตลาดด้วย
5. เพื่อส่งเสริมในด้านการศึกษา อนามัย และการวางแผนครอบครัวแก่ราษฎรชาวเขา
ประวัติความเป็นมา
ในการเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงคราช – นิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นประจำทุกปีนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเยี่ยมราษฎรชาวเขาในพื้นที่ต่าง ๆ ในเขตจังหวัดภาคเหนือ และได้ทอดพระเนตรการทำลายป่าตามยอดเขาโดยการทำไร่เลื่อนลอยเพื่อปลูกฝิ่น ซึ่งนอกจากจะเป็นการละเมิดกฎหมายแล้ว ยังเป็นการทำลายป่า ต้นน้ำลำธารซึ่งเป็นบ่อเกิดของแม่น้ำสายสำคัญ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกด้วย ฉะนั้น ถ้าไม่สามารถหยุดยั้งการทำลายป่าได้แล้ว ผลเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาในอนาคตจะประมาณมิได้ การลักลอบปลูกฝิ่นก็เป็นปัญหาที่สำคัญ และควรหาทางแก้ไขโดยเร่งด่วน เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าชาวเขา มีอภิสิทธิ์ในการละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ทั้งๆ ที่อพยพเข้ามาในประเทศโดยผิดกฎหมายอยู่แล้ว เพราะไม่มีสัญชาติ และปราศจากเอกสารการเข้าเมืองแต่อย่างใด เมื่อทางเจ้าหน้าที่กวดขัน และใช้มาตรการรุนแรงทำการจับกุมและปราบปราม ก็ทำให้ชาวเขาบางกลุ่มจับอาวุธขึ้นต่อต้าน โดยถูกยุแหย่ว่าถูกรัฐบาลกดขี่ข่มเหง
บางกลุ่มได้ถูกชักชวนให้ร่วมกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ทำการบ่อนทำลายประเทศชาติ อนึ่ง ฝิ่นที่ผลิตได้จะถูกลักลอบส่งออกไปนอกประเทศ เพื่อผ่านกรรมวิธีแปรรูปเป็นยาเสพติดชนิดต่างๆ และส่วนหนึ่งได้ส่งเข้ามาทำลายเยาวชนในประเทศไทย ทำให้ภาพพจน์ของประเทศเสียไปโดยปริยาย เพราะว่าเป็นที่ทราบกันอย่างแพร่หลายว่า ดินแดนที่มีการปลูกฝิ่นในเอเซียอาคเนย์นั้น มีเขตประเทศไทยรวมอยู่ด้วย อันอาจทำให้ต่างประเทศเข้าใจว่า รัฐบาลไทยมิได้สนใจดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับปัญหานี้เลย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงมีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการหลวงพัฒนาชาวเขาขึ้นในปี พ.ศ.2512 เพื่อหาหนทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตลอดจนช่วยเหลือราษฎรชาวเขาให้เข้าใจถึงผลเสียหายในการทำลายป่าและต้นน้ำลำธาร ให้เลิกการปลูกฝิ่นและหันมาปลูกพืชอื่นตามหลักวิชาการ เพื่อจะได้สามารถอยู่ทำกินเป็นหลักแหล่งไม่ต้องย้ายที่บ่อยๆ อันเป็นการป้องกันการบุกเบิกป่าใหม่โดยทางอ้อม
การดำเนินการ
โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา ได้เริ่มดำเนินการจัดตั้งสถานีทดลองวิจัยตลอดจนจัดการฝึกอบรมวิชาการเกษตรที่สูง ศึกษาภาวะด้านการขนส่งและการตลาด สาธิตกรรมวิธีการปลูกพืชต่างๆ อาทิ ถั่วแดง ถั่วเขียว ข้าวไร่ ฯลฯ พันธุ์ไม้ผล เช่น ท้อพันธุ์ต่างๆ รวมทั้งทดลองในด้านการผสมพันธุ์สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมจะเผยแพร่ให้ราษฎรชาวเขา ได้แก่ แกะ โค และสุกร โดยได้คัดเลือกหมู่บ้านในสภาพภูมิประเทศแตกต่างกัน เพื่อเป็นหมู่บ้านทดลองในจังหวัดเชียงใหม่ คือที่บ้านพุย อำเภอแม่แจ่ม บ้านคุ้ม อำเภอฝาง บ้านขุนวาง อำเภอสันป่าตอง บ้านสามหมื่น อำเภอเชียงดาว และบ้านแม่โถ อำเภอฮอด โดยจัดตั้งเป็นสถานีทดลอง ซึ่งมีนักเกษตรฝ่ายไทย และผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่มาช่วยเหลือประจำอยู่ตลอดเวลา เพื่อดำเนินการทดลอง วิจัย เก็บข้อมูลทำรายงาน ตลอดจนให้คำแนะนำในด้านการเกษตรที่สูงแก่ราษฎรชาวเขาในหมู่บ้านดังกล่าว รวมทั้งหมู่บ้านใกล้เคียง
งานค้นคว้าวิจัย
งานที่สถานีทดลองเหล่านี้ดำเนินอยู่ประกอบด้วย งานศึกษาทดลองพืชต่างๆ หลายชนิด ซึ่งแบ่งเป็นพืชไร่ ไม้ผล ไม้ดอก พืชผัก และพืชยา พันธุ์พืชเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ต่างประเทศ ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากอัครราชทูตหลายประเทศที่เคยเดินทางไปชมกิจการของโครงการฯ และทราบถึงความต้องการของโครงการฯ จึงได้ติดต่อไปยังประเทศของตน เพื่อขอพันธุ์พืชที่เหมาะสมมาทำการทดลองปลูก
งานด้านส่งเสริม
งานด้านส่งเสริม ซึ่งได้แก่การสาธิตการทำแปลงปลูกพืชต่างๆ ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการเกษตรที่สูง ได้สาธิตการทำปุ๋ยหมักโดยวัชพืชเพื่อการประหยัด การส่งเสริมการผสมพันธุ์สัตว์พื้นเมืองกับพ่อพันธุ์ต่างประเทศที่คัดเลือกแล้ว การส่งเสริมการขุดบ่อเลี้ยงปลา เพื่อให้มีอาหารประเภทโปรตีนไว้บริโภคตลอดเวลา โดยไม่ต้องออกล่าสัตว์ ซึ่งเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งยังได้มีการส่งเสริมด้านอนามัยและการวางแผนครอบครัวอีกด้วย
งานด้านฝึกอบรม
ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาชาวเขา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเริ่มการฝึกอบรมเมื่อปี พ.ศ.2517 เป็นศูนย์ที่ฝึกอบรมหลักวิชาการเกษตรที่สูงให้ราษฎรชาวเขาเผ่าต่างๆ โดยการให้ผู้เข้าฝึกอบรมได้ทดลองกรรมวิธีและวิจัยการปลูกพืชและไม้ผลพันธุ์ต่างๆ การทำปุ๋ยหมัก การทำแปลงขั้นบันได การเลี้ยงสัตว์ และการเลี้ยงปลา เพื่อจักได้นำประสบการณ์ไปเผยแพร่แก่เผ่าของตน
โครงการหลวงพัฒนาชาวเขาได้ดำเนินงานโดยได้รับการสนับสนุนจากพ่อค้าคหบดีตลอด จนหน่วยราชการต่างๆ ที่ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน หรือน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายอุปกรณ์ เครื่องมือ พันธุ์พืช ตลอดจนยาป้องกันโรค พืชประเภทต่างๆ หรือโดยเสด็จพระราชกุศลพระราชทานแก่โครงการฯ นอกจากนั้นยังได้รับความร่วมมือและช่วยเหลือทางด้านวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กรมป่าไม้ และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ อีกด้วย ทั้งนี้ โดยได้ประสานงานกับโครงการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างไทยกับสหประชาชาติ เพื่อทำการศึกษาสภาวะพื้นที่ที่มีการปลูกฝิ่นในภาคเหนือ สำหรับหาทางควบคุมโดยส่งเสริมการปลูกพืชทดแทน พร้อมทั้งพัฒนาชุมชนในเขตบริเวณดังกล่าวสำหรับศูนย์อบรมและพัฒนาชาวเขา และหมู่บ้านทดลองนั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเป็นประจำทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ ภูพิงคราชนิเวศน์ เพื่อทอดพระเนตรและติดตามผลความก้าวหน้าของโครงการฯ และจะพระราชทานคำแนะนำในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ตลอดจนพระราชทานพันธ์พืชและพันธุ์สัตว์เพิ่มเติมแก่สถานี และพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และเวชภัณฑ์แก่เจ้าหน้าที่และราษฎรในบริเวณดังกล่าวอีกด้วย
- 2.1 โครงการทดลองปลูกผลไม้เมืองหนาว

ปีที่เริ่มโครงการ
พุทธศักราช 2508
การดำเนินงาน
โครงการนี้ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินงานโดยได้รับการสนับสนุน จากโครงการของสหประชาชาติ เพื่อทำการทดลอง วิจัยพันธุ์ไม้เมืองหนาวต่างๆ ที่เหมาะสมที่จะขยายพันธุ์ไปให้ราษฎรปลูก ณ สถานีทดลองสวนสองแสน สถานีทดลองดอยบวกห้า ศูนย์ฝึกและอบรมชาวเขาช่างเคี่ยน อำเภอเมือง และสถานีเกษตรหลวงดอยอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อนึ่งกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา ได้ให้ทุนวิจัยเพื่อทำการค้นคว้าในเรื่องผลไม้เมืองหนาวบางชนิด เช่น สตรอเบอรี่ ไพรีธรั่ม พืชน้ำมัน และการเลี้ยงผึ้งด้วย นอกจากนั้นยังได้ทำการทดลองในเรื่องกาแฟและเห็ดหอม ซึ่งเป็นพืชที่จะทำรายได้สูงมากชนิดหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อส่งพันธุ์ไม้เมืองหนาวไปปลูกตามสวนทดลอง และตามหมู่บ้านราษฎรชาวเขาต่างๆ ตามพระราชประสงค์ ในด้านอื่นๆ ก็ได้ดำเนินการออกแบบและทดลองเครื่องมือเกษตรที่ใช้สัตว์ลาก และดำเนินการติดตั้งสถานีสื่อสารเพื่อการติดต่อประสานงานที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
- 2.2 โครงการส่งเสริมการปลูกสตรอเบอรี่ ( ในพื้นที่ราบ )

ปีที่เริ่มโครงการ
พุทธศักราช 2515
การดำเนินงาน
นอกจากการทดลองปลูกไม้ผลเมืองหนาว ซึ่งเป็นวิชาการในด้านการเกษตรที่สูงแล้ว โครงการฯ ยังได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการปลูกสตรอเบอรี่ ในพื้นที่ราบ โดยใช้พันธุ์ต่างๆ หลายชนิดทั้งที่สั่งมาเอง และได้รับความช่วยเหลือจากประเทศต่างๆ เพื่อวิจัยว่าพันธุ์ใดจะเหมาะสมกับภูมิอากาศและสภาพพื้นที่มากที่สุด เมื่อทำการวิจัยได้ผลแล้ว ทางโครงการฯ ก็จะทำการเพาะกล้าไม้ของสตรอเบอรี่พันธุ์ที่เหมาะสม และจำหน่ายให้แก่เกษตรกรในราคาถูก เพื่อจะได้นำไปปลูกขยายพันธุ์ นอกจากนั้นยังได้สาธิตวิธีการทำแปลงปลูก และเทคนิคอื่นๆ ให้เกษตรกรศึกษา และนำไปใช้ ปรากฏว่าการปลูกสตรอเบอรี่ทำรายได้ให้แก่เจ้าของไร่ อย่างงดงามเพราะเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว และยังได้จัดตั้งกันเป็นกลุ่มชาวไร่สตรอเบอรี่อีกด้วย เพื่อให้มีอำนาจต่อรอง กับพ่อค้าป้องกันการเสียเปรียบ โดยโครงการฯ มีหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี แห่งโครงการหลวงพัฒนาชาวเขา เป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงาน
- 2.3 โครงการปลูกป่าทดแทน
ปีที่เริ่มโครงการ
พุทธศักราช 2515
การดำเนินงาน
โครงการปลูกป่าทดแทนเป็นโครงการสำคัญ และเร่งด่วนโครงการหนึ่งของกรมป่าไม้ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2508 เพื่อที่จะทำการทดลองค้นคว้าหาพันธุ์ไม้ยืนต้นที่เหมาะสม และได้ประโยชน์สูงสุดในด้านต่างๆ และทำการเพาะกล้าไว้เพื่อนำไปปลูกทดแทนในพื้นที่ที่หมดสภาพป่า ซึ่งถูกถางทำลายโดยราษฎรเพื่อทำไร่เลื่อนลอย และถูกลักลอบตัดไม้ไปจำหน่าย

การปลูกป่าทดแทนเป็นโครงการที่หวังผลได้ค่อนข้างน้อยแต่ก็ต้องทำ เพราะอัตราการทำลายป่านั้นสูงขึ้นทุกปี แต่การปลูกป่าทดแทนนั้นต้องกินเวลานานหลายสิบปีกว่าไม้จะโตเต็มที่ ฉะนั้นในการทดลองพันธุ์ไม้ที่เหมาะสม ซึ่งมุ่งทดลองพันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตเร็ว เช่น ท้อ ตุ้มเต๋อ จามจุรี สนสามใบ ประดู่ นอกจากนั้นยังมีการปลูกป่าทดแทนโดยใช้พันธุ์ไม้จากต่างประเทศ เช่น ต้นวอลนัท เพื่อเป็นการทดลอง สำหรับการปลูกป่าทดแทนในบริเวณพื้นที่ของโครงการหลวงพัฒนาชาวเขา ทางกรมป่าไม้ได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือ โดยดำเนินงานปลูกป่าเพื่อปรับปรุงต้นน้ำ และทดแทนป่าไม้ที่ถูกทำลาย ตลอดจนทดลองให้ชาวเขาเลิกทำการปลูกฝิ่นมาทำการปลูกป่าโดยจ้างเป็นคนงาน เพื่อให้มีอาชีพ มีรายได้และมีที่ทำกินเป็นหลักแหล่ง โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ.2517
พื้นที่ทำการปลูกป่าทดแทน อยู่ในเขตอำเภอแม่แตง สันป่าตอง ฮอด แม่แจ่ม เชียงดาวและฝาง ในจังหวัดเชียงใหม่ มีบริเวณทั้งสิ้น 15,000 ไร่ ค่าใช้จ่ายในการนี้เป็นงบประมาณแผ่นดิน แต่ส่วนหนึ่งเป็นเงินช่วยเหลือจากองค์การยูซ่อมและสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้มีส่วนช่วยเหลือโครงการฯ ในหลายด้าน เช่น การทดลองปลูกไม้ผลชนิดที่มีลักษณะที่จะใช้ปลูกทดแทนไม้ป่าได้ ในแง่ของการอนุรักษ์ธรรมชาติ และการหาประโยชน์จากผล เช่น แอปเปิ้ลป่า มะม่วงป่า เป็นต้น ซึ่งอธิบดีกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงาน
สรุป
โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา และโครงการอื่นที่เกี่ยวข้องจะสำเร็จลุล่วงไปได้ก็ด้วยความร่วมมือประสานงาน อย่างมีประสิทธิภาพของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านวิชาการและในด้านอื่นๆ นอกจากนี้ยังต้องอาศัยผลจากการทดลองค้นคว้าวิจัยอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการเกษตรในที่สูง ตลอดจนการทดลองเลี้ยงสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธุ์สัตว์จากต่างประเทศ และจำต้องใช้นักวิชาการที่ชำนาญงานทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายต่างประเทศเป็นจำนวนมากทำงานร่วมกัน อีกประการหนึ่งนั้น การวิจัยทดลองดังกล่าวจำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อที่จะให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ก่อนที่จะดำเนินการขยายพันธุ์ทั้งพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ไปยังราษฎร เพราะถ้าหากสิ่งใหม่ที่เผยแพร่ออกไปไม่ได้ผลดีอย่างจริงจัง ราษฎรย่อมจะต้องหันกลับไปดำเนินชีวิตในแบบเก่า นั่นคือไม่สามารถจะหยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอยและการปลูกฝิ่นลงได้
อย่างไรก็ดี จากการวิจัยและทดลองที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ต้น พอจะทำให้มองเห็นลู่ทางที่จะจูงใจราษฎรให้หันมาตั้งหลักแหล่งทำกินอย่างถาวร และปลูกพืชทดแทนในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะพืชทดแทนหลายชนิด เช่น กาแฟ สามารถทำรายได้ให้แก่ราษฎรได้มากกว่าการปลูกฝิ่นที่ทำมาแต่เดิม เหตุผลประการหนึ่งที่สนับสนุนลู่ทางนี้คือ การปลูกฝิ่นนั้น ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือผู้ที่มารับซื้อและส่งไปจำหน่ายต่อ มิใช่ผู้ปลูกเอง และพืชทดแทนที่แนะนำให้ราษฎรปลูกส่วนใหญ่เป็นพันธุ์จากต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศมาใช้ปีละมากๆ ฉะนั้น หากทำการปลูกได้ผลและผลิตได้มากพอก็จะได้ราคาดีโดยไม่มีปัญหาเรื่องตลาดที่จะรับซื้อ ผลพลอยได้ก็คือ ราษฎรชาวเขาจะค่อยๆ เลิกการตัดไม้ทำลายป่า และอยู่ทำกินกันเป็นหลักแหล่งมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การปลูกฝิ่นและการทำลายป่าต้นน้ำลำธารค่อยๆ ลดลง ขณะเดียวกันก็ดำเนินการปลูกป่าทดแทนในส่วนที่ถูกทำลายป่าแล้วด้วย ก็จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ
สิ่งที่ต้องดำเนินการพร้อมกันไปด้วย ก็คือการพัฒนาชุมชนที่เริ่มเป็นหลักแหล่ง ทั้งในด้านการศึกษาและในด้านการสาธารณสุข จนในที่สุดสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในภูมิภาคดังกล่าวจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อราษฎรชาวเขาทั้งหลายมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ.2535 โครงการหลวงได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นมูลนิธิโครงการหลวง
3. โครงการต้นแบบของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป)
เป็นโครงการที่สะท้อนพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเป็นตัวอย่างของการสร้างจิตสำนึกเพื่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาชนบท โครงการนี้มีเป้าหมายเชิงการพัฒนาสังคม และความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นตัวกำกับแนวปฏิบัติในด้านการแปรรูปผลผลิต ปีที่เริ่มโครงการ พุทธศักราช 2515
- 3.1 การดำเนินงาน
การจัดตั้งโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเสียเปรียบ และประสบปัญหาในการจำหน่ายผลิตผลทางเกษตรกรรม เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่มีแหล่งเพาะปลูกห่างไกลจากตลาดหรือโรงงานอุตสาหกรรม ฉะนั้นการจำหน่ายมักจะต้องผ่านพ่อค้าคนกลางซึ่งจะถูกกดราคาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเกษตรกรรายที่มีผลผลิตน้อย เพราะพ่อค้าจะไม่มารับผลิตผลถึงที่ ต้องนำไปส่งเอง เมื่อมีโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปขึ้น เกษตรกรสามารถนำผลิตผลมาจำหน่ายให้โดยได้ราคายุติธรรมซึ่งสูงกว่าเดิมมาก และไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง นอกจากนั้นเกษตรกรก็จะได้เงินหมุนเวียนค่าผลิตผลทันที เพราะทางโรงงานจ่ายเป็นเงินสด วัตถุประสงค์อีกประการหนึ่งก็คือ เพื่อให้ผลผลิตที่ได้รับการส่งเสริมเข้าสู่ตลาดได้โดยไม่มีการสูญเสีย
การดำเนินงานเป็นลักษณะเพื่อพัฒนาชนบทโดยแท้ เพราะทุกแห่งจะประกอบด้วยโรงงาน สถานีอนามัยชั้นสอง และศูนย์โภชนาการเด็ก ซึ่งทำให้ชุมชนในบริเวณนั้นมีงานทำเพิ่มขึ้น มีรายได้ดีขึ้น ส่วนเยาวชนก็มีที่เล่าเรียนและได้รับการสอนในเรื่องสุขภาพ อนามัย ทั้งมีสถานพยาบาลไว้พึ่งเมื่อยามเจ็บไข้
จากผลการดำเนินงานทำให้เกิดการพัฒนาตนเองตามมา เช่น การพัฒนาที่อยู่อาศัย ถนน การไฟฟ้า ประปา ซึ่งนำความเจริญให้ชุมชน
ปัจจุบันมีโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปอยู่ 5 โรงงานคือ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 โรงงาน และอีก 4 โรงงานที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีส่วนรับผิดชอบในการดำเนินการคือ
1. โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
2. โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
3. โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป ตำบลเต่างอน จังหวัดสกลนคร
4. โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป ตำบลโนนดินแดง อำเภอละหารทราย จังหวัดบุรีรัมย์
- 3.2 ภูมิหลังของโครงการ
โครงการอาหารสำเร็จรูปในพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา
3. 2.1 หมู่บ้านยาง ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
หลังปี พ.ศ.2500 ตำรวจตระเวนชายแดนที่คลุกคลีกับชาวเขาได้อุตสาหวิริยะสอนหนังสือไทยให้ชาวเขา จนชาวเขาจำนวนมิใช่น้อยรู้ภาษาไทยพออ่านออกเขียนได้ นับเป็นสัญญาณเริ่มแรกที่รัฐบาลได้ให้ความสนใจ และให้ความช่วยเหลือชาวเขาอย่างจริงจังหลังจากนั้นเป็นต้นมา โดยรัฐบาลถือว่างานพัฒนาชาวเขา เป็นนโยบายพัฒนาชนบท และนโยบายเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติควบคู่กันไป
ชาวเขากระจายกันอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ของไทยจำนวน 21 จังหวัด และส่วนมากจะอยู่ในจังหวัดทางภาคเหนือมากกว่าภาคอื่นๆ ชาวเขาเผ่าต่างๆ ในประเทศไทยเดิมมีอาชีพปลูกฝิ่นโดยปลูกซ้ำในที่แห่งเดียวกัน 2-3 ปี พอดินจืดก็อพยพเคลื่อนย้าย หักร้างถางป่าหาที่ใหม่ การปลูกฝิ่นนั้นอกจากจะทำลายหน้าดินแล้วยังทำลายป่าไม้ของชาติ การที่ชาวเขานิยมปลูกฝิ่นเพราะได้รายได้ดีไม่ต้องหาตลาด ผู้ค้าฝิ่นพากันไปซื้อถึงที่ปลูก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเล็งเห็นอันตรายใหญ่หลวงดังกล่าว จึงทรงพระกรุณาช่วยเหลือชาวเขาให้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ให้มีอาชีพที่แน่นอน พระองค์ทรงให้จัดตั้งโครงการหลวงพัฒนาชาวเขาขึ้น แยกเป็นโครงการเกษตรที่สูงโดยให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมดำเนินงาน ออกไปแนะนำและสอนให้ชาวเขาปลูกพืชต่างๆ แทนฝิ่น พืชที่ปลูกในระยะแรกคือ ลูกท้อ และลิ้นจี่ ต่อมาให้ปลูกแอปเปิ้ล มันฝรั่ง ข้าวโพดหวาน ถั่วแดงหลวง มะเขือเทศ และมิ้นท์ จากไต้หวัน เพื่อทำเมนธอล นอกจากนี้มีการแนะนำให้เลี้ยงสัตว์ เช่น ปลา และแกะ เป็นต้น และยังมีโครงการส่งเสริมสินค้าหัตถกรรมด้วย
อุปสรรคที่เกิดขึ้นแก่ชาวเขาในโครงการเกษตรที่สูงก็คือ หาตลาดรับซื้อผลิตผลไม่ได้ เพราะชาวเขาอยู่ห่างตัวเมือง พ่อค้าที่รับซื้อพืชผลก็กดราคาตามชอบใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดตั้งกลุ่มสหกรณ์ชาวเขา และทรงโปรดให้ดำเนินโครงการอาหารสำเร็จรูป เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่เสียเปรียบและประสบปัญหาในการจำหน่ายผลิตผลทางเกษตรกรรม เพราะพ่อค้าไม่มารับผลิตผลถึงท้องที่ เมื่อมีโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปขึ้นเกษตรกรสามารถนำผลิตผลมาจำหน่ายให้โดยได้ราคายุติธรรม และจะได้เงินหมุนเวียนทันที เพราะโรงงานรับซื้อเป็นเงินสด วัตถุประสงค์อีกประการหนึ่งก็คือ เพื่อให้ผลผลิตที่ได้รับการส่งเสริมเข้าสู่ตลาดได้โดยไม่มีการสูญเสีย
การดำเนินงานเป็นลักษณะเพื่อพัฒนาชนบท เริ่มต้นด้วยโครงการพัฒนาท้องที่มีการจัดตั้งสถานีอนามัยชั้น 2 และศูนย์โครงการเด็ก เพื่อส่งเสริมสุขภาพอนามัยในท้องถิ่น ทางสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งขณะนั้น ศาสตราจารย์อมร ภูมิรัตน เป็นผู้อำนวยการ ได้รับสนองพระบรมราชโองการจัดตั้งโรงงานอาหารสำเร็จรูปขึ้นที่หมู่บ้านยาง ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การควบคุมของหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ซึ่งทรงเป็นผู้อำนวยการโครงการชาวเขา จุดประสงค์ของการจัดตั้งโรงงานก็เพื่อเป็นตลาดรับซื้อผลิตผลต่างๆ จากชาวเขาที่ทำมาหากินอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตผลต่างๆ จากโรงงานที่ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง มีตัวอย่างเช่น มะเขือเทศเข้มข้น ท้อลอยแก้ว สตรอเบอรี่ลอยแก้ว ลิ้นจี่ ลำไย ข้าวโพดอ่อน หน่อไม้ หน่อไม้น้ำ และถั่วเหลือง ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่าโรงงานประสบความสำเร็จในการส่งเสริมแนะนำ และสอนให้เกษตรกรได้เข้าใจระบบอุตสาหกรรมการเกษตร เพราะหลังจากได้ส่งเสริมการเกษตร และรับซื้อผลผลิตอยู่หลายปีก็ได้เริ่มมีบริษัทเอกชนเข้าไปตั้งโรงงานในหมู่บ้าน และในพื้นที่ใกล้เคียง แสดงให้เห็นว่า มีการพัฒนาเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมขนาดเล็ก
3. 2.2 หมู่บ้านป่าห้า ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
ในระยะเวลาใกล้เคียงกับการดำเนินโครงการอาหารสำเร็จรูป ในพระบรมราชานุเคราะห์ ที่หมู่บ้านยาง อำเภอฝาง หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ( ในนามโครงการพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา ) ทรงเป็นผู้ควบคุม ศาสตราจารย์อมร ภูมิรัตน ( ในนามของสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลติภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ) เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งโครงการอาหารสำเร็จรูปในพระบรมรา – ชานุเคราะห์อีกแห่งหนึ่ง ที่หมู่บ้านห้า ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ให้เป็นหน่วยรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรจากหมู่บ้านชาวเขา เช่น หมู่บ้านแม้ว กะเหรี่ยง มูเซอ อีก้อ เย้า ซึ่งได้รับการส่งเสริมทางเกษตรให้ปลูกผัก ผลไม้ ถั่ว เพื่อขจัดปัญหาการสูญเสียของผลผลิตทางการเกษตรและการถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มิได้เพียงพระราชทานโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปเท่านั้น ยังได้พระราชทานอาคารสำนักงานสหกรณ์การเกษตรเพื่อเป็นที่จำหน่ายปุ๋ย สารเคมี เครื่องอุปโภค และอุปกรณ์การเกษตรเพื่อเกษตรกรทั้งชาวบ้านชาวเขาได้ใช้ของราคาถูก และรู้จักการดำเนินการแบบสหกรณ์ พระราชทานศูนย์โภชนาการเด็ก เพื่อเด็กที่จะเติบโตไปภายหน้าได้กินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ และเติบโตเป็นประชาชนที่สมบูรณ์ทั้งกำลังกายและสมอง และพระราชทานสถานีอนามัยชั้น 2 เพื่อให้ชาวบ้านได้รับการแนะนำในด้านสุขภาพอนามัย ได้รู้จักป้องกันและระวังตัวในเรื่องการเจ็บป่วย และรับการรักษาพยาบาลในขั้นต้น
โครงการนี้ได้รับพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์มาดำเนินการ และด้วยพระบารมีเป็นที่ยิ่ง ได้มีประชาชน บริษัท รัฐบาลต่างประเทศ โดยเสด็จพระราชกุศลถวายเงิน ที่ดิน เครื่องจักรอุปกรณ์ และสิ่งปลูกสร้าง
โรงงานทั้ง 2 ที่ได้กล่าวมานี้ได้ถูกใช้เป็นแบบอย่างในการพัฒนา โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือภายใต้โครงการตามพระราชดำริ
3.2.3 โครงการพัฒนาตามพระราชดำริ กิ่งอำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร ในระหว่างที่ประทับอยู่ที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศ จังหวัดสกลนคร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯ ไปยังหมู่บ้านนางอย – โพนปลาโหล เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2523 ทรงทอดพระเนตรเห็นความเป็นอยู่คับแค้นของราษฎร จึงมีพระราชดำริที่จะช่วยเหลือ มจ . จักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ องคมนตรีได้นำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาแจ้งศาสตราจารย์ อมร ภูมิรัตน เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2523 ศาสตราจารย์อมร ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เพื่อรับพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาหมู่บ้านนางอย – โพนปลาโพล ดังต่อไปนี้
– ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรในหมู่บ้านางอย – โพนปลาโหลให้ดีขึ้น
– ส่งเสริมให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
– ภายหลังการดำเนินการพัฒนาแล้ว ราษฎรในหมู่บ้านสามารถรักษาสภาพความเป็นอยู่ และพัฒนาต่อไปได้ด้วยกลุ่มชาวบ้านเอง
เมื่อเริ่มโครงการพัฒนาตามพระราชดำรินางอย – โพนปลาโหล ประชากรมีความเป็นอยู่แร้นแค้น เด็กมีอาการของโรคขาดอาหาร ชาวบ้านขาดแคลนน้ำ ชาวบ้านมีอาชีพทำนาแต่อย่างเดียว ลักษณะของหมู่บ้านเป็นสภาพป่าล้อมหมู่บ้าน ทางการจัดเป็นพื้นที่สีแดง เมื่อได้เริ่มพัฒนาตามโครงการนี้ได้พบว่า มีหมู่บ้านอีกสามแห่ง ซึ่งมีความเป็นอยู่แร้นแค้นยิ่งกว่าหมู่บ้านนางอย – โพนปลาโหล และถูกคุกคามโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หมู่บ้านทั้งสามคือ หมู่บ้านห้วยหวด หมู่บ้านกวนปุ่น และหมู่บ้านโคกกลาง หมู่บ้านทั้งสามมีอาชีพหาของป่ามาแลกข้าว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณรับหมู่บ้านดังกล่าวให้อยู่ในโครงการเพิ่มเติมจากหมู่บ้านนางอย – โพนปลาโหล
การพัฒนาด้านสังคมภายใต้โครงการประกอบด้วยการสร้างศูนย์เด็กเล็ก เพื่อลดสภาพการขาดอาหารในเด็ก การสร้างสถานีอนามัย การจัดทำธนาคารข้าว การซ่อมและสร้างวัด การขุดบ่อน้ำบาดาล และการจัดหาถังเก็บน้ำฝน งานสุขาภิบาลชุมชน เป็นต้น
ในส่วนของการพัฒนาอาชีพนั้น ได้สอนให้เกษตรกรปลูกมะเขือเทศ เพื่อผลิตมะเขือเทศเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ได้จัดตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปเป็นโรงที่สาม ทำการ ผลิตผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ ในปี พ.ศ.2528 ได้เริ่มโครงการผลิตข้าวโพดฝักอ่อนบรรจุกระป๋อง ผลไม้แช่อิ่มแห้ง
การพัฒนาอาชีพทางด้านการเกษตรยังได้ดำเนินการเพื่องานในระยะยาว โดยการนำผลไม้ยืนต้น เช่น ลิ้นจี่ ลำไย มะม่วง มาให้เกษตรกรปลูก เมื่อประสบความสำเร็จอาจเป็นการเริ่มต้นของสวนผลไม้ และการบรรจุกระป๋องต่อไป
3.2.4 โครงเสริมการพัฒนาตามพระราชดำริ อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์
อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ มีแนวเขตติดกับประเทศกัมพูชา ทหารกัมพูชา กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้เข้ามาปฏิบัติการในถิ่นนี้ มีการต่อสู้กับฝ่ายไทยอย่างรุนแรงในปี พ.ศ.2521 – 2522 หมู่บ้านที่กระจัดกระจายกันอยู่ถูกเผา ประชาชนควบคุมกันไม่ได้ ถูกกวาดต้อนเข้าประเทศกัมพูชาหลายร้อยคน เมื่อทหารไทยเข้ามาต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทางการได้สร้างทางจาก อำเภอตาพระยามาอำเภอละหานทรายให้มีการติดต่อกันได้ การต่อสู้เป็นไปอย่างรุนแรง ผลสุดท้ายทหารไทยสามารถยับยั้งสถานการณ์อันร้ายแรงนี้ได้ และครอบครองพื้นที่โดยสมบูรณ์
เนื่องจากการต่อสู้กันในระยะนั้น ราษฎรต้องอพยพหลบภัยมาแออัดกันอยู่ที่หมู่บ้านโนนดินแดงเป็นจำนวนมาก ได้รับความลำบากในการกินอยู่เป็นอย่างยิ่ง ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำริที่จะช่วยเหลือเพื่อบรรเทาทุกข์แก่ประชาราษฎร์ และเพื่อความมั่นคงของชาติจึงโปรดเกล้าฯ ให้ทางกรมชลประทานสำรวจแหล่งน้ำ และจัดให้ราษฎรมีที่อยู่ทำกิน พร้อมทั้งให้พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ศาสนา อนามัย และการศึกษา เป็นการพัฒนาแบบผสมผสาน นับเป็นโครงการใหญ่เรียกว่า “ โครงการพัฒนาตามพระราชดำริ อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ” มีหน่วยราชการหลายหน่วยเกี่ยวข้อง ที่ตำบลโนนดินแดง อำเภอละหานทราย มีหมู่บ้านอยู่ถึง 40 หมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านเดิม 26 หมู่บ้าน และที่จัดใหม่ให้ผู้อพยพหนีภัยที่กระจัดกระจายกันไปกลับมารวมกันอยู่อีก 14 หมู่บ้าน หมู่บ้านเหล่านี้มีความเป็นอยู่อย่างยากจนอยู่แล้ว เมื่อกระทบกับความลำบากจากสถานการณ์เพิ่มขึ้นอีก จึงอยู่ในสภาพที่อดอยากขาดแคลนยิ่ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระราชประสงค์ให้พัฒนาหมู่บ้านตัวอย่าง 5 หมู่บ้าน จากจำนวนทั้งหมด 40 หมู่บ้าน ด้วยวิธีการคล้ายกับโครงการพัฒนาตามพระราชดำรินางอย – โพนปลาไหล ศาสตราจารย์อมร ภูมิรัตน ได้เริ่มงานในเดือนธันวาคม พ.ศ.2524 โดยได้คัดเลือกหมู่บ้านที่จะพัฒนา 5 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านซับสมบูรณ์ หมู่บ้านป่าไม้สหกรณ์ หมู่บ้านคลองหิน หมู่บ้านคลองโป่ง และหมู่บ้านหนองเสม็ด
การพัฒนาทางด้านสังคมของทั้ง 5 หมู่บ้าน ได้ดำเนินการคล้ายกับโครงการที่สกลนครคือ มีงานพัฒนาเด็กเพื่อลดการขาดอาหาร การดูแลแนะนำหญิงที่ตั้งครรภ์ การจัดสร้างศูนย์เด็ก การส่งเสริมสุขาภิบาลชุมชน การจัดหาน้ำสะอาด
ต่อมาได้จัดตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปโรงที่ 4 ขึ้นในปี พ.ศ.2525 เพื่อเป็นตลาดรับซื้อผลิตภัณฑ์เกษตรในราคาประกัน ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญได้แก่ มะเขือเทศ และข้าวโพดฝักอ่อน โรงงานหลวงแห่งนี้นอกจากจะรับซื้อผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรในอำเภอละหานทรายแล้ว ยังให้การส่งเสริมการผลิตพืชเกษตรเพื่ออุตสาหกรรมและทำการรับซื้อผลิตภัณฑ์จากอำเภอบ้านกรวด ในจังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอเสิงสาง อำเภอครบุรี และอำเภอประคำในจังหวัดนครราชสีมา
- 3.3 เป้าหมายเชิงพัฒนาและผลิตภัณฑ์ของโครงการ
การดำเนินงานของโครงการโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป มีเป้าหมายเชิงพัฒนาในการ ส่งเสริมให้ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น และรักษาสถานภาพความเป็นอยู่และการพัฒนาต่อไป รายได้ของเกษตรกรส่วนที่เพิ่มขึ้นได้จากการผลิตพืชเกษตรเพื่ออุตสาหกรรมเกษตรเสริม และเพิ่มรายได้จากการปลูกข้าว โครงการจะให้การส่งเสริมด้านวิชาการ จัดหาปัจจัยที่สำคัญในการผลิต เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และยา โดยให้เครดิตแก่เกษตรกรล่วงหน้าในตอนต้นฤดูการผลิต และการรับซื้อผลิตภัณฑ์ในราคาประกัน ตัวอย่างของพืชเกษตรที่มีการส่งเสริม และผลิตภัณฑ์ที่สำคัญเป็นดังนี้
ก. มะเขือเทศ
การปลูกมะเขือเทศ เริ่มการเพาะกล้าประมาณเดือนตุลาคม และมีการเก็บมะเขือเทศ ส่งโรงงานราวกลางเดือนมกราคมถึงเมษายน สำหรับโรงงานหลวงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ( ฤดูการผลิตสำหรับโรงงานหลวงในภาคเหนือจะล่ากว่าประมาณหนึ่งเดือน ) มะเขือเทศ เกือบทั้งหมดถูกทำเป็นมะเขือเทศเข้มข้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมปลากระป๋อง ซอสมะเขือเทศ นอกจากนั้นยังมีการผลิตน้ำมะเขือเทศ มะเขือเทศปลอกผิว และมะเขือเทศผง การปลูกมะเขือเทศช่วยเสริมรายได้เกษตรกรนอกฤดูทำนา ( ช่วงฤดูหนาว และฤดูร้อน )
ข. ข้าวโพดฝักอ่อน
การปลูกข้าวโพดฝักอ่อนทำในฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน จนถึงเดือนพฤศจิกายน ข้าวโพดฝักอ่อนแต่ละรุ่นมีอายุประมาณ 6 สัปดาห์ สามารถปลูกได้ 5-6 รุ่น ตลอดฤดูฝน ข้าวโพดฝักอ่อนถูกบรรจุในน้ำเกลือลงกระป๋อง และส่งขายตลาดต่างประเทศ เช่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา เกือบทั้งหมด การปลูกข้าวโพดฝักอ่อนช่วยเสริมรายได้เกษตรกร ระหว่างฤดูทำนาในระหว่างที่ยังรอการเก็บเกี่ยวและขายข้าวยังไม่ได้
ค. ผลิตภัณฑ์จากผลไม้และพืชเกษตร
ส่วนใหญ่เป็นผลไม้กระป๋องจากโรงงานหลวงภาคเหนือ ได้แก่ ลำไยกระป๋อง ลิ้นจี่กระป๋อง สตรอเบอรี่กระป๋อง นอกจากนั้นมีมะละกอแช่อิ่มแห้ง ( มะละกอแก้ว ) จากโรงงานหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาได้แก่ ลูกท้อกระป๋อง ปี่แป๊กระป๋อง (Loquat) แมคคาเดเมียร์นัท มันฝรั่งกระป๋อง พืชเกษตรเหล่านี้อยู่ระหว่างการทดลองศึกษาของโครงการเกษตรที่สูง ส่วนโครงการพัฒนาตามพระราชดำริในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ได้ส่งเสริมการปลูกลำไย ลิ้นจี่ มะม่วง หน่อไม้ไผ่ตง ถ้าประสบความสำเร็จก็จะสามารถเริ่มทำผลิตภัณฑ์ผลไม้กระป๋องได้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ง . ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปแม่จัน มีเครื่องจักรผลิตแป้งถั่วเหลืองไขมันเต็มรูป (Full fat soy flour) แห่งแรกของประเทศไทย แป้งถั่วเหลืองดังกล่าวส่งจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองที่สำคัญได้แก่ อาหารเสริมเด็กอ่อน น้ำนมถั่วเหลือง เนื้อมังสะวิรัติ (Textured vegetable protein) และขนมสำหรับเด็ก
- 3.4 โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปและสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี)
ในปี พ.ศ.2525 ขณะที่ศาสตราจารย์อมร ภูมิรัตน ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ดำเนินงานโครงการโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปนั้น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ได้เชิญและแต่งตั้งให้ศาสตราจารย์อมร ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ สถาบันฯ ได้เริ่มให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการแก่โครงการโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป นับแต่นั้นมา สำนักงานโครงการฯ ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานในการบริหารโรงงานทั้งสี่ และจัดการด้านการตลาดได้ย้ายมาตั้งที่สถาบันฯ ในปี พ.ศ.2527
ในปี พ.ศ.2528 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดร. ศักรินทร์ ภูมิรัตน อาจารย์ของสถาบันฯ ดำรงตำแหน่งผู้ดำเนินงานสืบต่อจากศาสตราจารย์อมร นอกจากนั้น ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำร ิได้แต่งตั้งคณาจารย์ของสถาบันฯ ให้ดำรงตำแหน่ง คณะบริหารโรงงานหลวงอาหารสำร็จรูป และคณะทำงานโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป
นับได้ว่าสถาบันฯ ได้เข้าไปร่วมปฏิบัติงานในโครงการ โรงงานอาหารหลวงสำเร็จรูป ทั้งในส่วนที่มีพระมหากรุณาธิคุณให้สนองพระราชดำริ และในส่วนที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล ให้ปฏิบัติราชการดังกล่าวด้วย
เป้าหมายเชิงพัฒนาของโครงการโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป อยู่ที่การพัฒนาเกษตรกรให้สามารถผลิตพืชเกษตรในระบบเกษตรอุตสาหกรรม การดำเนินการจึงมุ่งที่จะยกระดับและให้ความสนับสนุนเกษตรกร และให้ความสำคัญแก่ส่วนนี้สูงกว่าขั้นตอนการแปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตร ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติกันอยู่ในระบบอุตสาหกรรมเกษตรโดยทั่วไป ในโครงการโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป โรงงานมิใช่เพียงสถานประกอบการที่รับซื้อวัตถุดิบและแรงงาน เช่น โรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป แต่โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปต้องเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ต้องมีกิจกรรมเชิงสังคมและตอบสนองความต้องการเชิงสังคมของชุมชนนั้นๆ ด้วย กิจกรรมเชิงพัฒนาสังคมจึงเป็นส่วนสำคัญของโครงการนี้ การพัฒนาเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตสูงขึ้น ให้มีประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้นนอกจากจะสร้างรากฐานที่มั่นคงในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ยังเป็นตัวกำหนดเสถียรภาพของประเทศ และอนาคตของคนไทยทุกๆ คน
“… การพัฒนาชนบทเป็นงานที่สำคัญ เป็นงานที่ยาก เป็นงานที่จะต้องทำด้วยความสามารถ คือ ทั้งความเฉลียว ฉลาด ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ประชาชนในชนบทส่วนรวม และประชาชนส่วนรวมหรือประชาชนทั้งหมดนั้นคือ ชาติ เราจึงต้องปฏิบัติให้ชาติคือ ให้ประชาชนโดยส่วนรวมมีความมั่นคง เพื่อเราจะได้อยู่ได้ …” พระบรมราโชวาท

จะเห็นได้ว่า โครงการโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป เป็นโครงการหลวงที่มีการดำเนินงานในลักษณะ งานการตลาด ซึ่งเป็นการดำเนินงานวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวผักและผลไม้ การขนส่ง การคัดขนาด การบรรจุ และการแปรรูป เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตลอดจนการวิจัยด้านการตลาด มีการจำหน่ายผลผลิตของเกษตรกรภายใต้ชื่อ “ ดอยคำ ” ผลผลิตทางการเกษตรที่จำหน่าย ผ่านฝ่ายการตลาดของมูลนิธิโครงการหลวงมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละประมาณ 50 ล้านบาท และโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปปีละประมาณ 100 ล้านบาท ตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปของมูลนิธิโครงการหลวง แสดงในตาราง โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป ทำหน้าที่แปรรูปผลผลิตจากเกษตรกร ในมูลนิธิโครงการหลวง ทั้งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานทุนทรัพย์ในการตั้งโรงงานครั้งแรก ( โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ) ประมาณ 300,000 บาท แม้ว่าโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปทั้งหมดจะเป็นโรงงานขนาดย่อม แต่ก็มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากล เช่น มีการนำระบบประกันคุณภาพ ISO 9002 มาใช้ในโรงงาน เป็นต้น
ตาราง ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป “ ดอยคำ ”

4. โครงการชลประทาน
น้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์ สัตว์ และพืช ถ้าหากขาดน้ำหรือน้ำไม่เพียงพอ เราจะไม่สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ การขาดแคลนน้ำในการบริโภคก็จะเกิดขึ้น จะใช้น้ำเป็นเส้นทางคมนาคมก็ไม่ได้ แต่ถ้ามีน้ำมากเกินไป เช่น น้ำท่วม เมื่อฝนตกมาก หรือน้ำทะเลหนุน ความเดือดร้อนก็เกิดขึ้น ปัญหาทางเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของมนุษย์ก็จะตามมา
สาเหตุของการขาดแคลนน้ำ
แม้จะได้มีการพัฒนาแหล่งน้ำในลุ่มเจ้าพระยาไปแล้วหลายโครงการ แต่ปัญหาการขาดแคลนน้ำก็ยังคงเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง ทั้งนี้เพราะมีสาเหตุต่างๆ หลายประการด้วยกันคือ
เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2532 – พ.ศ.2535) ได้เกิดสภาวะความแห้งแล้งขึ้น โดยในภาคเหนือเหนือเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ และภาคกลางในลุ่มน้ำเจ้าพระยามีปริมาณฝนรวมทั้งปีน้อยกว่า เกณฑ์เฉลี่ยประมาณร้อยละ 15 โดยมีปริมาณฝน รวมทั้งปีประมาณ 1,100 มิลลิเมตร

จึงมีผลให้น้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้อยกว่าปีก่อน แต่เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ภัยแล้ง ใน พ.ศ.2535 เกษตรกรยังต้องการน้ำสนับสนุนการทำนาปรังอย่างมากมาย รัฐบาลจึงได้ตัดสินใจปล่อยน้ำออกจากเขื่อนทั้งสองลงมาช่วย เพื่อมิให้ต้นข้าวได้รับความเสียหาย จนน้ำเกือบหมดอ่างเก็บน้ำ
สาเหตุจากสภาวะฝนแล้ง จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำต้นทุนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีแนวโน้มลดลงทั้งปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ และปริมาณน้ำท่าที่ไหลลงอ่างฯ ภูมิพลและสิริกิติ์ โดยเฉลี่ยได้ลดลงจากประมาณ 10, 360 ล้านลูกบาศก์เมตร เหลือเพียงประมาณ 7,000 ล้านลูกบาศก์เมตร (หรือ 70 %) ในช่วงระยะเวลา 20 ปี ส่วนปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จังหวัดนครสวรรค์ ได้ลดลงจากประมาณ 22,200 ล้านลูกบาศก์เมตร เหลือเพียงประมาณ 16,700 ล้านลูกบาศก์เมตร (หรือ 76 % ) ในช่วงระยะเวลา 20 ปี และโดยที่ปริมาณความต้องการใช้น้ำในเขตลุ่มน้ำมีมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งน้ำใช้เพื่อการเพาะปลูก เพื่อการอุปโภคบริโภค รวมทั้งน้ำใช้ในกิจการอุตสาหกรรมและอื่นๆ ในท้องที่ต่างๆ ทั่วเขตโครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ ขณะที่ปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ที่จะสามารถระบายน้ำลงมาให้มีน้อยลง แต่ในทางตรงกันข้ามปริมาณน้ำที่ต้องการนำมาใช้ในลุ่มน้ำเจ้าพระยานั้น มีหลายวัตถุประสงค์ที่สำคัญด้วยกันได้แก่
เพื่อผลักดันน้ำเค็มบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน ประมาณ ปีละ 2,550 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อผลิตน้ำประปาของการประปานครหลวง ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประมาณปีละ 1,300 ล้านลูกบาศก์เมตร และจะเพิ่มเป็นปีละ 1,920 ล้านลูกบาศก์เมตร ในพ.ศ.2543 เป็นต้นไป เพื่อการเกษตรรวมทั้งการอุปโภคบริโภคของราษฎรในช่วงฤดูฝน ประมาณปีละ 4,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ฤดูแล้งประมาณ 4,000-6,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งความต้องการใช้น้ำในแต่ละปีอยู่ระหว่าง 11,850 – 13,850 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ยังไม่คิดรวมไปถึงความต้องการการใช้น้ำในอนาคตที่จะเพิ่มเป็นทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรและความเจริญทางเศรษฐกิจ
ลุ่มน้ำเจ้าพระยายังขาดแคลนแหล่งเก็บกักน้ำ เนื่องจากมีแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่อยู่เพียง 2 แห่ง เท่านั้นคือ อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ โดยที่ปริมาณน้ำฝนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีจำนวนมหาศาลถึง 22,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี แต่เราสามารถเก็บกักและใช้ไปในกิจกรรมต่างๆ ในหน้าฝนได้เพียงประมาณ 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ปริมาณน้ำจำนวน 10,000 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงไหลไปตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ และออกสู่ทะเลไปอย่างน่าเสียดาย
แนวทางแก้ไข
ปัญหาการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ผ่านมา แม้จะไม่รุนแรงถึงขั้นวิกฤต แต่ในอนาคตยังไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาเหตุการณ์ที่จะกิดขึ้นได้ว่าจะมีความรุนแรงเพียงใด แต่ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านไปจนถึงจุดนั้น เป็นที่แน่นอนว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะประมาณค่ามิได้ ด้วยเหตุนี้การแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำจึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องรีบดำเนินการ ซึ่งแนวทางแก้ไขสามารถกำหนดไว้เป็น 2 ระยะด้วยกัน
มาตรการแก้ไขเร่งด่วนเฉพาะหน้า ด้วยการรณรงค์ให้มีการประหยัดน้ำ สำหรับผู้ใช้น้ำในทุกกิจกรรม ทุกกลุ่มให้ตระหนักถึงการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้มีวิธีการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าและประหยัด
มาตรการแก้ไขระยะสั้น สนับสนุนให้มีการทำฝนเทียม เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำกับอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ ในช่วงเวลาที่ฝนไม่ตกตามธรรมชาติ ตามที่สภาพไอน้ำในบรรยากาศจะเอื้ออำนวย และอีกวิธีหนึ่งคือ การพัฒนาแหล่งน้ำในไร่นา ซึ่งจะสนับสนุนให้เกษตรกรมีการดำเนินการอย่างกว้างขวาง ทั้งการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลระดับตื้นและขุดสระเก็บน้ำประจำไร่นา
มาตรการแก้ไขระยะยาว เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำให้มีน้ำใช้อย่างพอเพียง ในอนาคตจึงได้กำหนดแผนดำเนินการระยะยาวด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนาน้ำบาดาลระดับตื้น ขุดลอกหนอง คลอง บึง ที่ตื้นเขินตามท้องที่ต่างๆ และขุดสระเก็บน้ำประจำไร่นา และในส่วนที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการคือ การสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ที่ลำน้ำสาขาต่างๆ เช่น เขื่อนเก็บกักน้ำที่ลุ่มน้ำสะแกกรัง เขื่อนกักเก็บน้ำแก่งเสือเต้น เขื่อนเก็บกักน้ำป่าสัก เขื่อนกักเก็บน้ำแควน้อย ซึ่งโครงการทั้งหมด ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเหมาะสม และการแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ยังมีโครงการผันน้ำจากลุ่มน้ำใกล้เคียงมาใช้ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งก็กำลังศึกษาอยู่เช่นกัน คือ โครงการผันน้ำจากแม่น้ำแม่กลองมาสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โครงการผันน้ำจากแม่น้ำบาง-ปะกง รวมทั้งโครงการผันน้ำจากแม่น้ำนานาชาติ เช่น โครงการผันน้ำ กก-อิน-น่าน และโครงการผันน้ำจากลำน้ำสาขาต่างๆ ของแม่น้ำสาละวิน
มาตรการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในขณะนี้ เป็นเพียงแผนงานกำหนดไว้ ส่วนการดำเนินการนั้นคงต้องใช้เวลา และความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่มองเห็นความสำคัญของปัญหา และพร้อมจะช่วยกันผลักดันให้แนวทางที่กำหนดไว้ได้มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อป้องกันมิ ให้เกิดความสูญเสียต่างๆ ที่ประชาชนจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเมื่อเกิดวิกฤติการณ์น้ำในอนาคต
ดังนั้นจีงมีความจำเป็นต้องมี การบังคับน้ำ หรือการเก็บกักน้ำ ไว้สำหรับ
1. เพื่อใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค
2.. เพื่อใช้น้ำในการชลประทาน การเพาะปลูกและการประมง
3. เพื่อป้องกันน้ำท่วม (การบรรเทาอุทกภัย)
4. เพื่อการคมนาคม และการท่องเที่ยว
5. เพื่อใช้พลังน้ำผลิตกระแสไฟฟ้า
การเก็บกักน้ำทำได้หลายวิธี เช่น
1. การสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ
2. การสร้างฝายทดน้ำ
3. การสร้างอ่างเก็บน้ำ
1. คำว่า “ เขื่อน ” ตามความหมายสากล หมายถึงสิ่งปลูกสร้างที่เราสร้างขึ้นขวางลำธารหรือแม่น้ำ เพื่อควบคุมการไหลของน้ำในลำธารหรือแม่น้ำ
เขื่อน แบ่งออกตามลักษณะการเก็บกักน้ำ ตามประเภทของการใช้งาน และตามชนิดของวัตถุที่ใช้สร้างเขื่อน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.1 เขื่อน แบ่งออกตามลักษณะการเก็บกักน้ำ แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
1.1.1 เขื่อนระบายน้ำ คือเขื่อนที่สร้างกั้นขวางลำน้ำ ทำให้น้ำหน้าเขื่อนมีระดับสูงพอที่จะระบายหรือทดน้ำเข้าสู่คลองชักน้ำได้ มีประโยชน์ด้านการชลประทาน และการเดินเรือ เช่น เขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เขื่อนวชิราลงกรณ์ จังหวัดกาญจนบุรี เพิ่มเนื้อที่ในการเกษตรไม่ต่ำกว่า 1 ล้านไร่ รวมขยายเนื้อที่ทำกินจังหวัดต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 17 จังหวัด ใน 2 เขื่อนนี้
1.1.2 เขื่อนเก็บกักน้ำ คือเขื่อนที่สร้างกั้นแควหรือลำธารที่ไหลผ่านช่องเขาแคบ ทำให้น้ำหน้าเขื่อนมีระดับสูงมาก เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ประโยชน์ด้านการชลประทาน การเกษตร ผลิตพลังงานไฟฟ้าและได้พลังงานไฟฟ้า ส่งกระแสไฟฟ้าไปให้ประชาชนหลายจังหวัดได้ใช้ ผลิตกระแสไฟฟ้า เพาะพันธุ์ปลา และการคมนาคม เขื่อนชนิดนี้ไม่มีประตูน้ำ เช่น เขื่อนภูมิพล อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เขื่อนสิริกิติ์ อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ เขื่อนกิ่วลม อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เขื่อนกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เขื่อนทับเสลาอำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี เขื่อนแม่กวง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ และเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
1.2 เขื่อน แบ่งตามประเภทของการใช้งาน แบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด
1.2.1 เขื่อนทดน้ำ เพื่อการทดน้ำเข้าสู่คลอง และส่งน้ำต่างๆ เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Diversion Dam”
1.2.2 เขื่อนเพื่อการคมนาคม เพื่อการยกระดับน้ำให้สูงขึ้น และเรือเดินได้ เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Navigation Dam”
1.2.3 เขื่อนเพื่อการพลังงาน เพื่อยกระดับน้ำให้สูงขึ้น และนำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Power Dam”
1.2.4 เขื่อนเก็บกักน้ำ เพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ในการชลประทาน การประปา ควบคุมน้ำท่วม การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Storage Dam”
1.2.5 เขื่อนอเนกประสงค์ คือเป็นเขื่อนที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ตั้งแต่ 2 ประการขึ้นไป เรียกว่า เขื่อนอเนกประสงค์ ดังนั้นเขื่อนสำคัญของประเทศไทย จัดเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ทั้งสิ้น เรียก “Multi Purposes Dam”
1.3 เขื่อน แบ่งตามชนิดของวัตถุที่ใช้สร้างเขื่อน แบ่งได้ 2 ชนิด คือ เขื่อนคอนกรีต และ เขื่อนดิน
1.3.1 เขื่อนคอนกรีต แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
1) กราวิตี้แดม (Gravity Dam) เป็นเขื่อนที่ใช้น้ำหนักของตัวมันเอง เป็นตัวต้านทานแรงดันน้ำ ไม่ให้พลิกคว่ำและไม่ให้ตัวเขื่อนเคลื่อนไหวไปกับน้ำ เขื่อนประเภทนี้มีมวลหนักมาก จึงต้านทานน้ำได้ เช่น เขื่อนกิ่วลม จังหวัดลำปาง
2) อาร์คแดม (Arch Dam) เป็นเขื่อนที่ใช้ลักษณะความโค้งเป็นตัวต้านทานแรงน้ำ แล้วจะถ่ายน้ำหนักไปยังขุนเขาที่ปลายโค้งทั้ง 2 ข้าง เขื่อนชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเขื่อนขนาดใหญ่เหมือนกราวิตี้แดม เช่น เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก
1.3.2 เขื่อนดิน คือเขื่อนที่สร้างขึ้นโดยใช้ดินเหนียวเป็นแกน ฐานของเขื่อนกว้างมากเพื่อรับน้ำหนักได้เต็มที่ เช่น เขื่อนสิริกิตติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ มีฐานกว้าง 630 เมตร มีความสูงจากท้องน้ำถึงสันเขื่อน 113.6 เมตร เขื่อนยาว 800 เมตร สันเขื่อนกว้าง 12 เมตร

2. ฝายทดน้ำ ศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Weir” คือคานที่สร้างขึ้นขวางทางน้ำธรรมชาติ หรือคลองขุดเพื่อให้น้ำที่เหลือจากความต้องการล้นขึ้น แล้วไหลข้ามไป โดยไม่ทำให้คานพังเสียหาย ฝายที่สำคัญ เช่น ฝายแม่ลาว ฝายแม่แตง ฝายสินธุกิจปรีชา จังหวัดเชียงใหม่ ฝายชลขันพินิต จังหวัดลำพูน ฝายสมอ่าง จังหวัดลำปาง ฝายแม่น้ำยม จังหวัดแพร่ เป็นต้น
3. อ่างเก็บน้ำ ศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า (Resevoir) คือการสร้างทำนบกั้นหุบเนิน ให้เป็นแหล่งเก็บน้ำขนาดเล็ก อ่างเก็บน้ำที่สำคัญเช่น อ่างเก็บน้ำพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จังหวัดสุโขทัย อ่างเก็บน้ำห้วยสีทน จังหวัดกาฬสินธุ์ อ่างเก็บน้ำห้วยซับเหล็ก จังหวัดลพบุรี อ่างเก็บน้ำมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา เป็นต้น

โครงการตามพระราชประสงค์ ที่ได้ทรงพระกรุณาต่อพสกนิกรมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
ภาคเหนือ ตัวอย่างเช่น
1. โครงการบ้านใหม่ร่มเย็น ตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดเชียงราย เป็นโครงการแบบเหมืองฝาย เพื่อพัฒนาหมู่บ้านชาวเขาที่อพยพหนีพวกผู้ก่อการร้าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมและสร้างแล้วเสร็จ เมื่อ 30 กันยายน พ.ศ.2516 สามารถส่งน้ำช่วยเหลือการเพาะปลูกในฤดูฝนได้ 3,000 ไร่ ฤดูแล้งได้ประมาณ 1,000 ไร่
2. โครงการหนองหอย ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโครงการแบบเหมืองฝาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเยี่ยมชาวเขาเผ่าแม้ว โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างฝายแล้วเสร็จเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ.2516 สามารถส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกในฤดูฝนได้ 600 ไร่ ฤดูแล้งได้ 200 ไร่ ภาคเหนือนี้ยังมีอีกหลายโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าไปดำเนินการและช่วยเหลือ เช่น โครงการช่างเดี่ยน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โครงการดอยอ่างขาง ตำบลม่อนปิ่น อำเภออ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ โครงการบ้านแม่สาใหม่ ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
โครงการต่าง ๆ ตามพระราชประสงค์ในภาคเหนือนี้ เป็นโครงการขนาดเล็ก ลงทุนน้อย แต่ได้ประโยชน์มาก ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบแก่พสกนิกรโดยถ้วนหน้า
ภาคตะวันตก ตัวอย่างเช่น
1. โครงการสูบน้ำหุบกระพง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เป็นโครงการจัดหาน้ำเพื่อ การเพาะปลูกให้กับศูนย์พัฒนาชนบท เริ่มดำเนินการตั้งแต่ ปี พ.ศ.2507 แล้วเสร็จใน พ.ศ.2517
2. โครงการอ่างเก็บน้ำบ้านหนองเหียง อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นโครงการจัดหาน้ำเพื่อการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ให้โครงการหม่อน – ไหมสมเด็จ จุน้ำประมาณ 140,000 ลูกบาศก์เมตร สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2518
ภาคตะวันตกนี้ ยังมีอีกหลายโครงการที่อยู่ในพระราชดำริและดำเนินการต่อไป เช่น โครงการฝายดอยขุนห้วยและโครงการอ่างเก็บน้ำ ห้วยโป่งทะลุ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โครงการอ่างเก็บน้ำ ถ้ำไก่หล่น อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โครงการจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เป็นต้น
ภาคใต้ ตัวอย่างเช่น
1. โครงการระบายน้ำพรุบาเจาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ.2517 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรเป็นการส่วนพระองค์ ทรงทราบความเดือดร้อนว่าชาวบ้านได้รับความเสียหายจากอุทกภัยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปี จึงมีพระกระแสรับสั่งให้ช่วยดำเนินการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน แล้วเสร็จใน พ.ศ.2517 ทันฤดูการทำนาเพาะปลูกได้ประมาณ 59,000 ไร่ ซึ่งราษฎรเป็นคนไทยนับถือศาสนาอิสลาม
2. โครงการชลประทานมูโนะ จังหวัดนราธิวาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสรับสั่งให้ทำโครงการชลทานเพื่อระบายน้ำ บรรเทาอุทกภัย ป้องกันน้ำเค็ม ปรับปรุงดินและการเลี้ยงสัตว์ ในท้องที่อำเภอสุไหงโก – ลก และอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส โครงการแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เรียกว่า โครงการมูโนะ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 100,000 ไร่ อยู่ในเขตอำเภอสุไหงโก – ลก และอำเภอตากใบ ระยะที่ 2 เรียกว่าโครงการพัฒนาพรุโต๊ะแดง และการพัฒนาที่ดิน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 200,000 ไร่
เขื่อน ฝายทดน้ำและอ่างเก็บน้ำ ที่ได้จัดสร้างขึ้นตามโครงการพระราชดำริ หรือโครงการตามพระราชประสงค์นั้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่พสกนิกรถ้วนทั่วทุกภาคเป็นล้นพ้นหาที่เปรียบมิได้
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่กรมชลประทานได้รับมอบหมาย และกำลังดำเนินการในปี พ.ศ.2536 ซึ่งเป็นโครงการที่มีความสำคัญเป็นลำดับแรกในแต่ละภาคของประเทศ ดังนี้
ภาคกลาง โครงการพัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝนอันเนื่องมาจากพระราชดำริบริเวณวัดมงคลชัย อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ซึ่งบริเวณดังกล่าวราษฎรส่วนใหญ่มีอาชีพทำการเกษตรโดยอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ฝนที่ตกมักมีสภาพไม่แน่นอน ทำให้ราษฎรประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเพาะปลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูแล้งจึงได้พิจารณาใช้รูปแบบการจัดพื้นที่ทำการเกษตรแต่ขาดแคลนแหล่งน้ำต้นทุน ต้องอาศัยน้ำฝนแต่อย่างเดียวให้สามารถทำการเกษตรได้ตลอดปี โดยจัดการ ให้มีแหล่งน้ำเฉพาะของตนเอง (สระเก็บน้ำประจำไร่นา) ควรแบ่งพื้นที่เฉลี่ยแปลงละประมาณ 15 ไร่ ออกเป็น 3 ส่วน ตามสัดส่วน 60 30 และ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ 1 ใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูก (พิจารณาแบ่งพื้นที่ส่วนที่หนึ่งทำนาในฤดูฝนให้เพียงพอแก่การบริโภคในครัวเรือน และปลูกพืชไร่ประเภทใช้น้ำน้อยในฤดูแล้ง พื้นที่อีกส่วนหนึ่งใช้ปลูกพืชสวน) พื้นที่ส่วนที่ 2 ใช้ขุดสระเก็บน้ำประจำไร่นา (ให้มีความจุสระละประมาณ 10,000 ลูกบาศก์เมตร) และพื้นที่ ส่วนที่ 3 ใช้อยู่อาศัย ตลอดจนถนน และพื้นที่ใช้สอยอื่นๆ
รูปแบบโครงการดังกล่าวได้นำไปทดลองในพื้นที่โครงการพัฒนาเบ็ดเสร็จลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำปิง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่บริเวณที่ราษฎรน้อมเกล้าฯ ถวายจำนวน 10 ไร่ ตำบลคุ้มเก่า อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยให้เป็นตัวอย่างเพื่อการศึกษา นำมาปรับปรุงพื้นที่เกษตรกรต่อไป
ภาคเหนือ โครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ มีขอบเขตจากแนวเขตด้านทิศเหนือของศูนย์การศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ ขึ้นไปจนจรดขอบ อ่างเก็บน้ำแม่กวง รวมเนื้อที่ประมาณ 30,000 ไร่ โดยพิจารณาสร้างอ่างเก็บน้ำที่บริเวณหมู่บ้านศาลาปางสัก และบริเวณที่เหมาะสม เพื่อจัดหาน้ำสนับสนุนพื้นที่จัดสรรสำหรับราษฎร ซึ่งทำกินอยู่ทั่วไปในเขตโครงการฯ ให้ย้ายมาอยู่และทำกินรวมกันเป็นหลักแหล่ง หลังจากนั้นจะได้พัฒนาพื้นที่ป่าไม้บริเวณต้นน้ำลำธาร ของโครงการนี้ให้มีความสมบูรณ์ต่อไป และพิจารณาสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กและฝายเก็บกักน้ำ เพื่อจัดหาน้ำให้เกิดความชุ่มชื้นกับพื้นที่ป่าไม้
การดำเนินงานพัฒนาในพื้นที่ป่าขุนแม่กวง ให้ใช้แนวทางการดำเนินงานเช่นเดียวกันกับที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว จากการศึกษาทดลองที่ศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ ในปี พ.ศ. 2536 กรมชลประทานกำลังดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก 2 แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำบ้านศาลาปางสัก 1 และ 2 และฝายต้นน้ำลำธาร จำนวน 60 แห่ง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำก่ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร นครพนม เป็นโครงการเพื่อช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรที่อาศัยอยู่ในบริเวณ 2 ฝั่งลำน้ำก่ำ เนื่องจากฤดูฝน เมื่อน้ำในแม่น้ำโขงมีระดับสูง น้ำในลำน้ำก่ำไม่สามารถไหลลงแม่น้ำโขงได้ จึงทำให้เกิดการเอ่อท้นขึ้นท่วมพื้นที่ 2 ฝั่งลำน้ำ ทำความเสียหายแก่พื้นที่เพาะปลูกของราษฎรเป็นประจำ แต่ในฤดูแล้งน้ำในแม่น้ำโขงมีระดับต่ำ น้ำในลำน้ำก่ำไหลลงแม่น้ำโขงหมด จึงมีน้ำเหลืออยู่ในลำน้ำก่ำน้อยมาก ราษฎรไม่สามารถนำน้ำขึ้นมาใช้ทำการเพาะปลูกได้ จึงเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำทำการเกษตรและอุปโภคบริโภค แผนการดำเนินการ แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ลักษณะโครงการประกอบด้วยงานก่อสร้างอาคารบังคับลำน้ำก่ำ 5 แห่ง รวมทั้งงานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำที่บริเวณลำน้ำก่ำ เพื่อเป็นที่รองรับน้ำจากตอนบน งานปรับปรุงขุดลอกหนองน้ำธรรมชาติและสระน้ำต่างๆ ประมาณ 200 แห่ง และงานปรับปรุงลำน้ำบัง
ระยะที่ 2 เมื่อก่อสร้างระยะที่ 1 สำเร็จ ก็จะดำเนินการปรับปรุงลำน้ำก่ำ ขุดช่วงตัดลำน้ำที่คดเคียวก่อสร้างคันกั้นน้ำ 2 ฝั่ง พร้อมอาคารบังคับ และขุดคลองตาม 2 ฝั่งลำน้ำก่ำ พร้อมก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ เพื่อระบายช่วยลำน้ำก่ำในฤดูน้ำหลาก
ภาคใต้ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังในเขตอำเภอชะอวด อำเภอหัวไทร อำเภอเชียรใหญ่ และอำเภอปากพนัง สภาพภูมิประเทศทางด้านทิศตะวันตกเป็นแนวเทือกเขาสูง ถัดลงมาเป็นพื้นที่ราบเชิงเขา และต่อเนื่องด้วยพื้นที่ราบออกไปทางด้านทิศตะวันออกจนจรดทะเล ในช่วงฤดูฝนน้ำจึงไหลบ่าท่วมพื้นที่ราบ เป็นบริเวณกว้าง ทำความเสียหายแก่พื้นที่ทำการเกษตร ส่วนในฤดูแล้งน้ำในแม่น้ำปากพนังมีน้อย น้ำทะเลจึงไหลรุกล้ำเข้าไปตามแม่น้ำปากพนังและลำน้ำสาขาลึกเป็นระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ทำให้ราษฎรเกิดความเดือดร้อน กรมชลประทานจึงได้พิจารณาวางแผนดำเนินการ โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริดังนี้
การศึกษาและจัดทำรายงานความเหมาะสม เป็นการศึกษารายละเอียดโครงการทั้งลุ่มน้ำ และจัดทำรายงานความเหมาะสม รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและแนวทางป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและแนวทางป้องกันแก้ไข ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
การออกแบบและก่อสร้าง ปตร. ปากพนังฯ กรมชลประทานกำลังเร่งดำเนินงานการรวบรวมข้อมูลก ารสำรวจภูมิประเทศ ข้อมูลทางปถพี-ธรณีวิทยา และข้อมูลทางด้านอุทกวิทยา เพื่อการจัดทำข้อกำหนดเงื่อนไขการว่าจ้างบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาดำเนินการออกแบบรายละเอียดให้เสร็จเรียบร้อยในปี พ.ศ.2537 เพื่อก่อสร้างต่อไป
โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ฝายทดน้ำ และงานอื่นๆ ในโครงการพัฒนาพื้นที่สุ่มน้ำปากพนังฯ จะพิจารณาดำเนินการก่อสร้างตามความเหมาะสม โดยมีระยะดำเนินการในปี พ.ศ.2538 – 2542
5.โครงการประมงพระราชทาน

“ …ทรัพยากรด้านประมงจะต้องจัดเป็นระเบียบ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าปล่อยพันธุ์ปลาให้ดี หรือเลี้ยงปลาให้เติบโตดี สำคัญที่ว่าตามธรรมชาติเราปล่อยปลาลงไปแล้ว มันจะผสมพันธุ์หรือไม่ผสมพันธุ์ก็แล้วแต่ แต่ว่ามันก็เติบโตตามธรรมชาติใช้การได้ ปัญหาอยู่ที่ในด้านการบริหารการจับปลา ไม่ใช่ในด้านการเลี้ยงปลา ในด้านการเลี้ยงปลา สถานีประมงต่างๆ ก็ทำแล้ว แต่ที่จะต้องทำคือ บริหารเกี่ยวกับการจับปลาให้ประชาชนได้ประโยชน์จริงๆ … ” (พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะกรรมการบริหาร และคณะเจ้าหน้าที่ของศูนย์การศึกษาพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ โครงการศูนย์ฯ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2527)
ปีที่เริ่มโครงการ
พุทธศักราช 2495
วัตถุประสงค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัวรัชกาลที่ 9 ทรงตระหนักว่า ปลาน้ำจืดเป็นอาหารหลักชนิดหนึ่งของคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่นับวันจำนวนปลาที่มีอยู่ตามธรรมชาติจะร่อยหรอลงไป ไม่สมดุลย์กับจำนวนผู้บริโภค เนื่องจากจำนวนพลเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการสงวนพันธุ์ปลา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กรมประมงใช้บ่อน้ำในบริเวณสวนจิตรลดา เป็นที่เพาะเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ปลาพระราชทานแก่ประชาชน พันธุ์ปลาต่าง ๆ ที่ทำการเพาะเลี้ยงนี้ มีทั้งปลาพันธุ์พื้นเมืองของไทย และพันธุ์ปลาจากต่างประเทศ ซึ่งล้วนแต่เป็นพันธุ์ที่เลี้ยงง่าย และสามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกภาคของประเทศ
ความเป็นมาและการดำเนินงาน

ปลาหมอเทศ
เมื่อปี พ.ศ.2495 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำพันธุ์ปลาหมอเทศซึ่งได้รับจากกรมประมงเมืองปีนัง ตั้งแต่ปีพ.ศ.2492 เข้าไปเลี้ยงในบ่อปลา ในบริเวณสวนจิตรลดา โดยที่ปลาหมอเทศเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย โตไว และแพร่พันธุ์ได้เร็ว ทั้งยังมีรสดีและมีก้างน้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 หัวจึงมีพระราชดำริที่จะพระราชทานพันธุ์ให้แก่ประชาชน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ทั่วพระราชอาณาจักร เข้ารับพระราชทานพันธุ์ปลาหมอเทศที่เพาะพันธุ์จากบ่อในสวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2496

ภายหลังจากที่ปลาหมอเทศได้กลายมาเป็นพื้นบ้านในทุกภูมิภาคของประเทศไทยแล้ว ต่อมา เจ้าฟ้าอากิฮิโต มกุฏราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น ได้จัดส่งปลานิลมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัวรัชกาลที่ 9 เป็นจำนวน 50 ตัว เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2508 ในระยะแรกได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ปล่อยลงพักเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ภายในบริเวณสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ย้ายไปเลี้ยงในบ่อดิน เนื้อที่ประมาณ 10 ตารางเมตร

เมื่อเลี้ยงไปได้ 5 เดือนเศษ ปรากฏว่า มีลูกปลาเกิดขึ้นจำนวนมากจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้าหน้าที่สวนหลวงขุดบ่อขึ้นใหม่อีกรวม 6 บ่อ เนื้อที่บ่อละประมาณ 70 ตารางเมตร ซึ่งในโอกาสนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงย้ายปลาจากบ่อเดิมปล่อยในบ่อใหม่ทั้ง 6 บ่อ ด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2508 และทรงมอบให้กรมประมงจัดส่งเจ้าหน้าที่ทางวิชาการไปตรวจสอบการเจริญเติบโต และแนะนำทางวิชาการเป็นประจำทุกเดือน
เมื่อเลี้ยงมาเป็นเวลาเกือบครบหนึ่งปี คือในวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2509 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพันธุ์ปลาขนาดยาว 2-5 เซนติเมตร จำนวน 10,000 ตัว ให้แก่กรมประมง เพื่อไปเลี้ยงและขยายพันธุ์ ที่แผนกทดลองและเพาะเลี้ยง ในบริเวณเกษตรกลาง บางเขน กรุงเทพมหานคร และที่สถานีประมงต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักร พร้อมทั้งพระราชทานชื่อปลาชนิดนี้ด้วยว่า “ ปลานิล ”
กรมประมงได้ดำเนินการขยายพันธุ์ปลานิลได้เป็นจำนวนมาก และได้จ่ายแจกราษฎร เพื่อนำไปเพาะเลี้ยงตามพระราชประสงค์ ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2510 จนถึงปัจจุบัน ปีละเป็นจำนวนหลายล้านตัว

ด้วยความสนพระราชหฤทัยเป็นพิเศษ และด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าวแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัวรัชกาลที่ 9 ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้กรมประมงนำพันธุ์ปลานิลที่เพาะไว้ในบ่อทั้ง 6 บ่อ และในบ่อใหม่อีก 2 บ่อ จากสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ไปสมทบแจกจ่ายให้แก่ราษฎรตามความต้องการของราษฎรอีกเป็นประจำทุกเดือน แม้กระนั้นก็ยังไม่เป็นการเพียงพอแก่ความต้องการของราษฎรที่จะนำไปเพาะเลี้ยง ซึ่งนับวันยิ่งมีความสนใจและความต้องการมากขึ้น
ความทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ในบริเวณสวนจิตรลดา เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งบ่อ นับเป็นบ่อที่ 9 ทั้งนี้เพื่อเร่งผลิตพันธุ์ปลานิลให้เพียงพอแก่ความต้องการของราษฎรต่อไป และเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัวรัชกาลที่ 9 ก็ได้ทรงปล่อยพ่อแม่ปลานิล จำนวน 300 ตัว ลงในบ่อใหม่ด้วยพระองค์เอง
ปัจจุบันนี้ สถานีประมง 16 แห่งทั่วพระราชอาณาจักร สามารถเพาะขยายพันธุ์ปลานิลได้ปีละสิบล้านตัวเศษ และแม้ราษฎรผู้ประกอบอาชีพการเลี้ยงปลา ก็สามารถผลิตพันธุ์ปลาชนิดนี้ได้เองอีกเป็นจำนวนมากในทุกภาคของประเทศ และแม้แต่ในแหล่งน้ำบางแห่งก็เป็นแหล่งของปลานิลจนเป็นที่ร่ำลือ เช่นที่กว๊านพะเยา เป็นต้น ทั้งนี้ เพราะปลานิลเป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายปลาหมอ เนื้อมีรสอร่อย คล้ายปลากะพง ที่เป็นที่นิยมของคนไทยอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นปลาที่เจริญเติบโตเร็ว ขนาดของปลาก็กำลังงาม ไม่ใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าเคยพบ มีน้ำหนักถึง 7 กิโลกรัมเศษ
ความดีเด่นของปลานิลนอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว ยังเป็นปลาที่ออกลูกดก อดทน กินอาหารง่าย และสามารถกินอาหารได้ทั้งชนิดที่เป็นพืชและสัตว์ อันได้แก่พืชชั้นต่ำ ตลอดจนถึงพืชชั้นสูง เช่น ตะไคร่น้ำ และสาหร่ายที่สดและที่สลายตัวแล้ว ตลอดจนแพลงค์ตอน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีชีวิตขนาดเล็ก ที่เลื่อนลอยอยู่ในน้ำ
อนึ่ง เมื่อเกิดอุทกภัยภาคใต้ กรมประมงก็ได้จัดส่งพันธุ์ปลานิลพระราชทานไปช่วยเหลือแก่ราษฎรผู้ประสบอุทกภัย ให้มีพันธุ์ปลาเลี้ยงปล่อยตามบ่อในจังหวัดต่างๆ ตามความต้องการของราษฎร ตามที่ทางจังหวัดขอมาเป็นจำนวนหลายแสนตัว
นอกจากนี้ กรมประมงได้จัดส่งพันธุ์ปลานิล จำนวน 500,000 ตัว ไปช่วยเหลือประเทศปากีสถานตามโครงการต่อสู้ความหิวโหย ทั้งนี้ ตามที่องค์การทุนสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติ ได้เสนอขอความร่วมมือผ่านองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติมา เพื่อให้พันธุ์ปลาดังกล่าวสามารถเจริญเติบโต และแพร่ขยายพันธุ์อันจะก่อประโยชน์อย่างมหาศาลต่อชาวปากีสถาน ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานว่ากำลังได้รับผลดีตามวัตถุประสงค์
จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ซึ่งเป็นที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง กรมประมงจึงได้กำหนดแผนการดำเนินงานในการที่จะผลิตพันธุ์ปลานิลให้เพียงพอกับความต้องการ และสนับสนุนให้ประชาชนสามารถผลิตพันธุ์ปลาได้เอง ตลอดจนสามารถเลี้ยงปลาให้ได้ผลอย่างแท้จริงยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้น ได้ดำเนินการทดลองค้นคว้าทางวิชาการให้ปรากฏผลดีนานาประการอีกด้วย เช่น การผสมเทียม เพื่อสงวนปลาพื้นเมืองบางชนิดที่เกรงว่าจะสูญพันธุ์ อาทิ ปลากะโห้ ปลาบึก (ที่มีแต่เฉพาะในแม่น้ำโขง) ปลายี่สก ปลากระพงขาว กุ้งก้ามกราม และกุ้งกุลาดำ เป็นต้น

ปลาทับทิม
ในปี พ.ศ.2511 นักวิชาการได้พบลูกผสม ชั่วที่ 7 ของปลา 2 ชนิด จากปลากลายพันธุ์ ( Mutant ) ของปลาหมอเทศสีแดงกับปลานิล มีลักษณะแดงและมีรสชาติอร่อย ชอบน้ำกร่อย โตเร็ว เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ.2532 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานชื่อว่า “ ปลาทับทิม ” และเป็นปลาที่กำลังได้รับความนิยมจากประชาชนมากอีกชนิดหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัวรัชกาลที่ 9 โปรดเกล้าฯ ให้มีกิจกรรมการทดลองค้นคว้าวิจัยด้านการประมง ในศูนย์ศึกษาการพัฒนาต่างๆ อาทิ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ จังหวัดปราจีนบุรีศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ จังหวัดสกลนคร และศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ จังหวัดนราธิวาส เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัวรัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำริให้ศึกษาและพัฒนาด้านการประมง โดยศึกษาในด้านวิชาการที่มิใช่วิชาการชั้นสูง แต่เป็นด้านวิชาการที่จะนำผลมาใช้ในท้องที่และสามารถปฏิบัติจริงได้ เป็นการเชื่อมระหว่างการค้นคว้าวิจัยกับการประกอบอาชีพของเกษตรกร เพื่อให้ราษฎรธรรมดาๆ ทั่วไปที่ไม่มีความรู้มากนักก็สามารถทำได้ ดังพระราชดำริเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
“… ควรดำเนินการพัฒนาการประมงให้เหมาะสมกับกับลักษณะภูมิประเทศ โดยการพัฒนาแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น ห้วย หนอง ให้เป็นแหล่งขยายพันธุ์ปลา และส่งเสริมให้ราษฎรสามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำนั้นได้ ทั้งการประมง และการปลูกพืชผักบริเวณรอบๆ หนองน้ำนั้น เพราะการขุดบ่อขึ้นใหม่มักประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ หรือถ้าน้ำท่วมปลาก็จะหนีไปหมด …”
ผู้รับผิดชอบโครงการ : อธิบดีกรมประมง กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
6. โครงการด้านการผลิตนม
- 6.1 โครงการโรงโคนมสวนจิตรลดา
ปีที่เริ่มโครงการ
พุทธศักราช 2505
วัตถุประสงค์
1. เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่การเลี้ยงโคนม โดยสาธิตการดำเนินงานให้เป็นตัวอย่างแก่เกษตรกร ในลักษณะที่เกษตรกรสามารถนำวิธีการไปดำเนินการได้เอง ภายในครอบครัว
2. เพื่อศึกษาค้นคว้าวิชาการแผนใหม่เกี่ยวกับกิจการโคนม และเผยแพร่ไปยังเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เพื่อปรับปรุงวิธีการให้ถูกต้องและได้ผลดีที่สุด

ความเป็นมา
ในปี พ.ศ.2505 ได้มีส่วนราชการ บริษัทห้างร้าน และฝ่ายเอกชนน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายโคพันธุ์ เพศ และวัย ต่างๆ กัน จำนวน 6 ตัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเงินสำหรับสร้างโรงโคนมขึ้นในบริเวณสวนจิตรลดา เป็นเงิน 32,886.73 บาท โค 6 ตัวในขั้นแรกเริ่มนี้มีโคที่ตั้งท้องแล้ว 4 ตัว ต่อมาได้ตกลูกและเริ่มทำการรีดนม น้ำนมที่เหลือจากการแบ่งให้ลูกโคกินแล้วได้นำไปจำหน่าย ในระยะแรกนี้จำหน่ายอยู่แต่เพียงในหมู่ข้าราชบริพารในสวนจิตรลดา
ต่อมามีนมเหลือมากขึ้นจึงขยายการจำหน่ายออกไปภายนอก และในช่วงเวลาจากปี พ.ศ.2506 ถึงปี พ.ศ.2512 ปรากฏว่าได้มีบริษัท ห้างร้าน สมาคมและฝ่ายเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ พากันน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายโคพันธุ์ต่าง ๆ ในวัยต่างๆ กันรวมกันเป็นจำนวน 17 ตัว

การดำเนินงาน
ปี พ.ศ.2505 ซื้อตู้เย็นสำหรับเก็บรักษานมสดซึ่งรีดได้ในตอนเย็น 1 ตู้ ด้วยผ่อนเงิน ราคา 8,157.00 บาท ด้านการจำหน่าย ได้บรรจุนมใส่ขวด ปิดปากขวดด้วยกระดาษแก้วและรัดยาง จำหน่ายในบริเวณสวนจิตรลดา มีรายได้ตลอดปี 35,346.50 บาท
ปี พ.ศ.2506 สร้างต่อเติมโรงโค เป็นเงิน 9,930.00 บาท ซื้อเครื่องสูบน้ำพญานาค 1 เครื่อง ราคา 4,500.00 บาท ด้านการจำหน่าย ได้เริ่มจัดรถจักรยานส่งนมตามบ้านสองสาย คือ สายถนนสุขุมวิท และสายถนนพหลโยธินมีรายได้ตลอดปี 39,445.00 บาท
ปี พ.ศ.2507 ได้จัดซื้อเครื่องทำนมสด 1 เครื่อง ราคา 900.00 บาท และซื้อแม่โคพันธุ์ผสม 2 ตัว ราคา 9,500.00 บาท ด้านการจำหน่ายได้เปลี่ยนการบรรจุนมใส่ขวดปิดปากขวดด้วยกระดาษแก้วรัดยาง มาเป็นกระดาษแข็งประทับตราโรงโคนมสวนจิตรลดา มีรายได้จากการจำหน่ายตลอดปีเป็นเงิน 28,755.00 บาท
ปี พ.ศ.2508 การส่งนมสายถนนสุขุมวิทเปลี่ยนพาหนะจากรถจักรยานมาเป็นรถจักรยานยนต์ เพราะมีสมาชิกรับนมมากขึ้น มีรายได้ตลอดปี 58,327.50 บาท
ปีพ.ศ.2509 สร้างโรงโคใหม่ และต่อเติมห้องเก็บนม เป็นเงิน 69,000.00 บาท ได้เปลี่ยนฝาขวดบรรจุนมจากกระดาษแข็งมาเป็นฝาพลาสติกและเปลี่ยนพาหนะส่งนมสายถนนพหลโยธิน จากรถจักรยานมาเป็นรถจักรยานยนต์มีรายได้จาการจำหน่ายตลอดปีเป็นเงิน 69,547.50 บาท
ปี พ.ศ.2510 มีรายได้จากการจำหน่ายนมสดตลอดปีเป็นเงิน 94,320.00 บาท
ปี พ.ศ.2511 สร้างห้องกระจกเป็นเงิน 3,107.00 บาท และซื้อเครื่องปิดปากถุงพลาสติก 1 เครื่อง เป็นเงิน 1,450.00 บาท เพื่อทำการบรรจุนมสดในถุงพลาสติกแทนการบรรจุในขวด ซึ่งสามารถลดต้นทุน ลดเวลา และเพิ่มพูนคุณภาพและความบริสุทธิ์ของนมให้ดีขึ้น ในรอบปีนี้มีรายได้จากการจำหน่ายเป็นเงิน 120,761.00 บาท
ปี พ.ศ.2512 ซื้อเครื่องปิดปากถุงพลาสติก 1 เครื่อง ราคา 1,450.00 บาท มีรายได้จากการจำหน่ายตลอดปี เป็นเงิน 136,345.00 บาท
ปี พ.ศ.2513 ต่อเติมโรงโค เป็นเงิน 91,887.00 บาท ซื้อตู้เย็น 40 คิว ราคา 18,000.00 บาท ซื้อเครื่องปิดปากถุง 2 เครื่อง ราคา 2,900.00 บาท ซื้อลมพัดเพดาน 2 อัน ราคา 800.00 บาท มีรายได้จากการจำหน่ายตลอดปี 196,747.00 บาท
ปี พ.ศ.2514 สร้างเครื่องพาสเจอร์ไรส์ 30,231.00 บาท เพื่อทำให้นมสะอาดตามมาตรฐานสากล มีรายได้จากการจำหน่ายตลอดปี เป็นเงิน 202,450.00 บาท
ปี พ.ศ.2516 ซื้อเครื่องทำนมสดให้เย็น ราคา 9,600.00 บาท ซ่อมเครื่องปรับอากาศห้องบรรจุนม 3,700.00 บาท ซ่อมรถแทรกเตอร์ขนหญ้า 6,254.40 บาท และได้ยืมเครื่องโฮโมจีไนส์มาจากกองวิศวกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาใช้เพื่อให้นมสะอาดตามมาตรฐานสากล และให้ถูกกับรสนิยมของผู้ดื่ม มีรายได้จากการจำหน่ายตลอดปีเป็นเงิน 199,871.75 บาท
ปี พ.ศ.2517 ต่อเติมโรงโค เป็นเงิน 38,587.00 บาท ซ่อมรถเป็นเงิน 2,298.00 บาท ปรับปรุงถมดินข้างโรงโคให้สูงขึ้นจากเดิมประมาณ 50 เซนติเมตร และปรับปรุงท่อระบายน้ำเสียจากโรงโค ในรอบปี พ.ศ.2517 นี้มีรายได้จากการจำหน่ายรวม 240,828.00 บาท
หมายเหตุ
ค่าใช้จ่ายประเภทเงินเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ไม่อยู่ในค่าใช้จ่ายของโรงโคนมสวนจิตรลดา ซึ่งถือว่าเป็นสถานีทดลอง และวิจัยการเลี้ยงโคนมในประเทศไทยด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น โรงโคนมสวนจิตรลดาจึงพยายามใช้สอย อย่างประหยัดที่สุดเพื่อให้ได้รายรับมากที่สุด เพื่อเป็นทุนดำเนินการวิจัยและค้นคว้า
แปลงหญ้าและอาหารผสม
ส่วนใหญ่เป็นแปลงหญ้าพันธุ์ “ มอริเชียส ” ครั้งแรกทดลองปลูกโดยใช้เครื่องรดน้ำแบบฉีด แต่ไม่ได้ผลเพราะอากาศร้อนจัด น้ำระเหยเร็วไม่เพียงพอต่อความต้องการของหญ้า จึงต้องทดลองเปลี่ยนมาใช้ระบบทดน้ำไปหล่อเลี้ยงแบบปลูกข้าวนาดำ ผลปรากฏว่าหญ้างามดี มีพอใช้เลี้ยงโคได้ตลอดปี ปัจจุบันนี้มีแปลงหญ้าที่ใช้ระบบทดน้ำแบบนาดำ 10 แปลง พื้นที่ประมาณ 20 ไร่ ในฤดูฝนที่มีหญ้าสดเหลือให้โคกินก็ทำเป็นหญ้าแห้งไว้ให้โคกินตอนกลางคืน และจะให้มากในฤดูแล้งซึ่งหญ้าไม่ค่อยพอให้โคกิน ในปี 2516 ทางโรงโคนมสวนจิตรลดา ได้จำกัดจำนวนโคที่เลี้ยงเพื่อให้จำนวนโคสมดุลย์กับเนื้อที่แปลงหญ้า 20 ไร่ และพอดีกับโรงที่เลี้ยง ปัจจุบันได้ทำหญ้าแห้งเพิ่มให้เป็นอาหารโคอีกมื้อในตอนค่ำ ทำให้ระบบการย่อยอาหารของโคดีขึ้น และโคสมบูรณ์แข็งแรงดี
ส่วนเรื่องอาหารผสมนั้น เนื่องจากยังอยู่ในระยะการค้นคว้าหาสูตรที่เหมาะสม ทางกรมปศุสัตว์จึงเป็นผู้จัดหาอาหารผสมให้ และมีการเปลี่ยนแปลงสูตรอยู่เสมอ
โรงโคนมสวนจิตรลดา ได้รับความอนุเคราะห์จากกรมปศุสัตว์หลายประการ
1. ช่วยดูแลตรวจรักษาโคนมซึ่งล้มป่วยลง ตลอดจนดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆให้
2.ทำการทดสอบ ควบคุม และรับรองโคนมทุกๆ ตัวว่าปราศจากวัณโรค โคแท้งติดต่อและโรคต่างๆ ที่อาจติดต่อถึงคน
3. ดำเนินการผสมเทียมแม่โคตามกำหนด โดยใช้น้ำเชื้อพ่อโคพันธุ์ที่เหมาะสมและควบคุม สุขภาพทางเพศเพื่อให้แม่โคตั้งท้อง ตกลูกกลายเป็นแม่ลูกอ่อน สามารถรีดนมทดแทน แม่โคที่ยังอยู่ในระยะน้ำนมแห้ง หมุนเวียนกันโดย สม่ำเสมอ
4.จัดอาหารและผสมอาหารตามสูตรที่ปรับปรุงค้นคว้าแล้วส่งให้ตามระยะเวลา
5.ตรวจหาจำนวนแบคทีเรียและน้ำมันเนยในตัวอย่างน้ำนมจากแม่โคที่กำลังรีดมีกำหนด เป็นประจำทุกเดือน เพื่อหาสิ่งบกพร่องและแก้ไขให้น้ำนมสะอาดและบริสุทธิ์ได้มาตรฐานอยู่เสมอ
6.จัดการแยกลูกโคที่เกิดมาเป็นตัวผู้ออกไปเลี้ยง เพื่อคัดเลือกและเตรียมไว้เพื่อเป็นพ่อโคพระราชทาน เพื่อเผยแพร่พันธุ์โคนมให้แพร่หลายยิ่งขึ้น
การดำเนินงานของโครงการโรงโคนมสวนจิตรลดา และโครงการส่วนพระองค์เองอื่นๆ ในสวนจิตรลดานั้น เปิดบริการให้เกษตรกร หน่วยงานเอกชนและราชการ เข้าชมกิจกรรมได้ทุกวันในเวลาราชการ เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับผู้สนใจ
ผู้รับผิดชอบโครงการ : นายแก้วขวัญ วัชโรทัย กองคลัง สำนักพระราชวัง
- 6.2 โครงการโรงนมผงสวนดุสิต
“ …โรงงานนี้จะเป็นโรงงานตัวอย่าง และจะดำเนินการเป็นตัวอย่างสำหรับกสิกร และผู้ที่สนใจในการผลิตนมในประเทศไทย โรงงานนี้เป็นแห่งแรกที่ทำขึ้นในเมืองไทย และก็เป็นที่น่าภูมิใจว่าคนไทยได้ออกแบบและเป็นผู้สร้าง ขอให้ถือว่าโรงงานนี้เป็นโรงงานตัวอย่าง ใครอยากได้ความรู้ ใครอยากที่จะทำกิจการโคนมให้สำเร็จ ให้ก้าวหน้า และเป็นประโยชน์แก่ตนเอง แก่เศรษฐกิจของบ้านเมืองก็มาดูกิจการได้ทุกเมื่อ และถ้ามีปัญหาอะไร มีความคิดอะไร ก็ให้แสดงออกมา บางที บางคนอาจเกิดความคิดอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ที่ทางนี้ไม่ได้คิด ก็จะเป็นประโยชน์ที่ร่วมแรงกันในทางความคิด เพื่อความก้าวหน้าของกิจการโคนมของประเทศไทย …”
ปีที่เริ่มโครงการ
พุทธศักราช 2512

วัตถุประสงค์
1. เพื่อเป็นโรงงานตัวอย่างให้สมาชิกผู้เลี้ยงโคนมทั่วประเทศ ได้มาเห็นและศึกษาวิธีการผลิตนมผงซึ่งเป็นวิธีการที่ทันสมัย ค่าก่อสร้างและการติดตั้งอุปกรณ์ในการผลิตต่ำ อยู่ในวิสัยที่จะนำเอาไปเป็นแบบอย่างดำเนินการเองได้ โดยสมาชิกสามารถที่จะรวมกลุ่มช่วยกันลงทุนสร้างขึ้น เพื่อผลิตนมผงออกจำหน่ายเอง เมื่อประสบกับปัญหาที่ผลิตนมสดได้ปริมาณมากเกินไปกว่าที่จะจำหน่ายได้หมด ทั้งนี้เพราะนมผงที่ผลิตขึ้นได้นี้สามารถเก็บรักษาได้ไม่น้อยกว่า 6 เดือน
2. นอกจากการผลิตนมผงแล้ว ยังสามารถใช้อุปกรณ์ของโรงงานนี้ทำการผลิตไข่ไก่ผง นมข้นชนิดไม่หวาน และนมข้นหวาน รวมทั้งผลิตผลไม้ผงบางชนิด เช่น กล้วยผง เป็นต้น
ประวัติความเป็นมา
โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงทราบถึง ความเดือดร้อนของผู้ผลิตนมสดออกจำหน่าย ในการที่มีนมสดเหลือมากมายไม่สามารถจะจำหน่ายได้หมด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้ดำเนินการช่วยเหลือโดยการสร้างโรงงานผลิตนมผงแบบทันสมัยขนาดย่อมขึ้น ได้พระราชทานเงินทดลองจ่าย 140,000.00 บาท รวมกับรายได้จากการจำหน่ายนมสดประจำเดือนของโรงโคนมที่ฝากประจำไว้ในธนาคารจำนวนเงิน 200,00.00 บาท กับดอกเบี้ยอีก 14,000.00 บาท ทั้งนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญทางเกษตรวิศวกรรมเป็นผู้ออกแบบโรงนมผง ซึ่งก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์โดยกองเกษตรวิศวกรรม ในลักษณะอาคารโครงเหล็ก วัสดุก่อสร้างทนไฟ รวม 4 ห้อง ประกอบด้วย ห้องถังระเหยนม เตาลมร้อน และเครื่องอัดลม ห้องพ่นถังนม ห้องควบคุมคุณภาพ ซึ่งมีอุปกรณ์ในการตรวจสอบคุณภาพของนมสดและนมผง เครื่องบรรจุนมผงใส่ถุงพลาสติกและกระป๋อง เครื่องปิดเชื่อมปากถุงพลาสติก และเครื่องอัดกระป๋องนมผง และห้องเก็บนมผงเพื่อรอการจำหน่าย
โรงนมผงเริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2512 และได้ดำเนินการในวันที่ 7 ธันวาคม ศกนั้น โดยได้รับพระราชทานชื่อว่า “ โรงนมผงสวนดุสิต ”
กรรมวิธีการผลิตนมผง
กรรมวิธีที่แปรสภาพนมสดให้เป็นนมผง เริ่มด้วยการบรรจุนมในถังระเหย ซึ่งถังชั้นในมีเครื่องกวนเพื่อป้องกันนมแยกตัว และถังชั้นนอกหล่อด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เพื่ออุ่นนมสดให้มีอุณหภูมิเท่าน้ำร้อน จากนั้นนมจะถูกสูบระบายออกจากถังระเหยเข้าสู่หัวพ่นนม เพื่อพ่นนมเป็นละอองเข้าสู่ถังพ่นนมซึ่งมีความสูง 5 เมตร ละอองนมสดนั้นจะลอยลงสู่ส่วนล่างของถัง และขณะที่สวนทางกับลมร้อนซึ่งเป่าขึ้นจากภายล่างของถัง จะระเหยไอน้ำและเป็นนมผงที่แห้งสนิทเมื่อตกถึงก้นถัง นับเป็นกรรมวิธีที่ถูกสุขลักษณะและอนามัย

การบรรจุนมออกสู่ตลาด
พ.ศ.2512 มีการบรรจุนมผงจืดและนมผงหวานในถุงพลาสติกออกจำหน่ายในราคาถุงใหญ่ 5.00 บาท และถุงเล็ก 1.00 บาท
พ.ศ.2513 ได้บรรจุนมผงในกระป๋องออกจำหน่ายในราคากระป๋องละ 22.00 บาท
พ.ศ.2516 ด้วยเหตุที่นมสดและกระป๋องบรรจุนมมีราคาสูงขึ้น โรงนมผงสวนดุสิตจึงขึ้นราคานมผง จำหน่ายกระป๋องละ 25.00 บาท ส่วนนมผงบรรจุถุงพลาสติกราคาคงเดิม และในปีเดียวกันนี้ ได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด คือ นมผงปราศจากไขมันชนิดจืดและชนิดหวาน จำหน่ายกระป๋องละ 25.00 บาท และถุงละ 5.00 บาท ครีมสวนดุสิต ถุงละ 5.00 บาท และนมสดปราศจากไขมันถุงละ 2.00 บาท
พ.ศ.2517 นมสด กระป๋องบรรจุนม ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ เครื่องปั่นเนย เครื่องอบกระป๋อง เครื่องชั่ง เครื่องวัดอุณหภูมิ ฯลฯ มีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมมาก โรงนมผงสวนดุสิต จึงขึ้นราคานมผงจำหน่ายในราคากระป๋องละ 28.00 บาท ส่วนนมผงบรรจุถุงพลาสติกราคายังคงเดิม และได้เพิ่มผลิตภัณฑ์เนยสดออกจำหน่ายบรรจุกล่องพลาสติกสี่เหลี่ยม ในราคากล่องละ 12.00 บาท
ในปัจจุบัน โรงนมผงสวนดุสิตได้ขยายกิจการในการผลิต นมผง ครีม นมสด และเนย ออกจำหน่ายตามร้านสหกรณ์ และซูเปอร์มาเก็ตต่างๆ และนอกจากนี้แล้ว “ เศษนม ” หรือ “ นมก้อน ” ซึ่งติดอยู่ตามส่วนต่างๆ ของถังพ่นนมและมีคุณภาพทัดเทียมกับนมผง ได้นำออกจำหน่ายในราคาถูก เพื่อบริโภคหรือเพื่อเลี้ยงลูกวัว สุนัข และแมว เป็นต้น โรงนมผงสวนดุสิต ได้เปิดกิจการให้กสิกรและผู้สนใจได้เข้าชมการดำเนินงานเป็นประจำ ซึ่งปรากฏว่ามีผู้สนใจเข้าชมจากทั่วทุกภูมิภาคจำนวนหลายครั้งต่อปี
ผู้รับผิดชอบโครงการ : นายแก้วขวัญ วัชโรทัย กองคลัง สำนักพระราชวัง
- 6.3 โครงการศูนย์รวมนมสวนจิตรลดา
ปีที่เริ่มโครงการ
พุทธศักราช 2516
วัตถุประสงค์
เพื่อทำหน้าที่รับซื้อนมจากสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม แล้วจัดจำหน่ายให้แก่ โรงนมผงสวนดุสิตกับโรงโคนมสวนจิตรลดา ผลกำไรที่ได้จะใช้เป็นงบอุดหนุนกิจการในโครงการส่วนพระองค์
ความเป็นมา
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2516 โครงการส่วนพระองค์ได้เปิดกิจการใหม่ขึ้น เรียกว่า “ ศูนย์รวมนมสดจิตรลดา ” โดยจัดแบ่งเงินรายได้จากการจำหน่ายนมสด ซึ่งเดิมรวมอยู่ในกิจการโรงนมผงสวนดุสิต ออกมาตั้งเป็นทุนดำเนินการของศูนย์เป็นจำนวนเงิน 100,000.00 บาท และจากโรงโคนมสวนจิตรลดา ( ตั้งแต่เริ่มรับนมสดจากสมาชิกผู้เลี้ยงโคนมมาจำหน่าย พ.ศ.2513) จำนวนเงิน 200,125.65 บาท รวมเป็นทุนดำเนินการทั้งสิ้น 300,125.65 บาท
การดำเนินงาน
ในรอบปี พ.ศ.2517 ศูนย์รวมนมจิตรลดา ได้ปฏิบัติการตามโครงการที่ตั้งไว้ คือ จัดซื้อเครื่องแยกไขมันให้แก่โรงนมผงสวนดุสิต 1 เครื่อง โดยขอไปทางสำนักราชเลขาธิการให้สั่งซื้อในพระปรมาภิไธย จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สามารถที่จะแยกไขมันจากนมสดได้ถึงชั่วโมงละ 2,000 ลิตร
เมื่อทำการแยกไขมันออกจากนมสดแล้ว ก็ได้ทดลองทำเนยสดออกจำหน่าย เริ่มต้นจำหน่ายในงานกาชาดประจำปี 2517 ที่สวนอัมพร ซึ่งผลิตภัณฑ์เนยสดได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ ต้องเร่งทำการผลิตจนเครื่องปั่นเนยอันเก่าซึ่งมีขนาดเล็กและใช้งานมานานเกิดความชำรุดเสียหาย
ในปี พ.ศ.2518 จึงได้ดำเนินการจัดซื้อเครื่องปั่นเนยขนาดใหญ่ สามารถปั่นครีมได้ครั้งละประมาณ 15-20 ลิตร จึงผลิตเนยสดได้รวดเร็วขึ้นมาก ซึ่งในการทำเนยสดนี้ ได้ใช้ห้องบรรจุนมผงเป็นห้องปฏิบัติการชั่วคราว และได้สร้างต่อเติมขึ้นมาใหม่ โดยทำผนังอิฐปูกระเบื้องเคลือบสีขาว ส่วนเครื่องปรับอากาศนั้น ขอยืมมาจากห้องล้างฟิล์มภาพยนตร์ส่วนพระองค์กองมหาดเล็ก
โครงการขั้นต่อไปของศูนย์
1. จัดหาเครื่องพาสเจอร์ไรส์ และเครื่องโฮโมจีไนส์ให้แก่โรงโคนมสวนจิตรลดา
2. ดำเนินการจัดทำห้องเย็นถาวรสำหรับเก็บนมสดและผลิตภัณฑ์ของโรงงาน เช่น ครีม และนมสด เป็นต้น
ผู้รับผิดชอบโครงการ : นายแก้วขวัญ วัชโรทัย กองคลัง สำนักพระราชวัง
7. โครงการด้านการผลิตข้าว

- 7.1 โครงการนาสาธิตสวนจิตรลดา
“… ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ศึกษาและทดลองทำนามาบ้าง และทราบดีว่าการทำนานั้นมีความยากลำบากเป็นอุปสรรคอยู่มิใช่น้อย จำเป็นต้องอาศัยพันธุ์ข้าวที่ดี และต้องใช้วิธีการต่าง ๆ ด้วย จึงจะได้ผลเป็นล่ำเป็นสัน อีกประการหนึ่ง ที่นานั้น เมื่อสิ้นฤดูกาลทำนาแล้วควรจะปลูกพืชอื่นๆ บ้าง เพราะจะเพิ่มรายได้ให้อีกไม่น้อย ทั้งจะช่วยให้ดินร่วน ช่วยเพิ่มปุ๋ยกากพืช ทำให้มีลักษณะเนื้อดินดีขึ้น เหมาะสำหรับจะทำนาในฤดูต่อไป ในการชุมนุมครั้งนี้ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังคำบรรยาย ทำให้เข้าใจในวิชาการใหม่ ๆ ให้แจ่มแจ้งทุก ๆ ข้อ เพราะทางราชการพร้อมที่จะช่วยท่านอยู่แล้ว ท่านจะได้นำวิชาการใหม่ ๆ นี้ไปใช้ปรับปรุงการทำนาของสมาชิกในกลุ่มให้ได้ผลดียิ่งขึ้น …” (พระราชดำรัสพระราชทานแก่ผู้นำกลุ่มชาวนาในวันเปิดการชุมนุมผู้นำกลุ่มชาวนาทั่วประเทศ ครั้งที่ 3 ที่จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2508)
ปีที่เริ่มโครงการ
พุทธศักราช 2504
วัตถุประสงค์
นอกเหนือจากการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้พระราชทานใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่กระทำเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พืชพันธุ์ธัญญาหาร และเพื่อบำรุงขวัญเพิ่มพูนกำลังใจแก่กสิกรซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว ยังเป็นการสาธิตการปลูกข้าวโดยใช้อัตราการใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีต่างๆ กัน เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรที่ได้เข้าชม ได้เห็นหลักวิชาการและนำไปใช้ในนาของตน
ความเป็นมา
เมื่อ พ.ศ. 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ฟื้นฟู พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ได้ว่างเว้นไปตั้งแต่ ปี พ.ศ.2479 เพราะทรงพระราชดำริว่าเป็นพระราชพิธีที่กระทำเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พืชพันธุ์ธัญญาหาร และเพื่อบำรุงขวัญเพิ่มพูนกำลังใจแก่เกษตรกร ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อเสร็จพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปี พ.ศ.2504 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นำเอาพันธุ์ข้าว ชื่อ “ นางมล ” ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย ลงปลูกในบริเวณสวนจิตรลดา เพื่อเพาะปลูกเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ไว้พระราชทานแก่ประชาชน ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปีต่อไปส่วนหนึ่ง และจัดส่งให้ทางจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศนำไปแจกจ่ายแก่ราษฎร เพื่อเป็นสิริมงคลตามพระราชประสงค์อีกส่วนหนึ่ง
การดำเนินงาน
เพื่อสนองพระราชดำริดังกล่าว จึงได้มีการจัดทำแปลงนาสาธิตในบริเวณสวนจิตรลดาติดต่อกันมาโดยสม่ำเสมอ อีกทั้งได้ทำการสาธิตการปลูกข้าวทั้งแบบนาดำและแบบนาหว่าน โดยการใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยเคมี ในการบำรุงดินและบำรุงความเจริญเติบโตของต้นข้าว ตลอดจนการสาธิตการปลูกข้าวไร่ในดินที่นำมาจากจังหวัดต่างๆ ทั้ง 4 ภาค เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่การปลูกข้าวไร่ควบคู่กันไปพร้อมกัน เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนข้าวบริโภค โดยใช้ที่ดินที่ว่างเปล่าจากการทำนาในฤดูฝน ตลอดจนใช้ที่ดินซึ่งเป็นเนินและไหล่เขาให้เป็นประโยชน์
สำหรับการปลูกข้าวไร่นั้น ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาค พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จะพระราชทานกระแสพระราชดำริให้ทดลองปลูกข้าวไร่เพื่อบริโภค และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพันธุ์ข้าวไร่อยู่เป็นเนืองนิจ ดังเช่นที่พระราชทานแก่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรของนิคมสร้างตนเอง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในปี พ.ศ.2517 ซึ่งปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจ และโดยที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์พิจารณาเห็นว่าการปลูกข้าวไร่นั้นเป็นการสนับสนุนให้ราษฎรรู้จักการพึ่งตนเอง และสามารถบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่อยู่กระจัดกระจายและห่างไกล ในการที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการเดินทางเข้าเมืองเพื่อซื้อข้าวบริโภคในฤดูฝนแล้ง จึงจัดตั้งโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวไร่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขึ้น โดยมีการจัดแปลงตัวอย่าง และดำเนินการส่งเสริม ให้คำแนะนำด้านวิชาการและติดตามผลโดยใกล้ชิด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการสนองพระราชดำริในอันที่จะให้เกษตรกรพัฒนาตนเอง ตลอดจนให้หน่วยราชการได้พัฒนาประเทศชาติให้เจริญมากยิ่งขึ้น
ผู้รับผิดชอบโครงการ : นายแก้วขวัญ วัชโรทัย กองคลัง สำนักพระราชวัง
- 7.2 โครงการโรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดา
ปีที่เริ่มโครงการ
พุทธศักราช 2514
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับวิธีการเก็บรักษาข้าว และสีข้าวให้ได้ผลดีที่สุด
2. เพื่อส่งเสริมให้มีการติดต่อกันโดยตรง ระหว่างชาวนาผู้ผลิตข้าวกับผู้บริโภค เป็นการขจัดพ่อค้าคนกลาง โดยให้มีการดำเนินกิจการในรูปการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์
3.ดำเนินการจัดซื้อข้าวเปลือกในต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว เพื่อให้ชาวนามีตลาดสำหรับผลผลิต และเพื่อให้มีข้าวเปลือกไว้สีได้ตลอดปี

ประวัติความเป็นมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงห่วงใยถึงฐานะความเป็นอยู่ของชาวนา ทรงตระหนักว่าชาวนาส่วนใหญ่มีหนี้สินติดตัวอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุที่ขายข้าวเปลือกได้ในราคาถูก แต่จำต้องซื้อข้าวสารและเครื่องอุปโภคในราคาแพง จึงมีพระราชดำริว่าสมควรที่จะแก้ไขโดยให้ชาวนารวมกันเข้าเป็นกลุ่ม ดำเนินงานในแบบสหกรณ์ ทำการสีข้าวเปลือกหรือมอบหมายหน้าที่ให้ตัวแทนของตนทำการสีข้าวซึ่งเป็นผลิตผลของตนเสียเอง แทนที่จะต้องนำข้าวเปลือกไปจ้างบุคคลอื่นสีหรือขายข้าวเปลือกไปในราคาถูกแล้ว ตนเองต้องซื้อข้าวสารมาบริโภค และหากจัดให้มีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้ดำเนินการกับผู้ผลิต
ชาวนาก็ควรจะได้รับผลกำไรมากขึ้น โรงสีข้าวตัวอย่างจึงได้เปิดกิจการและเริ่มสีข้าวตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2514 เป็นต้นมา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิด และในวันเดียวกันนั้นของปีต่อมา ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเจิมฉางข้าวเปลือกขนาดบรรจุ 500 เกวียน ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดสร้างขึ้นเป็นฉางไม้ โดยใช้แบบของกรมสหกรณ์พาณิชย์และธนกิจ
การดำเนินงาน
กิจการของโรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดาได้เจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับในแบบของการศึกษาค้นคว้า มากกว่าการดำเนินงานแบบธุรกิจ กล่าวคือทำการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของความชื้น อุณหภูมิ เปอร์เซ็นต์ของเมล็ดข้าวที่หักก่อนสี กรรมวิธีในการสีข้าวแบบต่าง ๆ ว่าจะมีผลต่อของคุณภาพของข้าวเปลือก และข้าวสารหรือไม่ มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อต้องเก็บข้าวเหล่านั้นไว้เป็นเวลานานๆ
เครื่องสีข้าว และการพัฒนากรรมวิธีการสีข้าว
โรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดาได้รับอนุเคราะห์จากกรมการข้าว กระทรวงเกษตรฯ ในการจัดส่งเจ้าหน้าที่มาควบคุมดำเนินการก่อสร้างโรงสีและดำเนินการสีข้าวมาตั้งแต่เริ่มแรก อีกทั้งยังมีผู้มีจิตศรัทธาน้อมเกล้า ฯ ถวายเครื่องสีข้าวแบบต่าง ๆ เช่น เครื่องสีข้าวแบบลูกโม่ของโรงงานศรีสวัสดิ์ และเครื่องซ้อมข้าวระบบไฟฟ้า และเครื่องสีข้าว “ ปิ่นแก้ว ” ของบริษัทอุตสาหกรรมการสีข้าว จำกัด เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นเครื่องสีข้าวที่นิยมใช้มาช้านาน แต่เพื่อพัฒนากรรมวิธีการสีข้าวให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดาจึงทำการค้นคว้าวิจัยมาโดยสม่ำเสมอ จนสามารถประดิษฐ์เครื่องสีข้าวระบบแรงเหวี่ยง ซึ่งอยู่ในขั้นทดลองปฏิบัติการสีข้าว เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะกับเครื่องสีข้าวแบบลูกโม่ และหากปรากฏเป็นผลดีแล้ว จะได้เผยแพร่ให้วงการธุรกิจการสีข้าว เพื่อช่วยลดต้นทุนการสีข้าวในประเทศลง
การซื้อข้าวเปลือก
ในช่วงกลางปี พ.ศ.2516 โรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดาได้รับความอนุเคราะห์ จากทางจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยผู้ว่าราชการได้จัดซื้อข้าวเปลือกจากจังหวัดฉะเชิงเทราให้ ต่อมาทางโรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดามีความประสงค์ที่จะซื้อข้าวเปลือกเองจากชาวนาโดยตรง จึงได้ดำเนินการจัดซื้อข้าวเปลือกจากจังหวัดต่างๆ เช่น กรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา อยุธยา สระบุรี นครปฐม และจากจังหวัดนนทบุรี เป็นต้น
การทดลองเก็บรักษาข้าวเปลือก
เนื่องจากข้าวเป็นผลิตผลที่อาจเกิดความสูญเสียได้ง่าย ทั้งจากน้ำฝนที่สาดหรือซึมเข้าไปในยุ้ง และจากนก หนู และตัวแมลงต่างๆ ดังนั้น การปรับปรุงฉางข้าวและวิธีการเก็บรักษาข้าวจึงมีความสำคัญไม่น้อย และสมควรได้รับการพัฒนาควบคู่ไปกับการเพิ่มผลผลิตด้วย
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำริให้ทำการทดลองเก็บรักษาข้าวเปลือกในยุ้งฉางแบบต่างๆ เพื่อศึกษาหาวิธีการที่ดีที่มีการสูญเสียน้อยที่สุด ปัจจุบันนี้โรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดามีฉางข้าวเปลือกที่ใช้อยู่หลายประเภท เช่น
1. ฉางซีเมนต์ บริษัทค้าวัสดุก่อสร้าง จำกัด สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายจำนวนสองฉางสามารถบรรจุข้าวเปลือกได้ประมาณฉางละ 6 เกวียน ซึ่งสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์ได้นำแบบแปลนเดียวกันนี้ไปก่อสร้างที่บางเขนและที่จังหวัดชัยนาท ผลการใช้ เมื่อเก็บรักษาข้าวเปลือกไว้เป็นเวลาสองปี ปรากฏว่าข้าวเปลือกไม่เป็นอันตรายหรือสูญเสียแต่อย่างใด ไม่มีน้ำอยู่ก้นฉาง และข้าวเปลือกที่เก็บรักษานั้นยังคงมีเปอร์เซ็นต์การงอกในอัตราสูง
2. ฉางเหล็ก หม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล ได้ออกแบบและก่อสร้างสองฉาง โดยมีปล่องระบายลม 6 ปล่อง สามารถบรรจุข้าวเปลือกได้ฉางละประมาณ 18 เกวียน ฉางเหล็กนี้มีข้อดี 3 ประการ คือ สามารถนำข้าวเปลือกออกมาได้ทางก้นฉาง ป้องกันนก หนู และแมลงได้ดี และมีอากาศถ่ายเทได้ตลอดเวลา
3. ฉางไม้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้า ประเสริฐศรี ชยางกูร ควบคุมจัดสร้างขึ้น สามารถบรรจุข้าวเปลือกได้ 500 เกวียน แบบเดิมเป็นของกรมพาณิชย์และธนกิจ ได้พระราชทานพระราชดำริให้แก้ไขเพิ่มเติมบางรายการ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการระบายอากาศ ฉางนี้สร้างเสร็จและเริ่มใส่ข้าวเปลือกเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2515 และอยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการรักษาความชื้น อุณหภูมิ เปอร์เซ็นต์การงอก และการป้องกันแมลงในยุ้งฉาง
4. ฯพณฯ เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ ได้รับทราบถึงพระราชดำริและการทดลองนี้ และได้กราบบังคมทูลว่า ยุ้งเหล็กจากประเทศนิวซีแลนด์มีระบบการระบายอากาศที่ดี มีถังทำด้วยเหล็ก คงจะทำให้อายุการใช้งานยืนยาวกว่ายุ้งฉางแบบอื่นๆ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อฉางดังกล่าวมาทดลอง เป็นยุ้งแบบ 39/9 อาร์ สามารถบรรจุข้าวเปลือกได้ 527 ตัน พร้อมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ ประกอบคือ กะพ้อตักข้าวและเครื่องชั่งอัตโนมัติ โดยจ่ายจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น จากผลการทดลองใช้ยุ้งเหล็กจากนิวซีแลนด์นี้ ปรากฏว่าสามารถเก็บรักษาข้าวเปลือกได้ดี ไม่ทำให้ข้าวเปลือกแตกหักหรือเสื่อมคุณภาพแม้แต่น้อย
การสาธิตการสีข้าวและการเก็บข้าว
โรงสีข้าวตัวอย่างสวนจิตรลดาได้เปิดโอกาสให้เกษตรกร พ่อค้า ประชาชน และข้าราชการที่สนใจเข้าชมกิจการและการดำเนินงานอยู่เสมอ สมดังพระราชประสงค์ที่จะทดลองประกอบการให้เห็นเป็นตัวอย่าง เพื่อที่เกษตรกรจะได้นำแบบอย่างไปดำเนินกิจการได้เอง โดยการรวมกลุ่มขึ้นเป็นสหกรณ์ ซึ่งเป็นทางที่จะแก้ปัญหาของชาวนา อันเป็นพระราชประสงค์สูงสุด
ผู้รับผิดชอบโครงการ : นายแก้วขวัญ วัชโรทัย กองคลัง สำนักพระราชวัง
8.โครงการพระดาบส และโครงการลูกพระดาบส
- 8.1 โครงการพระดาบส
โครงการพระดาบส เป็นโครงการการศึกษาอบรมที่สนองพระราชดำริเพื่อช่วยบุคคลที่ประสบปัญหา ไม่สามารถหาที่เรียนได้หรือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยเริ่มทดลองดำเนินงานตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ.2519

ณ บ้านเลขที่ 304-6 ถนนสามเสน ตรงข้ามหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพมหานคร การดำเนินงานจัดในรูปสาธารณกุศลอย่างแท้จริง รับผู้ที่มีความตั้งใจจริงที่จะขวนขวายหาความรู้ทางวิชาชีพใส่ตน แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือหาสถานที่ศึกษาไม่ได้ ผู้เข้ารับการอบรมเลือกหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่งได้ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศ วัย และคุณวุฒิ เพียงอ่านออกเขียนได้ และมีความตั้งใจที่จะหาความรู้ใส่ตนเท่านั้น การพิจารณาคัดเลือกจะเลือกจากผู้ที่มาจากครอบครัวที่ยากจน มีปัญหาชีวิตประจำวัน และทหาร ตำรวจ พลเรือน ผู้ผ่านศึกที่ทุพพลภาพ (แต่ต้องช่วยตัวเองได้พอสมควร)
การรับผู้เข้าอบรมรับได้เพียงปีละ 30 คน เพราะมีข้อจำกัดเรื่องสถานที่เรียนและเงินทุน เนื่องจากจัดการเรียนแบบให้ผู้เรียนอยู่ประจำ และจัดอาหารให้โดยผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ส่วนครูผู้สอนจะเป็นผู้ที่มีความรู้ในวิชาชีพนั้นๆ และจะต้องอาสาสมัครโดยเสด็จพระราชกุศล เป็นผู้มีความเสียสละ ให้ความรู้เป็นวิทยาทานโดยไม่รับผลตอบแทน
การดำเนินงานตามโครงการพระดาบส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชประสงค์ให้ดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอน โดยเริ่มจากงานเล็ก ๆ เมื่อปรากฏว่าได้ผลแล้ว จึงขยายออกไปทีละน้อยตามความสามารถ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทดลองการอบรมช่างไฟฟ้า วิทยุ ชั้นต้น และชั้นกลาง ตามลำดับ และเปิดอบรมวิชาช่างเครื่องยนต์เป็นการทดลองขึ้น ถ้าได้ผลแล้วจะขยายต่อไปอีก นอกจากนี้ยังได้เตรียมเปิดการอบรมวิชาช่างประปา และวิชาการแขนงอื่นๆ อีกในอนาคต

รูปปั้นพระดาบสพระราชทาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อการนี้โดยตลอดตั้งแต่เริ่มจัดตั้ง โครงการจนถึงปัจจุบัน และมีประชาชนร่วมบริจาคสิ่งของเครื่องมือ เครื่องใช้ และแรงงานโดยเสด็จพระราชกุศล ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการ ในปัจจุบันเฉลี่ยประมาณเดือนละ 18,000 บาท (สถิติ พ.ศ.2530)
- 8.2 โครงการ “ ลูกพระดาบส ”
หลังจากเกิดโครงการพระดาบสในปี พ.ศ.2519 จากทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ 5 ล้านบาทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานสำหรับใช้ในการจัดการศึกษานอกระบบ เพื่อพัฒนาบุคลากรโดยเฉพาะผู้ขาดโอกาส เพื่อให้พวกเขาสามารถพึ่งตนเองได้และไม่เป็นภาระต่อสังคม โดยผู้ที่เข้ามารับการศึกษาตามโครงการนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งปัจจุบันมีมูลนิธิพระดาบสเป็นผู้ดูแล
ในปี พ.ศ.2541 บริษัทเดลต้า อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้เสนอโครงการสถาบันฝึกอาชีพแรงงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการให้ช่วยประสานงานกับมูลนิธิพระดาบส โดยบริษัทเดลต้าฯ จะเป็นฝ่ายจัดสอนฝึกอาชีพ และทักษะการทำงานให้แก่บุคคลทั่วไปในลักษณะการศึกษานอกระบบและขออนุญาตใช้ที่ดินราชพัสดุ ซึ่งอยู่ในครอบครองของกรมการบินพาณิชย์ที่ตำบลบางปลา อำเภอเมือง จังหวัด สมุทรปราการ เนื้อที่ 288 ไร่
ซึ่งกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม ได้ร่วมสนองกระแสพระราชดำริโอนสิทธิ์การครอบครอง ให้แก่สำนักพระราชวังเพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างอาคารเรียน อาคารฝึกงาน อาคารที่ทำการ อาคารที่พักอาศัย ฯลฯ และกันที่ส่วนหนึ่งสำหรับทำการเกษตรตัวอย่าง และได้ผลผลิตไว้ใช้เลี้ยงพระดาบส ( ครู ) และลูกพระดาบส ( นักเรียน ) ด้วย ส่วนผลผลิตที่เหลือจะนำออกจำหน่ายในท้องถิ่น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานแนวทางการจัดหลักสูตร โปรดเกล้าฯ ให้จัดให้มีหัวข้อวิชาการเกษตรพื้นฐาน และภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นวิชาบังคับอีกหนึ่งวิชา นอกเหนือจากหัวข้อวิชาชีพและวิชาศีลธรรมจรรยา อีกทั้งทรงไม่ขัดข้องแนวความคิดที่จะเปิดโอกาส ให้รับอบรมบุคลากรจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วประเทศมาเข้าฝึกอบรมที่โรงเรียนลูกพระดาบส เพื่อยกระดับแรงงานให้สูงขึ้น
วิธีการให้การศึกษานอกระบบที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำมาประยุกต์ใช้ตามโครงการพระดาบสและโครงการลูกพระดาบส แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเห็นความสำคัญในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ว่าจะต้องพัฒนาทั้งทางด้านความรู้ พร้อมๆกับการพัฒนาจิตใจควบคู่กันไปจะได้เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า สามารถทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมและประเทศชาติได้โดยสมบูรณ์ ( หนังสืออัครมหาราชา ปิ่นฟ้าคมนาคม. 2539 : 124-127)
โครงการและงานต่างๆ ที่นำมาเป็นตัวอย่างนี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงห่วงใยในสุขและทุกข์ ของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ด้อยฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม นอกจากพระราชปณิธานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาราษฏร์แล้ว ในการประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพยายามสอนพสกนิกรให้เรียนรู้ เพื่อเพิ่มพูนทักษะในการประกอบอาชีพอย่างมีระเบียบแบบแผน เป็นขั้นเป็นตอนตามเหตุผล
โครงการตามพระราชประสงค์ นับว่าเป็น “ กระบวนการสอน ” ที่มีคุณค่าและได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดีสมตามความมุ่งหมายที่ทรงสอน โดยทรงทำให้ดูเป็นแบบอย่าง (สาธิต) ผลแห่งความสำเร็จนี้สืบเนื่องมาจากการประสมประสานที่ได้สัดส่วน ระหว่างวิชาความรู้ที่ได้รับการสืบทอดสั่งสมกันมาจากบรรพบุรุษในแต่ละท้องถิ่นหรือแต่ละอาชีพ
ประกอบกับผลแห่งการเรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติจากโครงการ ได้มีส่วนเสริมสร้างรายได้และฐานะแก่ผู้เรียน สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นแรงกระตุ้นให้ชาวบ้านเกิดความสนใจใฝ่รู้และกระตือรื้อร้นแสวงหากิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตัวของผู้ต้องการเรียนเอง ทำให้รูปแบบของกิจการของโครงการตามพระราชประสงค์แพร่กระจายไปในหมู่ราษฎรท้องถิ่นต่าง ๆ
การสอนด้วยการแนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์และนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้โดยตรงดังกล่าว นับว่าเป็นหลักการสำคัญสำหรับการศึกษานอกโรงเรียนเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้ที่ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนจากแบบอย่างที่ได้ทรงแสดงไว้ สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว สร้างฐานะและรายได้เป็นปึกแผ่นมั่นคงสำหรับตนเอง จนเป็นที่ยอมรับและนำไปปฏิบัติต่อเนื่องกันไปอย่างกว้างขวาง ดังนั้นพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงปรีชาญาณ ในด้านการสร้างสรรค์แนวทางการศึกษานอกโรงเรียนอย่างเป็นระบบ จนสามารถแนะนำชักชวนให้ประชาชนในชนบทซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ หันมาสนใจการทำมาหากิน ประกอบอาชีพตามหลักวิชาการ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ดังกล่าว จึงเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งที่พสกนิกรทั้งหลายพร้อมใจกันถวายราชสดุดีพระองค์ในฐานะ “ พระบิดาแห่งการศึกษานอกโรงเรียน ”