พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
บทที่ 17 พระอัจฉริยภาพด้านเทคโนโลยี และงานช่างด้านอุตสาหกรรม ด้านคมนาคมขนส่ง และด้านโทรคมนาคม
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระปรีชาสามารถในศาสตร์ทุกแขนง ทรงโปรดการทดลอง ค้นคว้า และศึกษาในศาสตร์แขนงต่างๆ ด้วยพระองค์เอง ซึ่งได้ทรงนำความรู้ทั้งทางวิชาการ และจากพระประสบการณ์ที่ทรงปฏิบัติจริงอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกรทุกหมู่เหล่าให้ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ดังจะเห็นได้จากงานพัฒนาตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่าสองพันห้าร้อยโครงการ ซึ่งจะต้องใช้เทคโนโลยีหลายๆ ด้านมาผสมผสานรวมทั้งวิศวกรรมสาขาต่างๆ อาทิ วิศวกรรมสำรวจ วิศวกรรมทางเรือ วิศวกรรมไฟฟ้าและสื่อสาร วิศวกรรมการเกษตร วิศวกรรมชลประทาน วิศวกรรมเครื่องกล และวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม เป็นต้น พระอัจฉริยภาพ พระปรีชาสามารถ ตลอดจนพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของพระองค์ท่านเป็นที่ประจักษ์แก่อาณาประชาราษฎร์ และนานาประเทศ และเป็นคุณูปการอเนกอนันต์
“ ณภัทร์ ” ได้เขียนไว้ในเอกสารช่าง กอ.รมน. ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 สิงหาคม (2544 : 3-4) ไว้ดังนี้
“ แนวคิด และทฤษฎีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีลักษณะพิเศษ กล่าวคือ เป็นแนวคิดที่เกิดจากพระอัจฉริยภาพ และพระปรีชาสามารถในการที่ได้ทรงคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุง และแก้ไขให้การพัฒนาโครงการดำเนินไปได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน (Simplicity) เป็นหลักสำคัญในทุกเรื่อง
นอกเหนือจากการ ทำให้ง่าย อันเป็นหลักและหัวใจสำคัญของการดำเนินงานแล้วการนำ ความรู้จริง ในความเป็นไปของธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มาใช้ในการแก้ปัญหาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไม่ปกติให้เข้าสู่ระบบปกติ นับว่าเป็นหลักการและแนวปฏิบัติที่สำคัญอย่างยิ่งอีกส่วนหนึ่งในการทรงงานของพระองค์ เช่นการนำน้ำดีขับไล่น้ำเสียให้กลับเป็นน้ำดี ตามจังหวะการขึ้นลงของน้ำตามธรรมชาติ
ลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งคือ มุ่งเน้นให้ผลของการดำเนินงานนั้นตกถึงประชาชนโดยตรงเป็นเบื้องต้น ไม่ยึดติดตำรา สร้างความรู้รัก สามัคคี และการร่วมมือร่วมแรง ร่วมใจกันทำ โดยปรับลดอัตวิสัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มักจะต่างคนต่างทำ และยึดติดความเป็นเจ้าของเป็นสำคัญ ให้เป็นการร่วมมือร่วมใจกันโดยไม่มีเจ้าของ และสามารถอำนวยประโยชน์สูงสุดให้แก่ประชาชน
ดังเช่น กรณีของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่เป็นรูปแบบใหม่ของการบริหารที่เป็นการ “ บริการรวมจุดเดียว ” และ “ การบริการเบ็ดเสร็จ ” (One stop service for the farmers) ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในระบบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทยอย่างแท้จริง
แนวคิดและทฤษฎีในเรื่องต่างๆ ที่พระราชทานให้เป็นแนวทางปฏิบัตินั้นจะเป็นประโยคง่ายๆ แต่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วเป็นอย่างดี มีความหมายลึกซึ้ง และบางครั้งบ่งบอกถึงวิธีการดำเนินการไว้ด้วยอย่างเบ็ดเสร็จในตัวเองอาทิ น้ำดีไล่น้ำเสีย แกล้งดิน ทฤษฎีใหม่ ฯลฯ หากจะแยกประเภท แนวคิด และทฤษฎีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มงาน ได้แก่ กลุ่มงานที่เกี่ยวกับน้ำ กลุ่มงานที่เกี่ยวกับดิน กลุ่มงานที่เกี่ยวกับการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกลุ่มงานพัฒนาสังคมและส่งเสริมคุณภาพชีวิต
1. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำ
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าพระองค์คือปราชญ์ในเรื่องน้ำของแผ่นดิน ตัวอย่างของแนวคิดและทฤษฎีเรื่องน้ำมีหลากหลายอาทิแนวคิดเรื่อง “ น้ำดีไล่น้ำเสีย ” เพื่อแก้ไขมลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยาและคูคลองต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร
แนวคิด “ ไตธรรมชาติ ” ที่ดำเนินการแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียในบึงมักกะสัน นอกจากนี้พระองค์ยังทรงวางแนวคิดแก้ปัญหาวิกฤตการณ์น้ำท่วม ปัญหาน้ำแล้ง อันเป็นที่มาของเขื่อนกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตร

2. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องดิน นั้น ส่วนใหญ่เป็นการอนุรักษ์ และปรับปรุงดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งหมายรวมถึงการใช้หญ้าแฝกในการอนุรักษ์ และป้องกันการพังทลายของดิน จนประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการใช้เทคนิค และวิชาการหญ้าแฝกที่ประสบผลสำเร็จ และก้าวหน้าที่สุดในโลกปัจจุบัน
3. การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เป็นอีกกลุ่มงานหนึ่งที่ทรงคิดค้น โดยคำนึงถึงความสอดคล้อง เกื้อกูลกันระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ตัวอย่างแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้แก่ “ ป่าสามอย่าง ประโยชน์สี่อย่าง ” กล่าวคือทรงให้แนวคิดในการปลูกป่า 3 อย่าง คือ ป่าสำหรับไม้ใช้สอย ป่าสำหรับเป็นไม้ผล และป่าสำหรับเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งจะอำนวยประโยชน์โดยตรงทั้ง 3 อย่างแล้วยังเป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์ดิน และน้ำ คงความชุ่มชื้นให้กับป่าอีกด้วย อีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่สนใจกันโดยทั่วไปขณะนี้ก็คือ ทฤษฎีการแก้ปัญหาความแห้ง – แล้ง และขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรตามแนว “ ทฤษฎีใหม่ ” อันเป็นที่มาของเศรษฐกิจแบบพอเพียง กล่าวคือ เป็นวิธีการที่จะทำให้ประชาชนมีกินตามอัตภาพ คือ อาจไม่รวยมากแต่ก็พอมีพอกินไม่อดอยาก


ทฤษฎีใหม่ มีหลักสำคัญง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สรุปได้ว่า พื้นที่ถือครองโดยเฉลี่ยของเกษตรกรไทย จะมีเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ การแบ่งพื้นที่ตามวิธีการทฤษฎีใหม่ จะแบ่งเป็นนาข้าว 5 ไร่ พืชไร่พืชสวน 5 ไร่ ที่อยู่อาศัยและสระน้ำลึกประมาณ 4 เมตร 3 ไร่ อย่างไรก็ตามหลักสำคัญของทฤษฎีใหม่คือ ให้เกษตรกรมีความพอเพียงโดยเลี้ยงตัวเองได้ (Self-sufficiency) ในระดับที่ประหยัดก่อน รวมทั้งมีความสามัคคีในท้องถิ่นอีกด้วย
4. สำหรับ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาสังคมและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน นั้น

ทรงมีแนวคิดโดยยึดหลักให้ประชาชนมีส่วนได้เสียในชุมชน มีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วยตัวเอง (People participation) ตั้งแต่เริ่มโครงการรวมถึงการเข้ามามีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในภาครัฐเพื่อร่วมกันทำงาน อันเป็นที่มาของโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งมีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย นับเป็นรูปแบบใหม่ของการบริหารจัดการ ในระบบราชการไทยที่หน่วยราชการ และทุกหน่วยร่วมกันทำงาน ณ ที่แห่งนี้ เพื่อมิให้ผู้ที่ต้องการความรู้ และความช่วยเหลือต้องเสียเวลาในการไปรับบริการในแต่ละองค์กร ที่แยกย้ายกันตั้งอยู่ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่า แนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นั้น กว้างขวางหลากหลาย ครอบคลุมเกี่ยวพันกับกระบวนการพัฒนาหลายสาขา ก่อให้เกิดคุณูปการอันยิ่งใหญ่แก่พสกนิกรเป็นอเนกอนันต์ ด้วยพระอัจฉริยภาพ และพระปรีชาสามารถที่ล้ำลึก ต้องทรงงานหนักตรากตรำมาโดยตลอด แนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาดังกล่าวข้างต้น จึงสมควรบันทึกไว้เพื่อเผยแผ่พระเกียรติคุณ และพระอัจฉริยภาพแห่งพระองค์ท่าน เหนือสิ่งอื่นใดเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เหล่าพสกนิกรตระหนัก และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลหาที่สุดมิได้ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่รัก และเคารพยิ่งของปวงชนชาวไทย ”
วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ได้จัดพิมพ์หนังสือ “ ในหลวงนายช่างใหญ่ของแผ่นดิน ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าทรงมีพระอัจฉริยภาพเชิงช่าง (The self–taught engineer) นับเป็นพระสมัญญานามที่น่าชื่นชมยิ่ง พระปรีชาสามารถใน การดัดแปลงแก้ไขหรือประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการเสด็จฯ ไปทรงช่วยเหลือราษฎรที่ถูกน้ำท่วม ปีพ.ศ.2526 ว่า “ นั่งรถไปวันแรกเครื่องดับเลย น้ำมันเข้าท่อไอเสีย เลยต้องทำใหม่ ต่อท่อไอเสียยาวทีเดียว ให้สูงพ้นน้ำ คราวนี้บุกไปได้ ” พระปรีชาสามารถในการดัดแปลงแก้ไขหรือประดิษฐ์สิ่งต่างๆ นั้นมีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ดังที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือเจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์ เกี่ยวกับพระปรีชาสามารถพิเศษของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
“… ทางด้านการช่างต่างๆ จะเป็นด้านช่างกล ช่างไฟฟ้า หรือช่างวิทยุก็มีความเข้าใจตั้งแต่เล็กๆ เรื่องทรงแก้จักรเย็บผ้าให้แหนนนั้นมีผู้เล่ามาแล้ว แต่ขอเล่าอีกครั้งหนึ่งอย่างที่แม่เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง …” “… ตามปกติแม่ไม่ยอมให้ใครให้ของลูกๆ นอกจากจะเป็นวันเกิด หรือปีใหม่ วันหนึ่งแม่เห็นพระอนุชาเล่นรถคันใหม่อยู่ เมื่อทราบว่าแหนนเป็นผู้ให้ ก็ไปถามว่าทำไมจึงทำเช่นนี้ แหนนก็ตอบว่ามาแก้จักรเย็บผ้าให้ เราต้องให้รางวัล … ”
ม.ล.ทวีสันต์ ลดาวัลย์ (2530 : 26-27) ได้เล่าไว้ดังนี้
“ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรด วิชาช่าง งานด้านวิศวกรรมมากครับ อยากจะกราบเรียนว่าที่ทางมหาวิทยาลัยได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทาง

ด้านวิศวกรรมนั้นนะ รู้สึกว่าเป็นที่ชื่นชมแก่พระองค์เป็นอย่างยิ่ง เพราะทรงโปรดวิชาช่างมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เคยรับสั่งเล่าให้ผมฟังว่า สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสอนพระองค์ท่านให้ทรงประหยัดมาตั้งแต่เด็กๆ ของเล่นแต่ละชิ้นที่ทรงมีนั้นนะ สมเด็จพระบรมราชชนนีไม่ได้พระราชทานเงินให้ซื้อ หมายความว่าจะต้องทรงเก็บหอมรอมริบ หรือหาพระราชทรัพย์มาซื้อของเล่นด้วยพระองค์เอง
และการที่จะมีของเล่นด้วยพระองค์เอง และการที่จะมีของเล่นบางครั้งพระองค์จะต้องทำเอง อย่างเช่น ทรงประดิษฐ์รถไฟฟ้าเล่น ทรงทำมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับให้รถไฟแล่น ทรงประดิษฐ์เองโดยเอาลวดทองแดงมาขดพันเป็นแกนกลางเครื่องมอเตอร์ ทรงต่อสายไฟสายเดียว และทรงเอาพระทัยใส่หรือทรงงานด้านวิศวะมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงมีทักษะในเรื่องงานด้านนี้มากเลยครับ พระปรีชาสามารถนี้บางท่านคงไม่ทราบ ก็เลยถือโอกาสกราบเรียนให้ทราบด้วยว่าทรงมี hobby อะไรก็ทรงศึกษาอย่างละเอียดลึกซึ้ง อย่างเช่น ทางราชการทหารตำรวจได้กราบบังคมทูลถึงปัญหาการใช้ปืนเอ็ม 16 ว่ามีปัญหาสู้ปืนอาร์ก้าของฝ่ายผู้ก่อการร้ายไม่ได้
สำหรับปืนอาร์ก้าของฝ่ายผู้ก่อการร้ายขนาดเอาไปทิ้งในน้ำ หรือจมโคลนแล้วก็ยังใช้ยิงได้ แต่เอ็ม 16 นั้นใช้ไม่ได้ถ้าหากว่าไม่รักษาดูแลให้ดีๆ ทำความสะอาดให้ดี ก็ทรงศึกษาอย่างจริงจังในอาวุธเหล่านี้ครับ ปรากฏว่า ได้ทรงพบว่าสปริงบางส่วนของอุปกรณ์ในเอ็ม 16 นี้เป็นสปริงที่อ่อน ก็รับสั่งกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายอเมริกันและเจ้าหน้าที่ผู้ผลิตปืนเอ็ม 16 นี้ให้ทราบ แล้วเขาก็แก้ไข ก็ปรากฏว่าภายหลังใช้การได้ผลดีครับ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผม อยากจะกราบเรียนให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถและอัจฉริยะของพระองค์ท่าน นอกจากนั้น ผมเข้าใจว่า บรรดาท่านอาจารย์คงได้ทราบแล้ว ได้พระราชทานพระราชดำริคิดค้นเกี่ยวกับเรื่องการประดิษฐ์เสาอากาศ ทางวิทยุ จนสามารถจะมีประสิทธิภาพดีขึ้น ”
พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ (2544 : 3-4) ได้เล่าไว้ดังนี้
“ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสนพระทัย หรือทรงมีคุณลักษณะที่ประกอบด้วยองค์ธรรมคือ อิทธิบาท 4 ในวิชาช่างสาขาต่างๆ มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ได้ทรงพระกรุณารับสั่งให้ผมฟังหลายเรื่อง และผมจะหยิบยกมาเพียงบางเรื่องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิชาช่างไฟฟ้า และวิทยุ ซึ่งผมได้มีโอกาสได้ปฏิบัติหน้าที่ถวายงานสนองพระเดชพระคุณโดยตรง ดังนี้
เรื่องที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับรถไฟฟ้า ได้รับสั่งเล่าว่า ได้ทรงต่อสายไฟฟ้าจากห้องบนพระตำหนักโยงลงมาข้างล่าง แล้วนำมาต่อเข้ากับรถไฟของเล่นที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า เป็นไฟฟ้าสายเดียวต่อเข้ากับขั้วหนึ่งของมอเตอร์ ส่วนรางรถไฟต่อเข้ากับสายดิน มีลักษณะเป็นระบบจ่ายกำลังไฟฟ้าสายเดียวกระแสตรง โดยใช้พื้นที่ดินเป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้าไหลกลับไปครบวงจร กระแสไฟจึงไหลผ่านมอเตอร์มาลงดินที่ตัวรางมอเตอร์จึงหมุน และรถไฟจะวิ่งได้ ได้รับสั่งเพิ่มเติมว่า เพื่อป้องกันมิให้พระพี่เลี้ยงถูกไฟดูด ตรงปลั๊กขั้วต่อสายไฟจึงได้ทรงทำเป็นเครื่องหมายรูปหัวกระโหลก กระดูกไขว้ กับทรงเขียนภาษาเยอรมันกำกับไว้ว่า Achtung ซึ่งแปลว่า “ ระวังอันตราย ”
เรื่องที่ 2 รับสั่งว่า ขณะที่เสด็จฯ ไปเล่นน้ำที่หาดทราย ทรงโปรดที่จะก่อกำแพงทรายเพื่อกั้นน้ำ และทำทางระบายน้ำ อิทธิบาทสี่นี้ได้สร้างความเป็นพหูสูตในด้านการชลประทาน
เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิทยุ ด้วยความสนพระทัย ทรงรวบรวมพระราชทรัพย์ ส่วนพระองค์จำนวนหนึ่งไปซื้ออุปกรณ์วิทยุต่างๆ ซึ่งเขาเอามาใส่กระจาดขายเลหลังไว้หน้าร้านในเมืองโลซานน์ แล้วทรงนำมาประกอบ เป็นเครื่องรับวิทยุแบบใช้แร่ ซึ่งเป็นเครื่องรับวิทยุรุ่นแรกๆ ของโลก มีส่วนประกอบสำคัญ คือ แร่หนวดแมว (Cat whisker) และขดลวดที่ม้วนอยู่ในกรอบรูปหกเหลี่ยม เมื่อทรงประกอบเสร็จจึงต่อเข้ากับสายลวดไฟฟ้าที่ได้ขึงไว้ใช้เป็นสายอากาศ แล้วทรงปรับที่ตัวแร่ จนสามารถรับฟังสถานีส่งวิทยุกระจายเสียงบางแห่งในทวีปยุโรปได้ ทรงพอพระทัยและภูมิพระทัยมาก
เรื่องที่ 4 เมื่อกิจการวิทยุได้วิวัฒนาการจากเครื่องที่ใช้แร่มาเป็นเครื่องรับวิทยุที่ใช้หลอด ได้ทรงทดลองต่อสายจากลำโพงของเครื่องวิทยุจากห้องบรรทมของพระองค์ท่านไปต่อเข้ากับลำโพง ในห้องบรรทมของสมเด็จพระเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 เป็นการให้บริการเสียงตามสาย ซึ่งทรงพอพระทัย และภูมิพระทัยเช่นกัน ”
ในที่นี้จะเฉลิมพระเกียรติพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้แก่ 4 หัวข้อใหญ่ ดังต่อไปนี้
1. พระอัจฉริยภาพด้านเทคโนโลยีและงานช่าง
1.1 งานประดิษฐ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้านเครื่องจักรกลการเกษตร นายบรรจง วรรธนะพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านวิจัยและพัฒนาเครื่องจักรกล มูลนิธิชัยพัฒนา (2544 : 56) กล่าวถึงลักษณะการประดิษฐ์วิจัยพัฒนาเครื่องจักรกลเพื่อใช้ในการเกษตรรูปแบบต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ดังนี้
เรื่องการประดิษฐ์เครื่องจักรกลเพื่อใช้ในการเกษตรรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องจักรกลที่ทรงเลือกใช้เทคโนโลยีแบบง่ายๆ ใช้ภูมิปัญญาของเราเอง แบบไทยทำ ไทยใช้ ลดการพึ่งพาเศรษฐกิจจากภายนอกคือ เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพซึ่งเมื่อนำไปใช้ในภูมิภาคใดย่อมจะเกิดผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อมกับพสกนิกรของพระองค์ในภูมิภาคนั้นๆ อีกทั้งวัสดุต่างๆ ที่ใช้ในการประดิษฐ์ก็ใช้วัสดุภายในประเทศ และหาซื้อได้ในภูมิภาค และสิ่งประดิษฐ์ที่พัฒนาขึ้นมาจะเน้นความง่ายต่อการใช้งาน ง่ายต่อการซ่อมบำรุง และราคาจะต้องถูกอีกด้วย
หลายครั้งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทรงพระเนตรโครงการต่างๆ จะพระราชทานแนวทางพระราชดำริให้แก่หน่วยงานราชการต่างๆ ใช้เทคโนโลยีเพื่อการวิจัยและพัฒนา และประดิษฐ์เครื่องจักรกลต่างๆ เพื่อนำไปออกแบบและสร้างขึ้นใช้งานอันจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติในที่สุด
อันที่จริงแล้ว เครื่องจักรกลต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นสนองพระราชดำริ มีหลายหน่วยงานที่รับสนองพระราชดำริ จึงขอสรุปแยกพระราชดำริเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อการวิจัยพัฒนา และประดิษฐ์เครื่องจักรกลรูปแบบต่างๆ ออกเป็น 2 ช่วงคือ
- 1.1.1 ช่วงที่หนึ่ง (พ.ศ.2520 เป็นต้นมา)
ในช่วงนี้เกิดวิกฤตขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง อีกทั้งเกิดน้ำท่วมใหญ่ในเขตกรุงเทพ มหานครและปริมณฑล ได้พระราชทานพระราชดำริให้หน่วยงานต่างๆ ทำการคิดค้นวิจัย และประดิษฐ์เครื่องจักรกลใช้พลังงานทดแทนขึ้นได้แก่
1.1.1.1 เครื่องจักรกลใช้กำลังคน ได้แก่ เครื่องสีข้าวใช้แรงคนและเครื่องนวดข้าวใช้แรงคน
ก. เครื่องสีข้าวใช้กำลังคน ประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรชาวไทยภูเขาที่ดอยสามหมื่น จังหวัดเชียงใหม่ ทอดพระเนตรเครื่องสีข้าวใช้กำลังคนแบบโยกที่รัฐบาลญี่ปุ่นมอบให้โครงการหลวง ทรงเห็นว่าเครื่องสีข้าวดังกล่าวใช้มือโยกให้เครื่องหมุนกระเทาะเมล็ดข้าว ทำให้การหมุนของเครื่องจะได้ความเร็วรอบไม่คงที่ ทำให้ข้าวเปลือกกระเทาะไม่หมด จากนั้นจะต้องนำกลับไปสีข้าวใหม่ ก่อให้เกิดมีขั้นตอนการสีข้าวมาก จึงพระราชทานพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการให้ดัดแปลงเครื่องสีข้าวดังกล่าว เป็นเครื่องที่ใช้กำลังเท้าคนถีบแบบถีบรถจักรยาน ความเร็วรอบจะคงที่กว่า พร้อมกันก็ให้ทำเครื่องแยกแกลบออกจากเมล็ดข้าวเปลือก จึงได้ข้าวสารไปหุงต้ม เพราะชาวไทยภูเขาถนัดในการใช้เท้ามากกว่าใช้มือ จึงได้มีการประดิษฐ์เครื่องสีข้าวใช้แรงคน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อให้ชาวไทยภูเขาได้มีเครื่องสีข้าวที่มีประสิทธิภาพดี
เครื่องสีข้าวดังกล่าวข้างต้นได้ประดิษฐ์ขึ้น และเริ่มนำออกไปใช้งานเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2520 และเสด็จทอดพระเนตร เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2520 ที่ศาลาประชาคม ริปะสะโง จังหวัดปัตตานี เครื่องสีข้าวใช้กำลังคนมีขนาดสีข้าวได้ประมาณ 200 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ชนิดแยกแกลบ แบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย์หมุนด้วยความเร็ว 2,800 รอบต่อนาที ใช้คนถีบ 2 คน
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทาน ประดิษฐ์เครื่องสีข้าวใช้แรงคนขึ้นใหม่ โดยพิจารณาดัดแปลงจากเครื่องสีข้าวของประเทศญี่ปุ่น ด้วยการอาศัยหลักการง่ายๆ คือการอาศัยแรงเหวี่ยงที่เกิดจากความเร็วของใบพัดดูดข้าวที่สูงถึงประมาณ 2,800 รอบต่อนาที แล้วสลัดข้าวเปลือกออกจากใบพัด จากแรงเหวี่ยงอันสูงนี้ สามารถทำให้เมล็ดข้าวเปลือกถูกเหวี่ยง กระแทกกับแผ่นยางกระเทาะออกมาเป็นแกลบ และข้าวสารวิตามิน จากนั้นจำนวนข้าวสารและแกลบจะถูกแยกออกจากกัน โดยพัดลมดูดแกลบ จึงทำให้ได้ข้าวสารที่สามารถนำไปหุงต้มเพื่อบริโภคได้ ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณข้าวเปลือกหรือกากข้าวปะปนอยู่บ้างก็สามารถฝัดกากข้าวดังกล่าวออกได้ โดยไม่เสียเวลามากมายนัก กากข้าวที่ฝัดออกมาเป็นส่วนน้อยก็จะนำกลับเข้าไปสีได้อีก เป็นการลดแรงงานและเวลาจากวิธีการตำหรือโม่ได้มาก นอกจากนั้น ยังได้ผลข้าวที่สมบูรณ์กว่ากล่าวคือจะมีปริมาณข้าวที่หักน้อยกว่าข้าวที่เป็นตัว
อนึ่งราษฎรตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวไทยภูเขา ซึ่งนิยมบริโภคข้าววิตามินหรือเรียกง่ายๆ ว่าข้าวที่กระเทาะเฉพาะเปลือก ไม่มีการขัดให้ขาวดังเช่นชาวชนบทหรือชาวเมืองที่อยู่ในท้องถิ่นที่เจริญแล้วใช้บริโภคกัน ความนิยมในการบริโภคข้าววิตามินเช่นนี้ เพราะชาวไทยภูเขาเชื่อว่า เมื่อบริโภคแล้วจะทำให้ไม่เกิดเป็นโรคเหน็บชาและมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์
ดังนั้นเครื่องสีข้าวใช้กำลังคนแบบนี้จึงเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับราษฎรหรือชาวไทยภูเขาที่มีกำลังกายแข็งแรง และออกกำลังเท้าได้ดี กรมชลประทานจึงได้ออกแบบและประดิษฐ์เครื่องสีข้าวใช้กำลังคนชนิดใช้เท้าถีบแบบขี่จักรยานขึ้น สามารถสีข้าวได้ 200 กิโลกรัม ข้าวเปลือกต่อชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของผู้สีและความชำนาญในการสี

เครื่องนวดข้าวและเครื่องสีข้าวใช้กำลังคน
เครื่องสีข้าวดังกล่าวนี้ สามารถที่จะดัดแปลงใช้เครื่องยนต์หรือใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 1 แรงม้า แทนการใช้กำลังคนก็ได้เพื่อใช้สีข้าววิตามิน เพราะเป็นเครื่องสีข้าวประเภทกระเทาะข้าวเปลือกและแยกแกลบ
จาก “ ประวัติความเป็นมา และ พัฒนาการเครื่องจักรกล พระดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ” (2542 : 10-13)
ข . เครื่องนวดข้าวใช้กำลังคน ประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ เยี่ยมชาวไทยภูเขา บ้านเวียง – แก อ.เชียงกลาง จ.น่าน ทรงเห็นว่าเครื่องนวดข้าวที่ชาวไทยภูเขาทำขึ้นเองใช้เท้าเหยียบให้หมุนเพื่อนวดข้าว ซึ่งไม่มีแยกเศษฟางเศษข้าวลีบออกจากข้าวเปลือก ก่อให้เกิดมีขั้นตอนในการนำเอาข้าวเปลือกไปฝัดแยกข้าวลีบและเศษฟางออก จึงพระราชทานพระราชดำริให้แก่เจ้าหน้าที่ให้ดัดแปลงเครื่องนวดข้าวใช้กำลังคนดังกล่าว เป็นเครื่องที่ใช้กำลังเท้าคนถีบแบบถีบจักรยาน ทำให้คนหนึ่งถีบคนหนึ่งถือรวงข้าว นวดข้าวแยกเศษฟาง แยกข้าวลีบออกจึงได้ข้าวเปลือกนำเอาไปสีข้าว เป็นการลดขั้นตอนการนวดข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้มีการประดิษฐ์เครื่องนวดข้าวตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เครื่องนวดข้าวและเครื่องสีข้าว ทั้ง 2 รูปแบบ จะใช้งานในหมู่บ้านเดียวกันคือเป็นเครื่องส่วนกลาง ใครจะหุงข้าวก็ต้องไปนวดข้าว นวดแล้วก็ต้องไปสีข้าว จึงจะได้ข้าวสารไปหุงข้าวเพื่อรับประทาน คุณภาพข้าวดังกล่าวเป็นข้าวอนามัยผู้ใช้ก็ได้ออกกำลังด้วย
ค . โรงสีข้าวพระราชทาน หนังสือวารสาร ‘ เทคโนโลยีชาวบ้าน ‘ ปีที่ 14 ฉบับที่ 276 วันที่ 1 ธันวาคม (2544 : 69) ได้เขียนอธิบายเกี่ยวกับโรงสีข้าวพระราชทานว่า ลักษณะเด่นของโรงสีข้าวพระราชทาน (Outstanding features) มีดังนี้

1. เป็นโรงสีข้าวระบบทันสมัยผลิต ออกแบบ ติดตั้งโดยคนไทยทั้งหมด ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นต้นกำลัง ควบคุมการทำงานแยกเป็นอิสระ และสามารถทำงานต่อเนื่องได้ 24 ชั่วโมง โดยไม่มีปัญหา
2. สามารถสีข้าวทุกชนิด เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ข้าวขาวธรรมดา ให้ได้คุณภาพ 100 เปอร์เซ็นต์ ชั้นหนึ่งมาตรฐานส่งออกมีกำลังผลิตไม่น้อยกว่า 60 เกวียนข้าวเปลือก/วัน โดยมีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเกวียนละประมาณ 50-60 บาท เท่านั้น
3. ให้ผลผลิตที่เป็นข้าวคุณภาพดี เปอร์เซ็นต์การแตกหักและการสูญเสียต่ำ เพราะใช้ระบบการขัดสีแบบพิเศษ 3 ครั้ง และมีระบบขัดมันข้าวสาร พร้อมระบบปรับสภาพข้าวในระหว่างการสี เพื่อลดอุณหภูมิของเมล็ดข้าวให้เย็นลง รวมทั้งมีระบบการคัดแยกเฉพาะข้าวกล้องออกจำหน่ายได้
4. คุณภาพของข้าวที่ได้จะสวยงามเมล็ดเต็ม มีจมูก ข้าวขาวเป็นเงาสามารถส่งออกต่างประเทศได้ดี
5. ผลผลิตของข้าวที่ได้มี 4 ขนาด คือ ข้าวต้น ข้าวหักใหญ่ ข้าวหัก และปลายข้าว โดยเฉพาะข้าวต้นจะได้มากกว่าโรงสีระบบเก่า 4%-5% (สีจากข้าวเปลือกกองเดียวกัน)
6. ผลพลอยได้ของการสี มี 4 ชนิด คือ ข้าวลีบ แกลบ รำหยาบ และรำละเอียด ซึ่งสามารถขายได้ทั้งหมด
7. โรงสีทั้งโรง ใช้คนควบคุมเครื่องจักรเพียงคนเดียวเท่านั้น การซ่อมบำรุงเพียงแต่เปลี่ยนลูกยาง และแผ่นตะแกรงเท่านั้น
8. มีระบบการจัดเก็บ แกลบ รำ และฝุ่นละอองอย่างถูกต้อง โดยไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม (ตรงตามข้อกำหนดของ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม)
9. มีตู้ไฟฟ้าควบคุมพร้อมไฟฟ้าแสดงการทำงานของเครื่องจักรตามแผนภูมิและมีสัญญาณเตือน กรณีที่มีเหตุขัดข้องหรือฉุกเฉิน
10. เครื่องจักรทุกเครื่องผลิตในประเทศไทย มีคุณภาพมาตรฐานสากลเเละได้รับการจดทะเบียนผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
11. เครื่องจักรสีข้าวนี้ได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดจากรัฐบาลไทย โดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี มอบให้ บริษัท ไรซ์ฯ ในฐานะผู้ส่งออกเครื่องสีข้าวดีเด่นประจำปี 2541 (Prime Minister’s Export Award 1998)
โครงการโรงสีข้าวพระราชทานนี้เป็นอีกโครงการหนึ่ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริให้สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการผลิตข้าวและการค้าที่จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ จากพ่อค้าคนกลาง และเป็นการได้ผลิตผล (ข้าว) ได้คุ้มต้นทุนและไม่สูญเสียคุณภาพของข้าวเมื่อสีข้าวเสร็จ อีกทั้งได้รับผลพลอยได้ไม่ต้องทิ้งเปล่าคือ ข้าวลีบ แกลบ รำหยาบ และรำละเอียดก็สามารถขายให้กับโรงงานอื่นที่จะนำใช้ทำประโยชน์ได้อีก และชาวนาจะสามารถสะสมเงินได้มากขึ้น ความลำบากยากจนจะลดลง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งต่อกลุ่มเกษตรกรชาวนาที่จะได้พึ่งโรงสี ในแบบที่ทรงมีพระราชดำริให้ทดลองคิดทำขึ้น
1.1.1.2 เครื่องจักรกลใช้แรงสัตว์ ได้แก่ รถม้าพระที่นั่งประเภท 5 ที่นั่ง และประเภท 2 ที่นั่ง รถม้าพระที่นั่งประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2524 ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการดำเนินการสร้างรถม้าขึ้นเพื่อใช้ในกิจกรรมส่วนพระองค์ โดยใช้รูปแบบรถม้าที่สร้างขึ้นใช้งานในประเทศออสเตรเลีย รถม้าที่สร้างขึ้นมีจำนวน 3 คัน คือ
ก. รถม้าประเภทบรรทุกผู้โดยสาร 5 คน ใช้ม้า 1-2 ตัว จำนวน 1 คัน
ข. รถม้าประเภทบรรทุกผู้โดยสาร 2 คน ใช้ม้า 1 ตัว จำนวน 2 คัน

รถม้าดังกล่าว เป็นรถม้าพระที่นั่งที่ได้นำถวายฯ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงประทับ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2535 ที่บริเวณพระตำหนักปางตอง ต.หมอกจำแป๋ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน และยังนำถวายฯ เป็นรถม้าพระที่นั่งแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่จังหวัดลำปาง และที่จังหวัดราชบุรีมาแล้ว
1.1.1.3 เครื่องจักรกลใช้พลังน้ำ ได้แก่ เครื่องตะบันน้ำ กังหันน้ำสูบน้ำทุ่นลอย เครื่องสูบน้ำกังหันน้ำ เครื่องไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก และเครื่องสูบน้ำพลังน้ำไหลหรือชัยพัฒนาไฮโดรปั๊ม
ก. ไฮดรอลิคแรมหรือตะบันน้ำ
ประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร โครงการชลประทานฝายแม่มอญ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ทรงเห็นว่าที่ฝายแห่งนี้มีความสูงของตัวฝาย และมีน้ำไหลผ่านล้นฝายตลอดเวลา น่าจะใช้เครื่องตะบันน้ำแบบเดียวกันกับที่ใช้งานที่ฝายแม่แฝก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ มาใช้ตามฝายต่างๆ เพื่อสูบน้ำด้วยพลังน้ำส่งขึ้นที่สูงช่วยเหลือราษฎรบนพื้นที่สูง ให้มีน้ำใช้เพื่อการอุปโภคและบริโภค จึงพระราชทานพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการพัฒนาขึ้น เพื่อติดตั้งตามฝายน้ำล้นทุกๆ แห่ง เป็นการใช้พลังงานจากน้ำเพื่อการสูบน้ำ ให้เกิดประโยชน์อย่างอเนกประสงค์
ข. กังหันน้ำสูบน้ำทุ่นลอย
ประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2524 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร บริเวณพื้นที่ศูนย์ศิลปาชีพพิเศษห้วยเดื่อ ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ทรงเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวขาดแคลนน้ำเพื่อปลูกหม่อนเลี้ยงไหม อีกทั้งพื้นที่นี้ตั้งอยู่ริมฝั่งของแม่น้ำปาย ซึ่งมีปริมาณน้ำไหลตลอดปี และมีความเร็วของกระแสน้ำมาก จึงพระราชทานพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการ พัฒนากังหันน้ำสูบน้ำขึ้น เพื่อสูบน้ำด้วยพลังน้ำจากแม่น้ำปายส่งขึ้นไปใช้บริเวณพื้นที่ของศูนย์ เพื่อการปลูกหม่อน อุปโภค และบริโภค เป็นการใช้พลังน้ำไหลจากความเร็วของกระแสน้ำ เพื่อการสูบน้ำใช้งานเบื้องต้น ในระยะแรกเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะสร้างฝายทดน้ำเพื่อชักน้ำเข้าพื้นที่ดังกล่าว
ค. เครื่องสูบกังหันน้ำ
ประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร โรงไฟฟ้าพลังน้ำปางตอง ศูนย์พัฒนาปางตอง ต.หมอกจำแป๋ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ทรงมีพระราชกระแสว่าไฮดรอลิคแรม หรือ ตะบันน้ำ ที่ติดตั้งไว้ที่ฝายปางตอง 3 บริเวณด้านหน้าพระตำหนักปางตอง เวลาใช้งานเครื่องส่งเสียงดังรบกวน น่าจะหาวิธีพัฒนาการขึ้นใหม่ โดยสร้างเครื่องกังหันน้ำขึ้น และใช้กังหันน้ำไปขับเคลื่อนเครื่องสูบน้ำ น่าจะเหมาะสมกว่าและไม่มีเสียงดัง ผู้ใช้เพียงแต่เปิดประตูน้ำเครื่องก็จะทำงาน เมื่อปิดประตูน้ำ เครื่องก็จะหยุดทำงาน จึงพระราชทานพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการให้พัฒนา เครื่องสูบน้ำกังหันน้ำขึ้น 2 รูปแบบ คือ
1. เครื่องสูบน้ำกังหันน้ำแบบครอสโฟล วอเตอร์เทอร์บายน์ปั๊ม
2. เครื่องสูบน้ำกังหันน้ำแบบโกล๊บเคสโคแอ็คเชี่ยล วอเตอร์เทอร์ -บายน์ปั๊ม
ง . เครื่องสูบน้ำพลังน้ำไหล
ประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2532 พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการทดลองเครื่องสูบน้ำพลังน้ำไหล หรือสลิงปั๊มที่บริเวณคลองส่งน้ำบ้านเริม ต.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องสูบน้ำที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งประเทศสวีเดนได้น้อมเกล้าฯ ถวาย ทรงเห็นว่าการใช้เครื่องสูบน้ำดังกล่าวจะพบปัญหาเศษวัสดุ และสาหร่ายไหลเข้าไปติดใบพัดและที่ทางดูดน้ำ จึงพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการให้พัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยใช้วัสดุภายในประเทศ เพื่อนำไปใช้ตามแม่น้ำลำธารต่างๆ ที่มีความเร็วของกระแสน้ำเพียงพอ เพื่อราษฎรที่มีบ้านเรือนติดแหล่งน้ำได้ใช้พลังน้ำไหล เพื่อสูบน้ำปลูกผักสวนครัว ข้อดีของเครื่องสูบน้ำก็คือ มีน้ำหนักเบาเวลาจะใช้งานก็ยกลงไปติดตั้งในแม่น้ำ เวลาเลิกใช้ก็ยกขึ้นมาเก็บ เป็นการใช้พลังกระแสน้ำไหลเพื่อการสูบน้ำ




จ . โรงสีข้าวไฟฟ้าพลังน้ำบ้านแม่สาใหม่ สร้างขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อ พ.ศ.2518 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรชาวไทยภูเขาหมู่บ้านแม่สา – ใหม่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นประจำ และเมื่อปี พ.ศ.2518 ทรงเห็นความเดือดร้อนของชาวไทยภูเขาที่ขาดแคลนน้ำ และทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ชาวไทยภูเขาได้มีน้ำใช้เพื่อการเพาะปลูก อุปโภค และบริโภค จึงพระราชทานพระราชดำริให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการ ก่อสร้างฝายชักน้ำเข้าอ่างเก็บน้ำที่ระดับสูง จากนั้นให้ต่อท่อส่งน้ำลงมาที่โรงสีข้าวไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อให้ใช้พลังน้ำในการสีข้าว และผลิตไฟฟ้า จากนั้น น้ำที่ผ่านการสีข้าวจึงจะนำไปใช้ในการเกษตร อุปโภค และบริโภค เป็นการใช้พลังงานจากน้ำให้เกิดประโยชน์อย่างอเนกประสงค์
ฉ. โรงไฟฟ้าพลังน้ำดอยอ่างขาง สร้างขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรกิจกรรม ของสถานีทดลองเกษตรหลวงดอยอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ โดยมีหม่อมเจ้าภีสเดช รัชนี กราบบังคมทูลขอพระราชทานโครงการไฟฟ้าพลังน้ำทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง จึงพระราชทานพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการ ก่อสร้างฝายชักน้ำเข้าอ่างเก็บน้ำที่ระดับสูง แล้วส่งน้ำลงเข้าสู่โรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำที่ผ่านการผลิตไฟฟ้าแล้วให้เก็บไว้ในอ่างน้ำลูกล่างบริเวณด้านหน้าโรงไฟฟ้า จากนั้นจึงนำน้ำไปใช้ในการเกษตร อุปโภค และบริโภคเป็นการใช้พลังงานจากน้ำให้เกิดประโยชน์อย่าง อเนกประสงค์
ความมุ่งหมายเพื่อใช้น้ำให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดตามพระราชประสงค์โดยสมบูรณ์ โดยแก้ไขสภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง กล่าวคือก่อนที่จะนำน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติไปใช้ในการเกษตร การอุปโภค บริโภคนั้น ผลประโยชน์ที่ได้รับ ประการแรกคือ พลังงานไฟฟ้า ประการที่สองคือ สามารถประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยเครื่องยนต์ดีเซลโดยเฉลี่ย ปีละประมาณ 200,000 บาท ประการที่สามประหยัดค่าน้ำมันหล่อลื่น โดยเฉลี่ยปีละ 31,635.38 บาท ประการที่สี่ใช้น้ำในการเกษตร ประการที่ห้าใช้น้ำในการอุปโภค บริโภค กล่าวคือ น้ำทุกหยดจะต้องใช้ให้มีประโยชน์ทั้งห้าประการ
ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงพระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทาน โดยสำนักชลประทานที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ขนาดความจุ 700 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 1 อ่าง ฝายชักน้ำเข้าอ่างเก็บน้ำ จำนวน 1 ลูก สระพักน้ำด้านหน้าโรงไฟฟ้าขนาดความจุ 1,000 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 1 แห่ง พร้อมวางท่อส่งน้ำเข้าเครื่องกังหันน้ำ ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ จำนวน 1 โรง ส่วนสำนักชลประทานที่ 2 เป็นผู้ออกแบบและจัดทำท่อส่งน้ำเข้าเครื่องกังหันน้ำ ออกแบบโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ดำเนินการติดตั้งระบบไฟฟ้าภายในบริเวณสถานี ทดลองเกษตรหลวงอ่างขาง จนเสร็จสมบูรณ์ (“ ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการเครื่องจักรกล พระดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ” 5 ธันวาคม 2542 : 24-25)
ช. โรงไฟฟ้าพลังน้ำศูนย์พัฒนาป่างตอง สร้างขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2523 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรกิจกรรมของศูนย์ป่างตอง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ทรงเห็นว่าการผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องยนต์ดีเซลภายในศูนย์ มีความยากลำบากในการลำเลียงน้ำมันเชื้อเพลิง อีกทั้งภายในศูนย์พัฒนาแห่งนี้มีแหล่งน้ำ และอาคารฝายทดน้ำหลายแห่ง จึงพระราชทานพระราชดำริให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยราชการ ต่อท่อรับน้ำจากฝายทดน้ำที่ระดับสูง แล้วส่งน้ำเข้าโรงไฟฟ้าเพื่อผลิตไฟฟ้า น้ำที่ผ่านการผลิตไฟฟ้าแล้ว ให้ส่งน้ำลงฝายทดน้ำตัวล่าง จากนั้นจึงต่อท่อส่งน้ำนำน้ำจากฝายทดน้ำตัวล่างไปใช้ในการเพาะปลูก อุปโภค และบริโภค เป็นการใช้พลังงานจากน้ำให้เกิดประโยชน์อย่างอเนกประสงค์
1.1.1.4 เครื่องจักรกลใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ ได้แก่ เครื่องผลักดันน้ำ (เพิ่มความเร็วของกระแสน้ำในลำคลอง) ขับด้วยเครื่องยนต์ดีเซล (พ.ศ.2526 น้ำท่วมใหญ่) เครื่องผลักดันน้ำดังกล่าว ได้พระราชทานพระราชดำริให้ใช้เครื่องเรือหางยาวมาดัดแปลงใช้ในการเร่งระบายน้ำในลำคลองต่างๆ
- 1.1.2 ช่วงที่สอง (พ.ศ.2531 เป็นต้นมา) ในช่วงนี้สภาพแวดล้อมทางน้ำเสื่อมโทรมมาก ลำพังหน่วยงานรัฐจะแก้ไขก็ไม่ทันเหตุการณ์ อีกทั้งแหล่งชุมชนเกิดขึ้นอย่างหนาแน่น และรวดเร็วได้พระราชทานพระราชดำริให้หน่วยงานราชกา รประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศรูปแบบต่างๆ ขึ้นใช้ในการบำบัดน้ำเสีย ดังนี้ คือ

1.1.2.2 เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำแบบหมุนช้า หรือ “ กังหันชัยพัฒนา ”
Chaipattana Aerator, Moder RX-2
1.1.2.1 เครื่องกลเติมอากาศระบบเป่าอากาศลงไปใต้น้ำ และกระจายฟอง Chaipattana Aerator, Moder RX-1

กังหันน้ำชัยพัฒนา (เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำ หมุนช้าแบบทุ่นลอย) เป็นผลงานประดิษฐ์คิดค้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่เป็นที่ชื่นชม และเลื่องลือไปถึงต่างประเทศ ได้รับการทูลเกล้าถวายรางวัลต่างๆ รวม 6 รางวัลในงานแสดงสิ่งประดิษฐ์งานวิจัยและเทคโนโลยีของโลก ครั้งที่ 49 ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม ในปี พ.ศ.2543 (มติชน : 6 ตุลาคม 2544 : 20)
ความเป็นมาของกังหันน้ำชัยพัฒนา
การแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียเป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุง และพัฒนาสภาพแวดล้อมของแหล่งชุมชนต่างๆ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากประชาชนเพิ่มมากขึ้น และอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นในตัวเมือง น้ำใช้ที่ปล่อยลงในคูคลองสาธารณะโดยไม่ได้รับการบำบัดก่อน เป็นเหตุให้น้ำเน่าเสียกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปตามสระน้ำ คลองระบายน้ำ หนองน้ำ บ่อน้ำ ตลอดจนแม่น้ำลำธาร ซึ่งเป็นการยากแก่การรวบรวมน้ำเสียจากแหล่งต่างๆ เพื่อลำเลียงไปสู่โรงบำบัด และเริ่มวางระบบบำบัดน้ำเสียทั้งในกรุงเทพมหานคร และเขตเทศบาลเมืองใหญ่ๆ แต่ก็ต้องถูกจำกัดด้วยเรื่องงบประมาณ และการดำเนินงานก็ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในขณะนี้นอกจากบรรเทาปัญหาได้ในขณะหนึ่งเท่านั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระราชหฤทัยในด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง และทรงห่วงใยในพสกนิกรที่ต้องเผชิญกับสภาพแออัด และน้ำเน่าเสีย ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพและอนามัย ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด พระองค์จึงได้พระราชทานพระราชดำริเรื่องการแก้ไขบำบัดน้ำเสียไว้ในลักษณะต่างๆ กัน โดยในช่วงแรกระหว่างปี พ.ศ.2527-2530 ให้มีการใช้น้ำที่มีคุณภาพดีช่วยบรรเทาน้ำเสีย ประกอบกับวิธีการกรองน้ำเสียด้วยผักตบชวาและพืชน้ำต่างๆ ซึ่งสามารถแก้ไขได้ในระดับหนึ่ง และในช่วงปี พ.ศ.2531 เป็นต้นมา สภาพความเน่าเสียของบริเวณต่างๆ ได้มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น คูคลองสาธารณะต่างๆ ส่งกลิ่นเหม็นรบกวน จึงจำเป็นต้องนำเครื่องกลเติมอากาศเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจน หรืออากาศลงไปในน้ำเข้าช่วยบำบัดน้ำเสีย
อีกทางหนึ่ง โดยพระราชทานรูปแบบประดิษฐ์ที่เรียบง่าย ประหยัด และสามารถที่จะเป็นต้นแบบให้หน่วยงานต่างๆ นำไปประดิษฐ์เพื่อใช้งานได้ง่ายโดยทั่วไป ทั้งนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนา สนับสนุนงบประมาณเพื่อการศึกษา และวิจัยเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าว และดำเนินการจัดสร้างเครื่องมือบำบัดน้ำเสียดังกล่าวร่วมกับกรมชลประทาน เครื่องกลเติมอากาศหรือที่รู้จักกันแพร่หลายอยู่ในขณะนี้ว่า “ กังหันน้ำชัยพัฒนา ” นั้น เป็นที่นิยม และนำไปใช้งานเกือบทั่วประเทศในขณะนี้
คุณสมบัติของเครื่องกลเติมอากาศ
เครื่องกลเติมอากาศ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ กังหันน้ำชัยพัฒนา ” เป็นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้า แบบทุ่นลอย มีประสิทธิภาพในการถ่ายเทออกซิเจนได้สูงถึง 0.9 กิโลกรัมของออกซิเจนต่อแรงม้าชั่วโมง สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมบำบัดน้ำเสียได้อย่างอเนกประสงค์ ติดตั้งง่ายเหมาะสำหรับใช้บำบัดน้ำเสียในแหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ สระน้ำ หนองน้ำ คลอง บึง และลำห้วยที่มีความลึกมากกว่า 1.00 เมตร และมีความกว้างมากกว่า 3.00 เมตร สามารถติดตั้งอยู่กับที่หรือขับเคลื่อนไปตามแหล่งน้ำด้วยตัวเองก็ได้ ในบริเวณที่มีพลังงานไฟฟ้าเข้าถึงสามารถใช้วิธีการติดตั้งอยู่กับที่ ขับส่งกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แต่แหล่งน้ำเสียที่ไม่มีพลังงานไฟฟ้าเข้าถึงสามารถดัดแปลงใช้เครื่องยนต์เป็นตัวขับส่ง กำลังเคลื่อนที่แล่นไปตามลำน้ำโดยใช้เจ้าหน้าที่เป็นผู้บังคับเครื่อง และปรับทิศทางให้เป็นไปตามความต้องการได้ด้วย
การขอรับสิทธิบัตร
เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ในการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งได้ทรงคิดค้นและได้พระราชทานรูปแบบและความคิดในการประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศ จนกระทั่งสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสีย และเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมเป็นอย่างมาก มูลนิธิชัยพัฒนาจึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เพื่อขอรับสิทธิบัตรเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้า แบบทุ่นลอย (กังหันน้ำชัยพัฒนา) ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
การขอรับสิทธิบัตรเครื่องกลเติมอากาศ ได้ดำเนินไปตามขั้นตอนปกติ ซึ่งเห็นเป็นการสมควรบันทึกขั้นตอนไว้ ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา (นายสุเมธ ตันติเวชกุล) เป็นผู้แทนขอรับสิทธิบัตรดังกล่าว
หลังจากนั้น มูลนิธิชัยพัฒนาได้ดำเนินการขอรับสิทธิบัตรตามขั้นตอนพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522 รวมทั้งการเสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานด้วย
ขั้นตอนในการตรวจสอบการประดิษฐ์
1. มูลนิธิชัยพัฒนาได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรไปยังกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เพื่อทำการตรวจสอบเบื้องต้น ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้จัดส่งคำขอรับสิทธิบัตรนี้ไปตรวจค้น ณ สำนักงานสิทธิบัตรออสเตรเลีย ซึ่งผลจากการตรวจสอบปรากฏว่า มีงานที่ปรากฏอยู่แล้ว (Prior Art) เป็นเอกสารสิทธิบัตรที่ได้รับการจดทะเบียนจำนวน 8 ฉบับ เป็นของสหรัฐอเมริกา 5 เครื่อง ฝรั่งเศส 1 เครื่อง และออสเตรเลีย 2 เครื่อง ซึ่งในจำนวนนี้มีเอกสารที่ใกล้เคียงจำนวน 1 ฉบับ คือ สิทธิบัตรออสเตรเลีย
2. กรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ ได้ตรวจสอบการประดิษฐ์อย่างเป็นขั้นตอน คือ การพิจารณาความใหม่ การพิจารณาขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น และการพิจารณาการนำไปประยุกต์ใช้ในการผลิตเชิงอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม เกษตรกรรม หรือหัตถกรรม

3. กรมทรัพย์สินทางปัญญาฯ ดำเนินการรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรในการทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรเครื่องกลเติมอากาศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอุทัย พิมพ์ใจชน) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และคณะ พร้อมทั้งกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา (นายสุเมธ ตันติเวชกุล) เข้าเฝ้า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี แทนพระองค์ และทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตร ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม พ.ศ.2536 ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ 9 ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตร และเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรให้แก่พระราชวงศ์อีกด้วย
“ คงจะไม่มีผู้ใดในโลกนี้ ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติหรือภาษาใด แตกต่างกันอย่างไรไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ และไม่ว่าจะเคยรู้จักหรือคุ้นเคยกับประเทศไทยมาก่อนหรือไม่ก็ตาม จะเคยรู้จักหรือได้คบหาคนไทยมาก่อนหรือไม่ก็ตาม คงอดจะปลาบปลื้มระคนแปลกใจเป็นอย่างมากไม่ได้ว่า พระเจ้าแผ่นดินแห่งประเทศไทยพระองค์นี้ทรงสามารถกระทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร … นั่นคือการที่ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตร จากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศ เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือพสกนิกรที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมทางน้ำ ที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญของโลกอยู่ในขณะนี้ การทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรดังกล่าว นับเป็นสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย และนับเป็นครั้งแรกของโลกด้วย ” (ชัยพัฒนา, มูลนิธิ. 2536 : 4-12)
1.1.2.3 เครื่องกลเติมอากาศระบบเป่าอากาศหมุนใต้น้ำ หรือ “ เครื่องกลเติมอากาศ ชัยพัฒนาซุปเปอร์ฟองแอร์ ” Chaipattana Aerator, Moder RX-3

1.1.2.4 เครื่องกลเติมอากาศแรงดันใต้น้ำ หรือ “ ชัยพัฒนาเวนจูรี ” Chaipattana Aerator, Moder RX –4

1.1.2.5 เครื่องกลเติมอากาศระบบอัดและดูดอากาศใต้น้ำ หรือชัยพัฒนาแอร์เจท Chaipattana Aerator, Moder RX-5

หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับลงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2544 หน้า 20 ได้กล่าวถึงผลงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์อีกชิ้นหนึ่งดังนี้
ถวายสิทธิบัตรฉบับที่ 2 แด่ ‘ ในหลวง ‘ ทรงประดิษฐ์ ‘ เครื่องกลเติมอากาศ ‘
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2544 ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ “ เครื่องกลเติมอากาศแบบอัดอากาศและดูดน้ำ ” แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9

นายอดิศัยกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระปรีชาสามารถในการประดิษฐ์คิดค้น “ กังหันน้ำชัยพัฒนา ” และทรงได้รับสิทธิบัตร ฉบับแรกเมื่อปี พ.ศ.2536 พระองค์ทรงคิดค้นและพัฒนาเครื่องกลเติมอากาศ แบบอื่นๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “ เครื่องกลเติมอากาศแบบอัดอากาศและดูดน้ำ ” จนมีคุณภาพที่ดี และทรงยื่นขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2544 คำขอรับสิทธิบัตรเลขที่ 063072 และได้รับการจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรเลขที่ 10304 เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2544
นายอดิศัยกล่าวว่า “ เครื่องกลเติมอากาศแบบอัดอากาศและดูดน้ำ มีลักษณะที่แตกต่างไปจากกังหันน้ำชัยพัฒนา โดยมีการเติมอากาศแบบอัดอากาศและดูดจากด้านล่าง หรือก้นบ่อเพื่อให้ผสมกับอากาศที่ถูกอัดเข้าไป และถูกฉีดพ่นออกไปเพื่อให้น้ำที่ได้รับการผสมกับอากาศ แล้วเกิดการหมุนเวียนทั้งในแนวราบ และแนวดิ่ง ทำให้น้ำได้รับการเติมอากาศได้อย่างทั่วถึง ”
หมายเหตุ : เครื่องกลเติมอากาศแบบอัดอากาศและดูดน้ำนี้มีโครงสร้างที่ประกอบด้วย ทุ่นลอยสำหรับติดตั้งชุดเครื่องอัดอากาศและดูดน้ำที่ขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ถูกติดตั้งอยู่ในลักษณะที่แกนมอเตอร์อยู่แนวดิ่ง เพื่อขับหมุนแกนหมุนหรือเพลาขับของชุดเครื่องดูดและอัดอากาศ ซึ่งจะดูดอากาศจากบริเวณรอบๆ และเป่าออกทางท่อเป่าอากาศ แกนหมุนนี้จะยื่นยาวต่อลงไปยังชุดปั๊มน้ำ ซึ่งจะดูดน้ำจากบริเวณก้นบ่อ และถูกฉีดพ่นออกทางท่อเวนทูรี ทำให้เกิด ความแตกต่างความดันจนก่อให้เกิดแรงดูดอากาศจากท่อที่ต่อเข้ากับห้องผสมอากาศ และน้ำก่อนถูกฉีดพ่นออกที่บริเวณใต้ผิวน้ำในแนวระดับต่อไป
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม (2544 : 25) เสนอข่าวว่า นางผ่องศรี ยุทธสารประสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญากล่าวว่า “ สิ่งประดิษฐ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรนี้ มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขการจดสิทธิบัตรภายใต้ พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522 แก้ไขเพิ่มเติม โดย พ.ร.บ. สิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2542 คือเป็นการประดิษฐ์ใหม่ เป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น และเป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรม สำหรับเครื่องกลเติมอากาศแบบอัดอากาศและดูดน้ำนี้ ที่ถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในภาคเกษตรกรรม และทำให้การผลิตภาคการเกษตรของประเทศดีขึ้น เหมือนกับกังหันชัยพัฒนาที่ได้มีการนำมาใช้ประโยชน์ก่อนหน้านี้ ”
1.1.2.6 เครื่องกลเติมอากาศแบบตีน้ำสัมผัสอากาศ หรือ “ เครื่องตีน้ำชัยพัฒนา ” Chaipattana Aerator, Moder RX –6

1.1.2.7 เครื่องกลเติมอากาศแบบดูดและอัดลงไปที่ใต้ผิวน้ำ หรือ “ ชัยพัฒนาไฮโดรแอร์ ” Chaipattana Aerator, Moder RX –7

1.1.2.8 เครื่องจับเกาะจุลินทรีย์ หรือ “ ชัยพัฒนาไบโอ ” Chaipattana Aerator, Moder RX –8

1.1.2.9 เครื่องกลเติมอากาศแบบกระจายน้ำสัมผัสอากาศ หรือ “ น้ำพุชัยพัฒนา ” Chaipattana Aerator, Moder RX –9 A และ RX-9 B

1.2 สิ่งประดิษฐ์ที่ทรงว่างจากพระราชภารกิจ “ เรือใบมด ”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงศึกษาวิชาช่างไม้มาตั้งแต่ทรงเรียนหนังสือ อยู่ที่สวิต – เซอร์แลนด์ ทรงโปรดการเลื่อยไม้ และไสกบเป็นเวลานานหลายชั่วโมง โครงไม้เหล่านี้ในที่สุดได้กลายเป็นเรือใบลำแรก ในจำนวนทั้งหมดถึง 7 ลำ ที่ทรงต่อประกอบขึ้นด้วยพระองค์เอง (วิลาส มณีวัต. 2543 : 150)
เรือใบมดลำแรก คือ เรือใบมด 1 และได้ทรงนำเรือลำนี้ไปแข่งขันที่ประเทศอังกฤษ เมื่อคราวเสด็จประพาสครั้งนั้น และทรงสามารถชนะเรือ ของผู้เข้าแข่งขันอื่นในขนาดใกล้เคียงกันได้ (พูนพร แสงบางปลา. 2530 : 215-222)

เรือใบมดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงออกแบบนั้น เป็นเรือใบเสาเดียว ประเภท One-design class ซึ่งนับว่าเป็นแบบที่เหมาะสมใช้ในการแข่งขัน มีราคาในการสร้างไม่แพงและสะดวกในการเก็บรักษา มีน้ำหนักเบาสะดวกในการเดินทางและเคลื่อนย้าย มีคุณสมบัติว่องไวดีในการแล่นและกลับลำ ข้อดีต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เกิดมาตรฐานของเรือใบในการแข่งขันอีกประเภทหนึ่งด้วย
1.2.1 ลักษณะของเรือใบมด
ยาว = 11 ฟุต
กว้าง = 4 ฟุต 7 นิ้ว
ลึก = 1 ฟุต 7 นิ้ว
เนื้อที่ใบ = 70 ตารางฟุต
น้ำหนัก = 35 กิโลกรัม
เครื่องหมาย = รูปตัวมด
1.2.2 วัสดุและการสร้างเรือใบมด
วัสดุที่ใช้ในการสร้างเรือนั้นหาได้จากภายในประเทศทั้งสิ้น ไม้เปลือกเรือใช้ไม้อัดชนิดทนน้ำ และกาวพิเศษของบริษัทไม้อัดไทย ใช้ไม้อัดยมหอม หรือไม้สอง เพื่อให้น้ำหนักเบาและเหนียว โดยเฉพาะไม้โครงสร้างและไม้เสากระโดงใช้ไม้ยมหอมล้วน ใบเรือใช้ผ้าชนิดเบาที่ลมไม่รั่ว อุปกรณ์ประกอบการแล่นใบทำด้วยเหล็กขาวไม่เป็นสนิม สำหรับสีทาเรือนั้น ใช้ชนิดมีความคงทนต่อน้ำเค็มและยึดเหนี่ยวกับตัวเรือเป็นพิเศษ คือ สี Epoxy paint
1.2.3 วิธีสร้างเรือใบมด
การสร้างเรือใบมดนั้น สามารถแบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้ คือ
ขั้นที่ 1 แผ่นเปลือกเรือมี 3 แผ่นเป็นไม้อัดชนิดทนน้ำ ความหนา 4 มม . ต่อไม้อัดเข้าด้วยกัน แล้วหมายลงเป็นเปลือกเรือตามแบบพิมพ์เขียว ขั้นนี้เรียกว่า ปลาแห้ง (ชื่อที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้)
ขั้นที่ 2 ห่อเป็นตัวเรือ ประกอบเปลือกเรือ (ปลาแห้ง) เข้ากับไม้ปิดท้ายเสียก่อนใช้ลวดผูกตามแนวที่เจาะไว้ แล้วหยอดด้วยกาว เมื่อกาวแห้งจึงตัดลวดออก ตกแต่งตะเข็บนอก – ใน แล้วเสริมกำลังด้วยผ้าใยแก้ว
ขั้นที่ 3 ทำชิ้นส่วนประกอบโครงสร้าง ประกอบฝากั้นท้าย ฝากั้นกลางพร้อมซองหางเสือและโครงดาดฟ้า แล้วทาสีภายในเพื่อรักษาเนื้อไม้
ขั้นที่ 4 ปิดดาดฟ้า แล้วตกแต่งเรือ ทาสีภายนอก
1.2.4 กรรมสิทธิ์เจ้าของแบบ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงออกแบบ และทรงสร้างเรือใบมดลำแรกขึ้น แล้วได้ทรงทดสอบด้วยการนำไปแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปรากฏว่าเรือใบแบบนั้นซึ่งต่อมาโปรดให้เรียกว่า เรือมด 1 มีความคล่องตัวดีเหมาะสมที่จะใช้ในการแข่งขันมาก จึงได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สโมสรกรมอู่ทหารเรือดำเนินการต่อเรือมดขึ้นอีก การต่อเรือมดนั้นโปรดให้ใช้เวลานอกราชการ ทั้งนี้เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ราชการได้ สโมสรกรมอู่ฯ ได้รับต่อเรือมดให้แก่ผู้ที่ต้องการหลายลำ ทำให้ช่างของกรมอู่ฯ ได้เพิ่มพูนทักษะการต่อเรือและยังได้มีรายได้เพิ่มจากงานประจำอีกด้วย รายได้จากการต่อเรืออีกส่วนหนึ่งได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายองค์ผู้ออกแบบ ในฐานะผู้มีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของแบบ (หรือปัจจุบันอาจจะเรียกว่า เจ้าของสิทธิบัตร) ด้วย นับว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงเป็นผู้พัฒนาอุตสาหกรรมการต่อเรือ และเริ่มธุรกิจการต่อเรือในประเทศไทยด้วย
ต่อมาได้ทรงปรับปรุงแบบเรือมด และได้ทรงออกแบบเรือใบชุดมดอีก 2 ประเภทคือ เรือซุปเปอร์มด และ เรือไมโครมด ซึ่งก็เป็นเรือที่ได้รับความนิยมมากในหมู่สมาชิกแล่นใบชาวไทย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระปรีชาสามารถในงานช่างมากเกินกว่าจะหาผู้ใดมาเทียบได้ งานช่างของพระองค์ในด้านการออกแบบและการสร้างเรือใบ เป็นสิ่งที่แสดงพระอัจฉริยะของพระองค์ให้ปรากฏอย่างที่ไม่มีใครจะคัดค้านได้ และยังแสดงถึงการประสานความรู้ทางสถาปัตยกรรม และวิศวกรรมเข้าด้วยกันอีกด้วย
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริให้กองทัพเรือ ต่อเรือไว้ใช้ในราชการเอง เพื่อใช้เป็น เรือเร็วรักษาฝั่ง
โครงการเรือ ต.91 – การตั้งชื่อเรือยนต์รักษาฝั่งว่า “ ต.91” ต หมายถึงประเภทเรือ 9 หมายถึงรัชกาลที่ 9 ส่วน 1 หมายถึง เป็นเรือลำที่ 1

ผู้บัญชาการทหารเรือในขณะนั้น คือพล.ร.อ.จรูณ เฉลิมเตียรณ ได้วางโครงการต่อเรือเร็วรักษาฝั่งขึ้น 1 ลำ เป็นโครงการ 2 ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2510 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 13,445,000 บาท นายทหารที่สำเร็จการศึกษามาจากต่างประเทศเป็นผู้ออกแบบเรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงช่วยเหลือ ในการติดต่อกับสถาบันการวิจัย และทดลองแบบเรือแห่งชาติของประเทศอังกฤษ ให้ช่วยทดสอบแบบให้จนเป็นที่น่าพอใจ แล้วจึงได้ทำการต่อเรือขึ้นที่กรมอู่ทหารเรือ โดยช่างของกรมอู่ทหารเรือเอง ขณะนั้น พล.ร.ท.อุดม สุทัศน์ ณ อยุธยา เป็นเจ้ากรมอู่ฯ

ในการทดสอบความเร็วเรือนั้น ทางกรมอู่ฯ ได้ทำการทดสอบที่หลักไมล์เกาะสีชัง ในการทดสอบนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯ ไปทดสอบด้วยพระองค์เอง และได้พระราชทานข้อคิดและคำแนะนำต่างๆ เกี่ยวกับประสิทธิภาพของเรือ พล.ร.ท.อุดม สุทัศน์ ณ อยุธยา ได้เล่าว่า “ พระองค์ทรงพระอัจฉริยะเป็นอย่างยิ่ง ทรงสังเกตดูอย่างละเอียดและถี่ถ้วน ทรงชี้ให้ดูน้ำที่พลิ้วออกจากท้ายเรือและมีพระราชวินิจฉัยที่ถูกต้องว่ามีการผิดพลาด ที่ทำให้ไม่ได้ความเร็วตามที่กำหนด เมื่อตรวจสอบดูปรากฏว่าใบจักรผิดขนาดไปจริงโดยที่ผลักน้ำมากเกินไป ทำให้เครื่องทำงานเกินขนาดจึงเร่งไม่ขึ้น ดังนั้นจึงได้มีการปรับปรุงและแก้ไขทั้งใบจักรและตัวเรือ จนสามารถเพิ่มความเร็วขึ้นมาได้จาก 18 นอต เป็น 20 นอต ”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นประธานในพิธีวางกระดูกงูเรือ ต.91 นี้ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2510 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้เสด็จมาประกอบพิธีปล่อยเรือลงน้ำ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2511 ปัจจุบันเรือลำนี้ขึ้นระวางประจำการอยู่ในกองเรือตรวจ
กองทัพเรือต่อเรือได้ถึงลำที่ 9 คือ ต.99 สำหรับ เรือ ต.99 ได้เปลี่ยนแปลงการกินน้ำลึกจาก 1.5 เมตร เป็น 1.6 เมตร และระวางขับน้ำ 117 ตัน เป็น 130 ตัน เพิ่มระบบการควบคุมการยิง (Sea archer) ด้วย เรือ ต.99 นี้ต่อเสร็จทันวาระเฉลิมพระชนมายุครบ 60 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในปี พ.ศ.2530
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไม่เพียงแต่มีพระราชดำริ ทรงพระอัจฉริยะ และทรงเห็นการณ์ไกลเท่านั้น หากยังไม่ทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทรงติดตามและสนพระราชหฤทัยคอยช่วยเหลือตลอดเวลา ทั้งๆ ที่มีพระราชภารกิจอื่นๆ มากมาย พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ให้กองทัพเรือต่อเรือไว้ใช้ในราชการเองนั้น แสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงเล็งเห็นการณ์ไกล เพราะการต่อเรือเองนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้มีเรือไว้เสริมสร้างรั้วทางทะเลให้มีความแข็งแรงมั่นคงขึ้นเท่านั้น หากยังได้ทำให้มีการพัฒนาบุคคลระดับต่างๆ ในกองทัพเรือขึ้นด้วย ทั้งทางวิชาการและทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการต่อเรือ นอกจากนี้ยังช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการต่อเรือภายในประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วย ทำให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยเป็นส่วนรวม ประชาชนชาวไทยโดยเฉพาะข้าราชการกองทัพเรือถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม
1.3 พระปรีชาสามารถทางด้านภาษาคณิตกรณ์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระปรีชาสามารถ ทางด้านการช่างมากมายหลายด้าน เป็นที่ประจักษ์ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นงานด้านวิศวกรรมแหล่งน้ำ งานด้านแผนที่ งานด้านวิศวกรรมเกษตร หรืองานด้านวิทยุสื่อสาร ทั้งนี้เพราะทรงสนพระทัยใฝ่รู้และทรงศึกษาอย่างจริงจัง ลึกซึ้งในด้านการค้นคว้าวิจัยเพื่อการพัฒนาในทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การเกษตร การชลประทาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการใช้นวัตกรรมเทค โนโลยีด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์
1.3.1 ทรงสนพระราชหฤทัยและศึกษาคณิตกรณ์ด้วยพระองค์เอง
กล่าวเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ทรงเห็นความสำคัญและประโยชน์อย่างยิ่ง ทรงสนับสนุนการค้นคว้าในทางวิทยาการคอมพิวเตอร์หรือคณิตกรณ์ จะเห็นได้จากความสนพระราชหฤทัยของพระองค์เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไป ทอดพระเนตรเทคโนโลยีในงานแสดงวิชาการของมหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีต่างๆ พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยเรื่องคณิตกรณ์ และทรงใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ตรงกันข้ามกับผู้บริหาร ระดับผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยที่มักจะไม่ค่อยกล้าลงมือใช้คอมพิวเตอร์เพราะ “ กลัว ” คอมพิวเตอร์บ้าง หรือ “ กลัวขายหน้า ” ผู้ใต้บังคับบัญชาบ้าง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9

กลับทรงเป็นแบบฉบับของผู้บริหารที่ทันสมัย เพราะมิได้ทรงกลัวคอมพิวเตอร์ แต่ทรงกล้าที่จะศึกษา และสำรวจประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ ทั้งยังทรงสามารถแนะนำผู้อื่นได้ด้วย พระองค์ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการพิมพ์ งานทรงพระอักษรส่วนพระองค์ และทรงเก็บงานเหล่านี้เป็นเรื่องๆ มาปะติดปะต่อกัน จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ และบทพระราชนิพนธ์ต่างๆ เช่น เรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ เป็นต้น
1.3.2 ทรงสามารถใช้เครื่องคณิตกรณ์จัดทำโน้ตเพลงพระราชนิพนธ์

ความเป็นมาที่พระองค์จะได้เริ่มทรงใช้คอมพิวเตอร์นั้น ม.ล.อัศนี ปราโมช องคมนตรี ได้เล่าว่าเป็นเพราะ ม.ล.อัศนี สังเกตเห็นว่าพระองค์ต้องทรงตรากตรำพระวรกาย และทรงเหน็ดเหนื่อยมากในการคัดลอกโน้ตดนตรี ที่ได้ทรงเรียบเรียงไว้ออกพระราชทานให้แก่นักดนตรี และโน้ตแต่ละตัวแต่ละบรรทัดนั้นต้องคัดลอกด้วยพระหัตถ์อย่างคร่ำเคร่ง ม.ล.อัศนี ได้เคยทราบว่าคอมพิวตอร์ส่วนบุคคลหรือที่เรียกว่า เครื่องพีซี (Personal Computer) ในปัจจุบันสามารถใช้บันทึกโน้ตเพลงและพิมพ์ออกมาได้ด้วย ดังนั้น ม.ล.อัศนี จึงดำริที่จะจัดหาคอมพิวเตอร์ดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงใช้เป็นเครื่องมือในการคัดลอกโน้ต ต่อมา ม.ล.อัศนี ปราโมชก็ตกลงใจซื้อ คอมพิวเตอร์แมคอินทอชพลัส
อันเป็นเครื่องที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ คุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของเครื่องนี้คือสามารถเก็บและพิมพ์โน้ตเพลงได้ การเรียนรู้และการใช้งานก็ไม่ยาก ทั้งยังอาจเชื่อมต่ออุปกรณ์พิเศษสำหรับเล่นดนตรีตามโน้ตเพลงที่เก็บไว้ได้ด้วย ม.ล.อัศนี ปราโมช เล่าว่า
“ เรื่องคอมพิวเตอร์นี้ พระองค์ท่านเคยมีรับสั่งว่าไม่รู้เรื่อง แต่ผมเห็นแมคอินทอชนั้นใช้ง่าย จึงนำมาทูลเกล้าฯ ถวายท่าน ก็ปรากฏว่าพระองค์ท่านสนพระทัยดี พระองค์ท่านทรงละเอียดมาก เมื่อทรงรับเครื่องไว้แล้วก็ทรงเริ่มศึกษาวิธีใช้งานต่างๆ อย่างจริงจังด้วยพระองค์เอง … ไม่มีใครไปสอนหรือแนะนำพระองค์ท่าน ยกเว้นตำรวจสื่อสารท่านหนึ่งที่ปฏิบัติงานบางอย่างถวาย ”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าว ในการทรงดนตรี โดยทรงใช้ชุดคำสั่งสามชุดคือ Concertware, Deluxe Music Construction และ Professional Composer ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ MIDI Interface สำหรับต่อร่วมกับอิเล็กทรอนิกออร์แกน

ตัวอย่างโปรแกรมConcertWare ที่ใช้ทรงพระราชนิพนธ์โน๊ตดนตรี
1.3.3 ทรงประดิษฐ์แบบตัวอักษรไทย
การสนพระราชหฤทัยในด้านต่างๆ อย่างละเอียดและจริงจังนั้น เป็นพระอุปนิสัยสำคัญที่ผู้ปฏิบัติงานใกล้ชิดพระองค์ท่านต่างทราบเป็นอย่างดี เมื่อครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรนิทรรศการเทคโนโลยีที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ลาดกระบังนั้น ได้ทรงซักถามเกี่ยวกับโครงการต่างๆ อย่างสนพระราชหฤทัยอย่างจริงจัง ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงศ์ แห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ลาดกระบัง เล่าว่า
“ ทางสถาบันมีโครงการถวายให้ทอดพระเนตรหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นระบบแปลภาษาไทย – ญี่ปุ่น และไทย-อังกฤษ เมื่อท่านทรงฟังคำรายงานแล้ว ท่านก็ทรงซักว่า ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นมีกี่ขีด และการแสดงตัวอักษรบนจอภาพและที่พิมพ์บนเครื่องพิมพ์นั้นใช้รูปแบบอักษรที่เรียกว่า ฟอนด์ (font) แบบไหนจัดเรียงเป็นตารางกี่จุด คำถามอย่างนี้พวกเราไม่คิดว่าพระองค์ท่านจะทรงทราบนำมาซักเราได้ ”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระราชหฤทัยเรื่องอักขระคอมพิวเตอร์ หรือฟอนด์ ( Font) หลังจากที่พระองค์ได้ทรงศึกษา และใช้คอมพิวเตอร์ทำโน้ต คือเมื่อประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.2529 และทรงทดลองใช้ชุดคำสั่ง Fontastic และ Resource Editor ในการจัดรูปแบบตัวอักษรและทรงใช้ MacWriter ในการทรงพระอักษร เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2530 ต่อมาได้มีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องคอมพิวเตอร์ IBM PC Compatible ทรงสนพระราชหฤทัยศึกษาเพื่อพัฒนา Software ต่างๆ และได้สร้างชุดคำสั่งใหม่ๆ ขึ้นมา ทรงปรับปรุง Software ใหม่ขึ้นใช้ และทรงแก้ซอฟแวร์ในเครื่อง เช่น ชุดคำสั่งภาษาไทย CU Writer ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ ทรงประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรไทยเพื่อแสดงผลบนจอภาพคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์สำหรับใช้ส่วนพระองค์ อักษรไทยที่ทรงประดิษฐ์มีหลายแบบ เช่น แบบจิตรลดา แบบภูพิงค์ ฯลฯ ทรงสนพระราชหฤทัยประดิษฐ์อักษรขนาดใหญ่ที่สุดจนถึงขนาดเล็กที่สุด ทุกแบบล้วนมีลักษณะงดงามนอกจากนี้ยังตั้งพระทัยในการประดิษฐ์อักษรภาษาอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น อักษรภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น
1.3.4 ทรงสร้างสรรค์ชุดคำสั่งแสดงอักษรอินเดียโบราณ
เนื่องจากรูปแบบตัวอักษรไทยนั้นจัดทำไม่ยากนัก เพราะตัวอักษรแต่ละตัวมีลักษณะตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันจึงมีนักคอมพิวเตอร์จำนวนไม่น้อยแข่งขันกันจัดทำรูปแบบตัวอักษรไทยแบบต่างๆ สำหรับใช้ในคอมพิวเตอร์เพื่อนำไปพิมพ์เอกสารได้อย่างสวยงาม ตัวอักษรที่ใช้พิมพ์ในหนังสือทั่วไปนี้มีลักษณะต่างกัน รูปแบบตัวอักษรแต่ละชุดนั้นมีชื่อต่างๆ ตามแต่ผู้คิดรูปแบบจะตั้งชื่อให้ แต่พระบ าทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหันมาศึกษาการใช้คอมพิวเตอร์แสดงตัว อักษรเทวนาครี บนจอภาพ ทั้งๆ ที่รูปแบบตัวอักษรเทวนาครี ซึ่งเป็นอักษรอินเดียโบราณหรือที่ทรงเรียกว่า “ ภาษาแขก ” จัดทำได้ยากกว่าตัวอักษรภาษาไทย เพราะตัวอักษรเทวนาครีนั้น รูปแบบไม่คงที่ เวลาอักษรบางตัวควบมากับอักษรตัวอื่นแล้ว ตัวอักษรสองตัวนั้นจะผนวกรวมเป็นตัวเดียวกันคือ นำส่วนหนึ่งของอักษรนำมาต่อรวมกับอีกส่วนหนึ่งของอักษรตาม เกิดเป็นอักษรใหม่ขึ้นคล้ายกับตัวอักษรภาษาฮินดีของอินเดียในปัจจุบัน ศาสตราจารย์ของสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดียที่เมืองคานบูร์ ซึ่งทำการวิจัยเกี่ยวกับการทำตัวอักษรภาษาฮินดีบนจอภาพคอมพิวเตอร์ ก็ยังกล่าวว่าการทำตัวอักษรแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็ทรงคิดวิธีแสดงตัวอักษรเทวนาครีบนจอคอมพิวเตอร์ได้ โดยทรงเริ่มสร้างตัวอักษรเทวนาครีเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2530 ทรงศึกษาตัวอักษรเทวนาครีด้วยพระองค์เองจากพจนานุกรมและตำราภาษาสันสฤกต และทรงสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาบาลีสันสกฤต เช่น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และท่านองคมนตรี ม.ล. จิรายุ นพวงศ์ ซึ่งจะต้องตรวจสอบตัวอักษรที่สร้างขึ้น เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรคอมพิวเตอร์ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ทรงมีรับสั่งด้วยพระอารมณ์ขันว่า “ มีรางวัลใช่ไหม ถ้าทำภาษาแขกเสร็จแล้ว จะมาเอารางวัล ”
ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทอดพระเนตรงาน “ จุฬาวิชาการ ” ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2530 ครั้งนั้นพระองค์ได้ทรงนำชุดคำสั่งสำหรับตัวอักษรเทวนาครีออกแสดงเป็นครั้งแรก โดยมีสัทสัญลักษณ์ (Phonetic symbols) กำกับด้วย พระองค์ได้ทรงสาธิตให้อาจารย์และนิสิตที่ตามเสด็จได้ชมโดยได้ทรงอธิบายลักษณะของตัวอักษรและการใช้งาน พร้อมกับได้ทรงพิมพ์ชื่ออาจารย์และพระนามของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ให้ได้ชมด้วย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

อักษรเทวนาครี
เหตุที่พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยในตัวอักษรเทวนาครีนั้น เป็นเพราะทรงศึกษาข้อธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังลึกซึ้ง การที่ทรงศึกษาตัวอักษรเทวนาครี ก็เพื่อเป็นการนำไปสู่ความเข้าใจทางด้านอักษรศาสตร์ และการเข้าใจหัวข้อธรรมะนั่นเอง นับว่าพระองค์ทรงมีพระวิจารณญาณที่ลึกซึ้งยิ่งนัก เพราะคำสอนและข้อธรรมะในพระพุทธศาสนานั้น เดิมทีก็เกิดและเผยแพร่มาจากประเทศอินเดีย เมื่อกาลเวลาผ่านไปบรรดาธรรมะที่ลึกซึ้ง และยากแก่ความเข้าใจก็อาจจะถูกตีความผันแปรบิดเบือนไปได้ แม้จะมีการบันทึกคำสั่งสอนไว้ในพระไตรปิฎกก็เป็นเรื่องสมัยหลัง ซึ่งอาจคาดเคลื่อนได้ ดังนั้นการศึกษาค้นคว้าลึกลงไปถึงภาษาอินเดียโบราณก็น่าจะได้ความรู้ เกี่ยวกับธรรมะชัดเจนกระจ่างมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้ประโยชน์ในการศึกษาตัวอักษรเทวนาครี เป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากบทพระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” ที่บางตอนทรงนำอักษรเทวนาครีมากำกับข้อความในชาดกเฉพาะที่เป็นคำ “ อรรถ ” ซึ่งพระองค์ทรงต้องการอรรถาธิบายให้ชัดเจนและเน้นเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ คเต ความว่า ในห้วงน้ำ ซึ่งประมาณมิได้
เห็นปานนี้ คือในมหาสมุทรทั้งลึกทั้งกว้าง. บทว่าธมฺมวายามสมฺปนฺโน ความว่า
ประกอบด้วยความพยายามอันชอบธรรม. บทว่า กมฺมุนา นาวสีทสิ ความว่า
ท่านไม่จมลงด้วยกิจคือความเพียรของบุรุษของตน. บทว่า ยตฺถ เต ความว่า ใจ
ของท่านยินดีในสถานที่ใด ท่านจงไปในสถานที่นั้นเถิด.

1.3.5 ทรงปรุง ส.ค.ส. พระราชทาน
นอกจากทรงศึกษาเรื่องรูปแบบและออกแบบตัวอักษร การใช้คอมพิวเตอร์ ในการทรงพระอักษรและบันทึกพระราชนิพนธ์ต่างๆ แล้ว ที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งก็คือการที่ทรงใช้คอมพิวเตอร์สร้างสรรค์ ส.ค.ส. พระองค์ทรงเริ่มใช้เครื่องคอมพิวเตอร์นำพระพร ส่งท้ายปีเก่า …๒๕๑๘ ส.ค.ส. ๒๕๑๙ …รับปีใหม่ โดยทรงใช้เนื้อเพลง “ เราสู้ ” และทรงพระราชนิพนธ์คำแปลเป็นภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วยในแต่ละตอน ต่อมาทรงสร้างสรรค์ ส.ค.ส.๒๕๒๑ โดยทรงนำคำประพันธ์ที่มีหัวข้อว่า “ นักรบใด ใจมั่น พลันเริงร่า ” จากพระราชนิพนธ์ “ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ” และทรงใช้พระนามแฝงว่า “ ก.ส.๙ ปรุง/ส่ง ” ทรงส่งทางโทรสาร (Telex) เพื่อพระราชทานแก่เจ้าหน้าที่ทุกเหล่าทุกหน่วย ต่อมาในปี พ.ศ.2529 พระองค์ใช้แบบตัวอักษรที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นเองและทรงใช้ “ ก.ส.๙ ปรุ ” เป็น ส.ค.ส.๒๕๓๐ ถึงเจ้าหน้าที่และสมาชิกผู้เกี่ยวข้อง

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2531 ทรงเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ “ ปรุง ” คำอวยพรปีใหม่เพื่อพระราชทานแก่บรรดาทหาร ตำรวจ ที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ ณ ที่กันดาร และประชาชนทุกคน และปีต่อมาๆ มา ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ส.ค.ส. ที่ทรงปรุงจากเครื่องคณิตกรณ์แก่พสกนิกรเป็นประจำ ตลอดมาจนถึงปีปัจจุบัน ส.ค.ส. คอมพิวเตอร์พระราชทานเหล่านี้ล้วนมีคุณค่ามหาศาล ดังนั้นทุกปีประชาชนต่างก็เฝ้ารอคอยที่จะได้รับพระราชทาน ส.ค.ส. มาเป็นมิ่งมหามงคล และเป็นแนวปฏิบัติในการครองชีวิต ครองเรือน และครองงาน ข้อความในส.ค.ส. แต่ละปีล้วนมีสาระอันลึกซึ้ง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ทรงสนับสนุนการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ พระราชกรณียกิจที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพื่อการพระพุทธศาสนา ในฐานะที่ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกนั้น พระองค์ได้ทรงสนับสนุนโครงการ “ พระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ ” ด้วยการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 1,472,900 บาท ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2534 ให้มหาวิทยาลัยมหิดล จัดทำโครงการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถาต่อเนื่องจาก โครงการพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์เดิมที่มหาวิทยาลับมหิดลพัฒนาเสร็จแล้ว และได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสรัชมังคลาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถาฉบับคอมพิวเตอร์นี้ด้วยพระองค์เอง ทรงเห็นว่าควรจะได้รวบรวมเอาชุดอรรถกถาและฎีกาเข้าไว้ด้วยกัน จึงทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในการออกแบบโปรแกรมสำหรับใช้ในการสืบค้นข้อมูล
พระราชกรณียกิจนี้เป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนต่อไปในอนาคต เพราะโครงการพระราชดำรินี้เป็นส่วนสนับสนุนอย่างสำคัญ ที่ทำให้การศึกษาพระไตรปิฎกและชุดอรรถกถาเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ อีกทั้งรวบรวมเนื้อหาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นประโยชน์โดยตรงต่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนา นับเป็นการใช้วิทยาการอันก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ได้อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์
สำหรับโครงการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อการศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถาตามพระราชดำรินี้ ได้พัฒนาแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2534 ในชื่อ BUDSIR IV โดยพัฒนาต่อเนื่องจากโปรแกรม BUDSIR มาจากคำว่า Buddhist Scriptures Information Retrieval
สำหรับประวัติของ BUDSIR I สามารถค้นหาคำได้ทุกคำ ศัพท์ทุกศัพท์ ทุกวลี ทุกพุทธวจนะที่มีปรากฏในพระไตรปิฎก จำนวน 45 เล่ม หรือข้อมูลมากกว่า 24.3 ล้านตัวอักษร ที่ได้รับการบันทึกในคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และครบถ้วนสมบูรณ์

BUDSIR II พัฒนาแล้วเสร็จในเดือนกันยายน พ.ศ. 2532 ซึ่งเป็นพระไตรปิฎกอักษรโรมัน สำหรับการเผยแพร่ไปยังต่างประเทศ BUDSIR III ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกในเดือนเมษายน พ.ศ.2533 เพื่องานสืบค้นที่มีความซับซ้อน
สำหรับ BUDSIR IV นี้ ได้รวบรวมพระไตรปิฎกและอรรถกถา/ฎีกา รวมทั้งคัมภีร์ทุกเล่มที่ใช้ศึกษาหลักสูตรเปรียญธรรม นอกจากนี้ยังรวม version ที่เป็นอักษรโรมันเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งมีขนาดข้อมูลรวม 115 เล่ม หรือประมาณ 450 ล้านตัวอักษร นับเป็นพระไตรปิฎกและอรรถกถาฉบับคอมพิวเตอร์ที่สมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยมหิดลยังได้พัฒนาโครงการดังกล่าวเพิ่มเติม โดยบันทึกพระไตรปิฎกและอรรถกถาลงบนแผ่น CD-ROM แล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2537 ซึ่งจะอำนวยความสะดวกอย่างมากต่อผู้ที่ต้องการจะศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นชาวไทย หรือชาวต่างประเทศ ซึ่งมหาวิทยาลัยได้ทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2538
“ หลังจากนั้น เมื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เจริญขึ้น สามารถปริวรรตตัวอักษร ให้เป็นตัวอักษรแบบต่างๆ ที่มีใช้ทั่วโลก ทางโครงการ จึงได้จัดทำพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับปริวรรต 9 อักษร คืออักษรเทวนาครี โรมัน สิงหล พม่า เขมร ล้านนา มอญ ลาว และเวียดนาม โดยใช้ต้นฉบับภาษาบาลีอักษรไทยเดิม โดยสร้าง โปรแกรม อินเตอร์เฟซ ให้สามารถแสดงข้อมูลในหลายอักษรของแต่ละภาษาได้ และยังสามารถเทียบเคียงภาษาบาลีอักษรไทย ฉบับสยามรัฐ และฉบับบาลีอักษรโรมันได้อีกด้วย
ในปี พ.ศ.2541 ทางโครงการได้พัฒนาระบบให้เหมาะสมกับประชาชนทั่วไปที่ไม่มีความรู้เชียวชาญด้านภาษาบาลี แต่ปรารถนาจะศึกษาพระไตรปิฎก โดยการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ ชุดภาษาไทย พร้อมกับระบบสืบค้น ภายใต้ชื่อว่า BUDSIR/TT (Buddhist Scriptures Information Retrieval For Thai Translation)
การพัฒนา BUDSIR/TT ในยุคต่อมา ได้มีการรวมเอาข้อมูลพระไตรปิฎก และอรรถกถา โดยใช้พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง 45 เล่ม ที่แปลแล้วมาบันทึกลงในคอมพิวเตอร์ และสร้างกลไกการสืบค้น (Search Engine) สำหรับภาษาไทย สามารถสืบค้นคำศัพท์ ชื่อคน สถานที่ ประโยค หรือข้อความบางส่วน ในพระไตรปิฎกภาษาไทยทั้ง 45 เล่มได้ นอกจากนั้น ยังสามารถแสดงผลเทียบเคียงข้อความในฉบับแปลภาษาไทย กับฉบับภาษาบาลีอักษรไทยได้อีกด้วย และยังสามารถแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรไทย มาเป็นชุดภาษาบาลีอักษรโรมันได้อย่างสมบูรณ์
ในปี พ.ศ.2543 โครงการพัฒนา ฯ ได้พัฒนาระบบของโปรแกรม BUDSIR ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ในชื่อว่า BUDSIR /TT V.2 โดยการนำเอาระบบคณิตศาสตร์ประยุต คือ Boolean Operators ซึ่งเคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง ในรุ่นที่ใช้บน ระบบ Dos และได้ทำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยสามารถค้นหาคำในพระไตรปิฎก ภาษาบาลี อักษรไทย และฉบับแปลภาษาไทย และฉบับอรรถกถาภาษาบาลี โดยใช้ระบบค้นหา โดยกำหนดเงื่อนไข คือ AND, OR, NOT เช่น การค้นหาคำว่าโกณทัญญะ ให้มีคำว่า ดวงตาเห็นธรรม อยู่ในหน้า หรือเล่มเดียวกัน ให้ค้นโดยกำหนดเงื่อนไข ว่า โกณทัญญะ AND ดวงตาเห็นธรรม
การค้นหาเฉพาะคำใดคำหนึ่ง ในสองคำ เช่น หาคำว่า โลกุตตระ หรือโลกิยะ คำใดคำหนึ่ง ให้ค้นโดยกำหนดเงื่อนไขว่า โลกุตตระ OR โลกิยะ
การค้นหาโดยกำหนดให้มีคำศัพท์แรก แต่ไม่มีคำศัพท์หลัง เช่นจะค้นคำว่า ” อาพาธ ” โดยไม่มี ” พระภิกษุ ” ให้ใช้คำสั่งค้นว่า อาพาธ NOT ภิกษุ
นอกจากนั้น ยังเพิ่มเติมเกี่ยวกับพจนานุกรมภาษาบาลี ไทย และ ภาพชุดพระพุทธประวัติ ภาพพุทธสังเวชนียสถาน เวสสันดรชาดก ภาพชุดพุทธชัยมงคลคาถา โดยมีคำอธิบายแต่ละภาพโดยย่อ และยังสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาในภาพ ที่เกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกได้อีกด้วย ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับพระไตรปิฎก CD-ROM BUDSIR นี้ ได้ที่ http://www.mahidol.ac.th/budsir/budsir-main.html” (อ้างอิงจาก http://www.mahidol.ac.th/ budsir/budsir-main.html, 27/05/47)
ทรงได้รับการยกย่องเป็น “ มหาราชนักคอมพิวเตอร์ ” ในด้านการใช้เครื่องคณิตกรณ์นี้ อาจกล่าวได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่แนวหน้าของกลุ่ม ที่ตามทันการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ทรงเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี เป็นผู้นำที่ไม่กลัวความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีความพร้อมที่จะทดลองประเมินคุณค่า กล้าลองใช้ด้วยตนเอง และแนะนำให้คนอื่นรู้ประโยชน์และโทษภัยของเทคโนโลยีนั้นๆ ได้ด้วยสายพระเนตรที่เป็นธรรมและทรงเห็นการณ์ไกล นับเป็นโชคดีที่วิเศษที่สุดของชาวไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้นำในด้านต่างๆ ดังกล่าวอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การที่ทรงศึกษาและใช้คณิตกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ดี ทรงใช้เครื่องคณิตกรณ์สำหรับจัดทำและบันทึกโน้ตเพลงก็ดี ทรงคิดค้นสร้างชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ด้วยพระองค์เองก็ดี ทรงประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรไทยที่มีลักษณะงดงามเพื่อแสดงผลบนจอภาพคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ก็ดี ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกพระราชกรณียกิจต่างๆ ก็ดี
ทรงติดตั้งเครือข่ายสื่อสารคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนพระราชภารกิจด้านต่างๆ ก็ดี ทรงประดิษฐ์ ส.ค.ส. ด้วยคอมพิวเตอร์แล้วทรงเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนเพื่อทรงอวยพรแก่ปวงชนชาวไทยก็ดี และทรงสนับสนุนการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ก็ดี สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานสนับสนุนที่มากเกินพอว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคู่ควรกับพระราชสมัญญานาม ที่พสกนิกรไทยทั้งหลายพร้อมใจกันน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายว่า “ มหาราชนักคอมพิวเตอร์ ” โดยแท้ (ชำนาญ รอดเหตุภัย, 2545 : 100-107)
2. พระอัจฉริยภาพด้านอุตสาหกรรม อันได้แก่ โครงการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระปรีชาสามารถด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลทรงเล็งเห็นกาลภายหน้า ทรงมีพระราชดำริว่าสมควรนำแนวทางด้านอุตสาหกรรมมาผสมผสาน หนุนแนวปฏิบัติในด้านการพัฒนาทางการเกษตรควบคู่กันไป เพื่อจะได้ไม่มีการหยุดชะงักของการผลิตเพื่อการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกัน การนำวิทยาการสมัยใหม่ทางด้านวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับภูมิปัญญาไทย เป็นสิ่งที่เหมาะสมและสามารถทำได้ จึงเป็นที่มาของโครงการต่างๆ เป็นจำนวนมาก อาทิ
2.1 โครงการเพื่อการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและเพิ่มผลผลิต : โครงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
เป็นโครงการหนึ่งที่จะช่วยให้เกษตรกรสามารถผลิตพืชผลต่างๆ ได้รวดเร็วและมีคุณภาพ หม่อมหลวงทวีสันต์ ลดาวัลย์ (2530 : 19) ได้แสดงปาฐกถาพิเศษที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยความว่า

“ โครงการที่สำคัญอันหนึ่ง และก็รู้สึกค่อนข้างจะใหม่ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2528 คือ โครงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นวิทยาการสมัยใหม่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Plant Tissue Culture เป็นโครงการทดลองตามพระราชดำริ ที่จะอนุรักษ์พันธุ์ไม้ที่ไม่สามารถใช้วิธีเพาะเม็ด ติดตาหรือต่อกิ่งได้ วิธีการนี้เรียกว่า การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช โดยนำเซลล์เนื้อเยื่อพืชมาเพาะเลี้ยงในอาหารหรือพืช ปรับสูตรจนพืชสามารถงอกงามลำต้นออกมา จนนำไปปลูกได้และไม่กลายพันธุ์ เมื่อทดลองได้แล้ว โปรดเกล้าฯ ให้ทำการเพาะเลี้ยงเยื่อของพันธุ์ไม้ที่เคยมีแต่โบราณ ได้แก่
(1) ต้นขนุน ซึ่งได้ทราบว่าปลูกมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3 (สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ต้นขนุนนี้ปลูกอยู่ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง เป็นขนุนเนื้อหนาถึง 1 เซนติเมตร รสหวานสนิท แม้กระทั่งซังก็ว่ารับประทานได้หมดเลย ต้นขนุนนี้ไม่สามารถนำไปเพาะพันธุ์ได้ด้วยวิธีอื่น ก็ใช้วิธีที่เรียกว่าเพาะพันธุ์เนื้อเยื่อพืช

สมอไทย
(Myrobalan Wood)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Terminalia chebula Retz.
มณฑา
(Magnolita)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Talauma candollei
(2) ต้นสมอไทยที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงปลูกที่พระที่นั่งอัมพรสถาน มีผลใหญ่ไม่ฝาด ต้นไม้ทั้งสองต้นนี้คือทั้งขนุนและต้นสมอ มีอายุเกือบร้อยปี นอกจากนั้นโครงการได้ทำการทดลอง เพาะเลี้ยงพืชต่างๆ ในวังหลวง เช่น ต้นมณฑา ต้นพุด สำหรับนำดอกมาร้อยมาลัย ซึ่งคุณสมบัติพิเศษ คือ ก้านยาว และทิ้งไว้ 2-3 วัน ก้านยังสดไม่เปลี่ยนสี ”

ยางนา (Yang)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dipterocarpus alatus Roxb .
(3) ทรงพยายามปกป้องยางนาที่มีแนวโน้มจะสูญพันธุ์จากถิ่นที่อยู่อาศัยเดิมคือ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี จึงทรงเก็บเมล็ดไปเพาะบนพระตำหนักเปี่ยมสุข และทรงปลูกด้วยพระองค์เองในแปลงทดลองป่าสาธิตใกล้พระตำหนักเรือนต้น สวนจิตรลดา ปัจจุบันป่ายางนาในสวนจิตรลดา เป็นป่าไม้อันร่มรื่นคล้ายป่าธรรมชาติทุกประการ และเป็นสวนรวมพันธุ์นอกถิ่นของพรรณไม้ที่มีคุณค่าบางชนิด ของโครงการส่วนพระองค์ นอกจากนี้มีพรรณไม้จากทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อให้เป็นที่ศึกษาพรรณไม้ของนิสิตนักศึกษาแทนที่จะต้องเดินทางไปทั่วประเทศ
(4) ทรงให้ใช้เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเพื่อขยายพันธุ์และเก็บรักษาพันธุ์พืชเอกลักษณ์ ไม่ให้สูญพันธุ์และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคต เช่น ยี่หุบ และหวายชนิดต่างๆ ให้ทำการทดลองปลูกหวายในป่ายางนา สวนจิตรลดา และในศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ (หนังสือ 50 ปี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ : 42)
ทั้งนี้แสดงให้เห็นพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในการนำเทคโนโลยีแผนใหม่มาประยุกต์ใช้เพื่ออนุรักษ์พืชผลไม้ที่กำลังจะสูญพันธุ์ไป นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าฯ ที่ทรงใช้วิธีการสาธิตเป็นวิธีการให้ความรู้เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึง คุณค่าของทรัพยากรที่มีอยู่ในแผ่นดิน และสามารถก้าวทันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม
2.2 โครงการด้านการบริหารหรือการจัดการด้านแหล่งน้ำและ / หรือการเกษตร “ ทฤษฎีใหม่ ”
ทฤษฎีใหม่ : เศรษฐกิจพอเพียง จากหนังสือ “ ในหลวง ช่างใหญ่ของแผ่นดิน ” ซึ่งจัดพิมพ์โดยวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (2543 : 72-78) เขียนไว้ดังนี้

“ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัส เกี่ยวกับทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงดังนี้ (2543 : 72) … ทฤษฎีใหม่มีไว้ป้องกันความขาดแคลน ในยามปกติก็จะทำให้ร่ำรวยมากขึ้น ในยามที่มีทุกข์ภัยก็สามารถที่จะฟื้นตัวได้รวดเร็ว ทำให้ประชาชนมีโอกาสพึ่งตนเองได้อย่างดี โดยไม่ต้องให้ราชการไปช่วยมากเกินไป ฉะนั้นจึงได้สนับสนุนให้มีการปฏิบัติตามทฤษฎีใหม่ …”
“ ทฤษฎีใหม่ ” นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริเมื่อ พ.ศ.2535 เป็นทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับการจัดการที่ดินและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง พระราชดำรัส “ น้ำคือชีวิต ” คือที่มาของทฤษฎีใหม่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เพราะทรงตระหนักว่าอุปสรรคสำคัญในการประกอบอาชีพของเกษตรกร คือ ปัญหาการขาดแคลนน้ำ แม้จะมีฝนตกเพียงพอแต่ไม่มี แหล่งรองรับน้ำ ไว้ใช้ในการเกษตร จึงได้พระราชทานแนวพระราชดำริว่า “ วิธีแก้ไขคือต้อง รับน้ำฝนที่ตกลงมา ”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงทดลองทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับ การจัดการที่ดินและแหล่งน้ำ เพื่อการเกษตรสำหรับเกษตรกรเจ้าของที่ดินจำนวนน้อย คือ 5-15 ไร่ ณ วัดมงคลชัยพัฒนา ตำบลห้วยบง อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ทรงซื้อที่ดินด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อใช้ในการทดลอง โดยมีมูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการงาน ร่วมกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ทดลอง การเกษตรแบบผสมผสานและขุดสระในพื้นที่เพื่อการเพาะปลูก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงกำหนดให้แบ่งที่ดิน (ประมาณ 15 ไร่) ออกเป็น 3 ส่วน เพื่อใช้ประโยชน์ดังนี้
1. เนื้อที่เฉลี่ย 3 ไร่ (เท่ากับ 30 %) สำหรับขุดเป็นสระใช้กักเก็บน้ำ (หากลึก 4 เมตรจะกักน้ำได้ประมาณ 10,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร) สามารถใช้เลี้ยงปลา และปลูกพืชน้ำตลอดจนกำหนดให้มีการปลูกหญ้าแฝกบริเวณขอบสระน้ำและปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยพืชสด รอบสระปลูกไม้ดอกไม้ประดับ และพืชผักอายุยาว อายุสั้น
2. พื้นที่ 5 ไร่ ใช้ปลูกข้าว อีก 5 ไร่ ปลูกไม้ผลพันธุ์ดี และพืชไร่
2.1 ปลูกพืชสวน จะปลูกไม้ผลหลักที่มีอายุยาว (กระท้อน ขนุน มะม่วง) ไม้ผลรองที่ให้ผลผลิตภายใน 1-2 ปี (ฝรั่ง น้อยหน่า กล้วย) ปลูกแซมระหว่างต้นไม้หลัก
2.2 การปลูกพืชไร่ จะเน้นการปลูกพืชไร่ในฤดูแล้งหลังการทำนา ได้แก่ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ผักสด ข้าวโพดฝักสด โดยอาศัยน้ำจากสระเมื่อจำเป็น
3. สำหรับพื้นที่อีก 1 ไร่ (10%) จะทำเป็นที่อยู่อาศัย มีถนนคันคูดินหรือคูคลอง ตลอดจนปลูกพืชผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์
หลักการของทฤษฎีนี้ก็คือ “ การผสมผสาน ” ให้ราษฎรใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเกิดประโยชน์ที่สุด เพื่อให้พึ่งพาตนเองได้และมีการกระจายความเสี่ยง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางแนวคิดว่าควรจะปลูกข้าวและปลูกพืขไร่หรือพืชสวนอื่นๆ ผสมผสานกัน เพื่อที่ราษฎรจะได้ข้าวไว้บริโภคในครัวเรือนตลอดปี และหากมีมาก จะได้ขายทำกำไรได้ ส่วนพืชผักผลไม้นั้น หากได้ผลดีจะเป็นรายได้เสริมเพียงพอสำหรับครอบครัวที่ขยันใช้จ่ายอย่างประหยัด แม้จะไม่ร่ำรวยมากแต่ก็ไม่อดยาก อันเป็นหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง
พระอัจฉริยภาพของพระองค์ก็คือ ไม่ทรงกำหนดให้ปลูกพืชอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงชนิดเดียว อย่างที่เคยปฏิบัติมา และทรงให้สละที่ดินขุดเป็นสระน้ำขึ้น และการสละที่ดินนี้เอง นำมาซึ่งน้ำอันเป็นพื้นฐานให้มีรายได้และประสบความสำเร็จในการเลี้ยงชีวิต
นอกจากจะทรงกำหนดเรื่องการแบ่งพื้นที่ที่ดินแล้ว ยังทรง วางแผนพัฒนาตนเอง ให้แก่เกษตรกรเป็นขั้นๆ ด้วย กล่าวคือ
ขั้นแรก ทรงให้เกษตรกรรู้จักและเข้าใจการจัดการที่ดินเพื่อผลิตอาหารพึ่งตนเองด้วยวิธีการง่ายๆ ค่อยเป็นค่อยไปตามกำลัง พออยู่พอกิน ไม่ร่ำรวยมาก แต่ก็ไม่อดอยาก
ขั้นที่สอง ทรงให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันภายในชุมชน เช่น สหกรณ์ เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันผลิตและจำหน่าย ปรับปรุงสังคมและสภาพความเป็นอยู่ ไปจนถึงการศึกษาและศาสนา เพื่อเตรียมความพร้อมภายในชุมชนให้เข้มแข็ง
ขั้นที่สาม ทรงให้ชุมชนนั้นเปิดออกสู่สังคมภายนอก รับความช่วยเหลือจากฝ่ายต่างๆ ต่อรองผลประโยชน์กับแหล่งการเงินและแหล่งพลังงาน เพื่อเรียนรู้การดำเนินกิจการให้ก้าวหน้า เช่น ตั้งและบริหารโรงสี สหกรณ์ และร้านค้าของชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพของชุมชนให้สูงขึ้น
ด้วยวิธีการเหล่านี้ เกษตรกรที่ยากจนก็จะพอมีพอกิน และอยู่ได้ด้วยตนเอง เกิดความสามัคคีในกลุ่มชุมชน และกลายเป็นชุมชนที่แข็งแกร่ง มีอำนาจต่อรองจนสามารถขยายเศรษฐกิจภายในชุมชนออกไปสู่ตลาดภายนอก นำความเจริญมาสู่ชุมชนได้ และไม่ต้องเดินทางทิ้งถิ่นฐาน ทิ้งที่ดินเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ เป็นการช่วยลดปัญหาความแออัดและความเสื่อมโทรมของเมืองใหญ่ลงได้
นอกจากนี้ เมื่อเกษตรกรมีรายได้และผลผลิตที่เลี้ยงตนเองได้ พึ่งตนเองได้ จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมั่นคงขึ้น เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด ตามรูปแบบหรือตามหลังประเทศตะวันตก ดังที่เคยยึดถือปฏิบัติมาจนประเทศประสบปัญหา
ท้ายที่สุด ทฤษฎีใหม่นี้ยังสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างกว้างขวาง เพราะเป็นแนวคิดที่เป็นแรงบันดาลใจกระตุ้นให้ผู้ยากไร้มีพลัง เข้าใจถึงความเป็นจริง ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา ผู้ปฏิบัติสามารถมีความสุขได้ตามอัตภาพและเข้าใจถึงหลักสันโดษ เป็นทฤษฎีมีรากฐานอยู่บนเมตตาธรรมและจริยธรรมของการให้ความพอดี และความพอเพียง
“… ทฤษฎีใหม่ … ยืดหยุ่นได้ และต้องยืดหยุ่น เหมือนชีวิตของเราทุกคน ต้องมียืดหยุ่น ”
จะเห็นได้ว่าการดำเนินการตามแนวพระราชดำริเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่นี้ไม่ยาก แต่มีข้อที่ควรระมัดระวังดังที่เขียนแนะนำไว้ ในวารสารมูลนิธิชัยพัฒนา (เมษายน. 2537 : 28) คือ
“… จะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและศึกษาสภาพภูมิประเทศให้ถ่องแท้เสียก่อน เช่น สระน้ำจะเก็บน้ำได้หรือไม่ ต้องหาวิธีแก้ไขหากมีปัญหาค่าใช้จ่ายในการขุดสระต้องช่วยเหลือร่วมกันทั้งทางราชการ มูลนิธิต่างๆ และเอกชน เพราะชาวบ้านคงจะแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงนี้ลำบาก และที่สำคัญที่สุดก็คือ ทฤษฎีใหม่จะได้ผลเต็มที่ และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน ก็คือ เมื่อมีระบบใหญ่ คือ อ่างเก็บน้ำใหญ่ และอ่างเก็บน้ำเล็ก มาประกอบเข้ากับระบบสระในแปลงเกษตร เมื่อทำในรูปแบบพระราชทานนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นการประหยัด และเป็นการใช้น้ำโดยประโยชน์สูงสุดในภาคเกษตร …”
“ ทฤษฎีใหม่ ” นี้มีลักษณะเป็นสัจธรรมที่ใครก็ตามสามารถนำไปใช้ได้ และเกิดผลได้ตามที่ผู้นั้นประพฤติปฏิบัติ แสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของไทยนั้น ทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกล และทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์เสมอมา ทรงพยายามคิดค้นวิธีที่จะทรงช่วยให้ข้าแผ่นดินของพระองค์ทุกคนมีความทุกข์ในชีวิต ลดน้อยลงเท่าที่จะเป็นไปได้ หากรู้จักคำว่า “ เพียงพอ ” และมีความขยัน มานะ อดทน เจริญรอยตามพระราชดำรัสที่พระราชทานด้วยพระเมตตา นับเป็นบุญยิ่งแล้วที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย
2.3 โครงการด้านพลังงานทดแทน : การใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์แทนน้ำมันดีเซล
ทุกวันนี้ทั่วโลกกำลังวิตกกับปัญหาพลังงานที่นับวันราคาน้ำมันจะยิ่งถีบตัวสูงขึ้น เรื่อยๆ แทบทุกประเทศเริ่มทำวิจัยหา “ พลังงานทดแทน ” ในรูปแบบต่างๆ สำหรับประเทศไทยได้มีการคิดค้นพลังงานทดแทนในหลายรูปแบบ เช่น เอทานอล ก๊าซโซฮอล์ และไบโอดีเซล สำหรับไบโอดีเซลนี้ผลิตได้จากพืชน้ำมันหลายชนิด เช่น ปาล์ม มะพร้าว ละหุ่ง ทานตะวัน ฯลฯ
สำหรับไบโอดีเซลที่ผลิตได้ในประเทศไทยในปัจจุบัน (พ.ศ.2544) มี 2 แบบ คือ แบบพื้นบ้าน และแบบอุตสาหกรรม

การผลิตน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์
ก. แบบพื้นบ้าน ผลิตโดยเกษตรกรในบางชุมชน เพื่อใช้กับเครื่องจักรทางการเกษตร ช่วยลดต้นทุนการใช้จ่าย และสามารถนำวัตถุดิบในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ มีการตั้งโรงสกัดน้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์มขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพื่อผลิตไบโอดีเซลภูมิปัญญาชาวบ้านออกจำหน่าย ทั้งนี้เนื่องจากเกิดวิกฤติราคามะพร้าวตกต่ำสุดขีดใน พ.ศ.2542 กลุ่มเกษตรกรสวนมะพร้าวอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงคิดผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ผสมกับน้ำมันก๊าด สามารถผลิตน้ำมันจำหน่ายได้วันละประมาณสี่หมื่นลิตร
ข . แบบอุตสาหกรรม ต้องใช้กรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์แยกไบโอดีเซลที่เป็นเอสเทอร์ออกมาจากน้ำมันพืช กรรมวิธีนี้เข้าเกณฑ์มาตรฐานยุโรปและสหรัฐอเมริกา เป็นที่ยอมรับของบริษัทรถยนต์
ในคำอธิบายเพื่อขอจดทะเบียนสิทธิบัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ระบุว่าสามารถใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์อย่างเดียว หรือใช้ในรูปการผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์กับน้ำมันดีเซลทุกอัตราส่วนเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ดีเซลได้ และสามารถเพิ่มกำลังให้กับเครื่องยนต์โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ อีกทั้งระบบส่งน้ำมันไม่ต้องติดตั้งเครื่องกรองและอุปกรณ์จำกัดไอเสีย
นายสันติ รัตนสุวรรณ รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์กล่าว (4 พฤษภาคม 2544 : 1, 28) ว่า
“… ปัญหาเกี่ยวกับน้ำมันดีเซลมีหลายด้าน เช่น ต้องนำเข้าจากต่างประเทศในราคาสูง และก่อให้เกิดมลภาวะที่ทำลายสุขภาพของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เกิดควันดำและก๊าซพิษที่มองไม่เห็น ทำลายปอด ก่อมะเร็ง เพิ่มต้นทุนการใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดีเซลแต่ละครั้งจะมีผลกระทบต่อราคาสินค้าอื่นๆ ที่ต้องปรับตามด้วย ซึ่งจากปัญหานานัปการเหล่านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงแสดงพระอัจริยภาพ โดยการทดลองดังกล่าว ทรงพบว่าน้ำมันปาล์มมีศักยภาพใช้แทนน้ำมันดีเซลได้
ซึ่งการขอจดสิทธิบัตรนี้ สำนักข่าวบีบีซีออนไลน์ของประเทศอังกฤษได้รายงานข่าวไปทั่วโลกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งประเทศไทยทรงยื่นขอจดสิทธิบัตรการใช้ปาล์มบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 มิถุนายน (2544 : 7) ได้ลงข่าวเกี่ยวกับ “ เชื้อเพลิงดีเซลจากน้ำมันพืช ” ว่า “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยื่นขอจดสิทธิบัตร เรื่องการใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2544 และกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตรแล้วเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2544
ในคำขอสิทธิบัตรดังกล่าวระบุว่า การประดิษฐ์นี้เกิดขึ้นจากผลที่ได้ศึกษาที่จะแก้ไขทำให้เขม่า และสารพิษในไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซลลดลงได้ถึง 4 เท่า คือ 33% (เท่าที่ได้จากการทดลอง) โดยเปรียบเทียบกับการใช้น้ำมันดีเซลธรรมดา การใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เป็นเชื้อเพลิงเพราะว่าน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ก่อให้เกิดมลภาวะน้อยมาก เพราะไม่มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบจึงไม่ก่อให้เกิดฝนกรด เป็นสารทางชีวภาพสลายตัวได้ง่าย ไม่เป็นสารไวไฟอันตราย (จุดวาบไฟอยู่ที่ประมาณ 170 องศาเซลเซียส) มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นสูง ไม่ต้องใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุบระบบการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังไม่ต้องใช้เครื่องกรองและกำจัดไอเสีย ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ของเครื่องยนต์และระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มพลังให้กับเครื่องยนต์โดยไม่ต้องติดตั้งเครื่องอัดอากาศ (Turbo) ดังนั้นการใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง คือทางเลือกหนึ่งเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรเมื่อราคาพืชผลตกต่ำ อีกทั้งปาล์มเป็นพืชที่สามารถปลูกทดแทน และเพิ่มจำนวนได้รวดเร็ว ”
3. พระอัจฉริยภาพด้านคมนาคมขนส่ง
โครงการด้านคมนาคมขนส่ง : โครงการแก้ไขปัญหาจราจรเพื่อชาว กทม. และปริมณฑล
ปัญหาที่หนักหนาสาหัสของคนเมืองใหญ่เช่น กรุงเทพมหานครก็คือ ปัญหาการจราจรที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงตระหนักถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี มิได้ทรงลืมห่วงใยชาวกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีความทุกข์ด้วยปัญหาที่แตกต่างออกไปจากชาวชนบท ทรงมีพระราชดำริถึงหลักการที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการสร้างถนนสายหลัก ที่จะผ่อนคลายปัญหาการจราจรที่เกิดขึ้นให้เบาลง ด้วยหลักการที่จะกำหนดบริเวณการใช้ประโยชน์ในที่ดิน เพื่อกิจการต่างๆ ขึ้นไว้ให้สัมพันธ์กัน โดยมีโครงการระบบถนนเป็นเส้นทางคมนาคมที่สอดประสานกัน ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่าการจัดถนนให้มีลักษณะเป็นวงรอบเพื่อให้ยวดยานวิ่งสะดวกรวดเร็ว และไม่ผ่านบริเวณที่มีการจราจรติดขัดตามบริเวณกลางเมือง จะเป็นหนทางที่จะช่วยแก้ปัญหาจราจรติดขัดได้
โครงการที่เกิดจากแนวพระราชดำริ และพระราชวินิจฉัย ในการแก้ปัญหาจราจรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีดังนี้
3.1 โครงการข่ายถนนวงแหวนรัชดาภิเษก เป็นโครงการเริ่มเมื่อ พ.ศ.2514 เพื่อ เป็นของขวัญแก่ประชาชนในวโรกาสที่ครองราชย์ครบ 25 ปี เสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2536 ใช้เวลาก่อสร้าง 23 ปี เป็นโครงการแรกที่เกิดจากแนวพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาจราจรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่เมื่อครั้งการจราจรยังไม่เกิดวิกฤต อย่างเช่นปัจจุบันนี้
“… โครงการนี้ทำมาตั้ง 23 ปี จึงสำเร็จ ต้องหาทางที่จะแก้ไขต่อไป แล้วอย่าท้อแท้ใจว่า ‘ โอ้ทำเดี๋ยวนี้ มันจะเสร็จอีก 5 ปี ข้างหน้า ‘ จะเสร็จ ถ้าเริ่มวันนี้ ถ้าลงมือทำ คนจะมีกำลังใจ เมื่อคนมีกำลังใจแล้ว คนก็สามารถที่จะทนได้ ทนจราจรคับคั่งนี้ แล้วคนก็จะร่วมมือในงานที่เราทำเพื่อแก้ไขปัญหา …”

ถนนวงแหวนรัชดาภิเษก
ลักษณะโดยทั่วไปของถนนรัชดาภิเษก เป็นถนนวงแหวนหรือวงรอบ และถนนยกระดับ สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการจราจรระหว่างชานเมืองด้านหนึ่งไปสู่ชานเมืองอีกด้านหนึ่ง โดยไม่ต้องผ่านใจกลางเมืองที่มีการจราจรคับคั่งเส้นทางของถนนรัชดาภิเษกเริ่มจากแยกท่าพระ ตัดผ่านถนนตากสิน ข้ามสะพานกรุงเทพฯ ตัดผ่านถนนเจริญกรุง ถนนสาธุประดิษฐ์ ถนนนางลิ้นจี่ บริเวณท่าเรือคลองเตย ผ่านถนนพระรามที่ 4 เข้าไปในที่ดินของโรงงานยาสูบ ผ่านถนนสุขุมวิทไปตามแนวถนนอโศก ผ่านถนนลาดพร้าว ถนนพหลโยธิน ถนนวิภาวดีรังสิต และถนนประชาชื่น ไปตามแนวถนนวงศ์สว่างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไปบรรจบกับถนนจรัญสนิทวงศ์ ไปตามแนวถนนจนถึงสามแยกท่าพระ มีความยาวตลอดสายประมาณ 45 กิโลเมตร โดยใช้เส้นทางเดิมประมาณ 18 กิโลเมตร และเส้นทางใหม่ประมาณ 27 กิโลเมตร
โครงการส่วนสุดท้ายที่ทำให้วงรอบสมบูรณ์คือ โครงการทางแยกต่างระดับรัชดาภิเษก – วิภาวดีรังสิต เป็นแนวแยกชนิด Semi–direction Loop ที่เชื่อมโยงระหว่างถนนวิภาวดีรังสิต ถนนรัชดาภิเษก และถนนกำแพงเพชร 2 ช่วยให้การจราจรเลื่อนไหลไปโดยตลอด โดยที่รถไม่ต้องหยุดรอสัญญาณไฟ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อทางยกระดับนี้รวมถึงช่วงที่จะมีการก่อสร้างเชื่อมต่อในอนาคต เป็นชื่อเดียวกันตลอดสายว่า “ ถนนอุตราภิมุข ” อันมีความหมายว่า “ บ่ายหน้าไปทางทิศเหนือ ”
พระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า ได้พระราชทานให้แก่พสกนิกรชาวไทยถ้วนหน้าและทั่วไทย
3.2 โครงข่ายถนนวงแหวนอุตสาหกรรม

ถนนวงแหวนอุตสาหกรรม
โครงข่ายถนนวงแหวนอุตสาหกรรม เป็นโครงการแก้ไขปัญหาจราจรตามแนวพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความยาวทั้งสิ้น 25 กิโลเมตร มีจุดประสงค์เพื่อรองรับการขนถ่าย ลำเลียงสินค้าระหว่างท่าเรือกรุงเทพ โรงงานอุตสาหกรรมในจังหวัดสมุทรปราการ และภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ โดยไม่ต้องลำเลียงผ่านกลางเมืองกรุงเทพฯ อันจะช่วยแก้ปัญหาจราจรในพื้นที่อุตสาหกรรมทางตอนใต้ ของกรุงเทพฯ ต่อเนื่องไปจนถึงจังหวัดสมุทรปราการได้
โครงข่ายถนนวงแหวนอุตสาหกรรมนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ งานถนน คือ ถนนพระรามที่ 3 ถนนทางรถไฟสายเก่า และถนนปู่เจ้าสมิงพราย และงานสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะเชื่อมโยงถนนพระรามที่ 3 และถนนปู่เจ้าสมิงพรายเข้าด้วยกัน
นอกจากนี้ ยังมีโครงการย่อยอีกโครงการหนึ่งในบริเวณเดียวกัน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานแนวพระราชดำริไว้ว่า “… ให้มีคลองลัดลักษณะชลประทาน ซึ่งจะช่วยระบายน้ำได้ด้วย คือเวลาแม่น้ำเจ้าพระยาไหลลงทะเลจะไหลอ้อมไปไกล แล้วท้ายที่สุดก็กลับมา บริเวณใกล้เคียงกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราตัดคลองลัดตรงนี้ น้ำที่มาจากทางเหนือก็จะไหลลงทะเลได้เร็วขึ้น …”
กรมชลประทานจึงได้รับสนองพระราชดำริไปจัดทำเป็นโครงการก่อสร้างคลองลัดโพธิ์ ที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเป็นคลองระบายน้ำ เร่งให้การระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงที่ไหลผ่านบางกระเจ้า ซึ่งเป็นแนวทางน้ำที่มีลักษณะคล้ายกระเพาะหมูน้ำจึงไหลได้ช้า ให้ไหลลงทะเลได้เร็วขึ้น และป้องกันไม่ให้น้ำทะเลไหลย้อนเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน
กระทรวงคมนาคม ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญชื่อพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เป็นชื่อทางหลวงวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครว่า “ ถนนกาญจนาภิเษก ” และได้เปลี่ยนหมายเลขทางสายดังกล่าวจากหมายเลข 37 เป็นหมายเลข 9 เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและให้เข้าเป็นระบบทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง
3.3 โครงข่ายจตุรทิศตะวันตก – ตะวันออก
เป็นโครงการข่ายจราจรที่ต่อเนื่อง และสมบูรณ์ อยู่ในระหว่างดำเนินการ เป็นโครงข่ายระบบจราจรจากฝั่งตะวันตก ไปสู่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ
ในส่วนของโครงการข่ายนี้ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว คือแนวถนนในทิศตะวันตก – ตะวันออก ซึ่งประกอบด้วยโครงการถนน และสะพานย่อยๆ หลายโครงการเชื่อมต่อกันจากบริเวณถนนตลิ่งชัน – นครชัยศรี เข้าสู่ถนนบรมราชชนนี หรือทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนี ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังทิศตะวันออกของกรุงเทพฯ เข้าสู่บริเวณถนนศรีอยุธยา ถนนอโศกดินแดง (ถนนเลียบบึงมักกะสัน) ถนนเลียบคลองบางกะปิ (ถนนเลียบบึงมักกะสันถึงสี่แยก อ.ส.ม.ท.) ไปจนถึงถนนพระราม 9 (ถนนใต้ทางด่วนระหว่างสี่แยก อ.ส.ม.ท. ถึงถนนพระราม 9)

สะพานพระราม 8
ส่วนสำคัญที่สุดของโครงข่ายจตุรทิศตะวันตก – ตะวันออก ก็คือ “ สะพานพระราม 8 ” ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ ซึ่งเชื่อมต่อกับทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนี บริเวณแยกอรุณอมรินทร์ ผ่านถนนอรุณอมรินทร์ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปบรรจบกับปลายถนนวิสุทธิกษัตริย์ ใกล้กับธนาคารแห่งประเทศไทย สะพานนี้จะแบ่งเบาปริมาณการจราจรจากสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า และสะพานกรุงธนบุรี และช่วยลดความแออัดของการจราจรในโครงข่ายถนนใกล้เคียง ได้แก่ ถนนบรมราชชนนี ถนนสิรินธร ถนนราชวิถี ถนนจรัลสนิทวงศ์ และถนนราชดำเนิน
3.4 โครงการทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ เยี่ยมพระอาการประชวรของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่โรงพยาบาลศิริราชในช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ.2538 และได้ทอดพระเนตรเห็นการจราจรที่ติดขัดเป็นอย่างมาก ที่บริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ต่อเนื่องไปจนถึงถนนบรมราชชนนี จึงได้พระราชทานแนวพระราชดำริให้ก่อสร้างทางคู่ขนานลอยฟ้าจากเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ไปยังบริเวณสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ และในเส้นทางขาออกนั้น “… หากสร้างสะพานยกระดับขาออกให้ยาวเลยไปจากสถานีขนส่งสายใต้จะมีประโยชน์มาก …”

ทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี
จากแนวพระราชดำรินี้ นายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นจึงได้ประชุมร่วมกับกรุงเทพมหานคร เพื่อสนองแนวพระราชดำริ ผลสรุปได้ว่ากรุงเทพมหานคร เป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างทางคู่ขนานลอยฟ้าจากบริเวณแยกอรุณอัมรินทร์ จนถึงคลองบางกอกน้อย ระยะทางประมาณ 3.2 กิโลเมตร และกรมทางหลวง จะเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างจากคลองบางกอกน้อย จนถึงแยกพุทธมณฑลสาย 2 โดยมีรูปแบบสะพาน เสา และคานเป็นลักษณะเดียวกันหมด เป็นระยะทาง 9.4 กิโลเมตร และจากบริเวณทางยกต่างระดับสิรินธรไปจนเลยทางแยกพุทธมณฑลสาย 2 อีก 1 กิโลเมตร นอกจากนี้กรมทางหลวงยังได้ก่อสร้างขยายช่องจราจรระดับพื้นราบจากเต็มที่ มี 8 ช่องจราจรเพิ่มขึ้นเป็น 12 ช่องจราจร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงเห็นชอบตามคำกราบบังคมทูล และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์เริ่มโครงการดังกล่าว เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2539 และได้เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2541 การมีทางคู่ขนานแห่งนี้ช่วยลดปัญหาการจราจรคับคั่งบริเวณนั้นได้อย่างดี ทั้งนี้เพราะพระเมตตา และพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ฯ โดยแท้ (กระทรวงคมนาคม. 2542 : 84-93)
4. พระอัจฉริยภาพด้านโทรคมนาคม
กระทรวงคมนาคม (2542 : 139-159) ได้กล่าวถึงพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ดังนี้

4.1 กรมไปรษณีย์โทรเลขได้น้อมเกล้าฯ ถวายความถี่วิทยุแก่สถานีวิทยุ อ.ส.พระราชวังดุสิต
ในเดือนกันยายน พ.ศ.2495 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน กรมประชาสัมพันธ์ได้น้อมเกล้าฯ ถวายและติดตั้งเครื่องส่งวิทยุคลื่นยาวและคลื่นสั้นกำลังส่ง 100 วัตต์ ออกอากาศด้วยคลื่นสั้นและคลื่นยาวพร้อมๆ กัน ในระบบ เอ.เอ็ม. ซึ่งเป็นสถานีวิทยุเครือข่ายของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยแห่งเดียว ที่กรมไปรษณีย์โทรเลขอนุญาตให้ส่งคลื่นได้ โดยกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นผู้กำหนดความถี่ถวายสำหรับระบบ เอ.เอ็ม. นั้น คลื่นยาวใช้ความถี่ 1332 กิโลเฮิรตซ์ ความยาวคลื่น 225 เมตร และคลื่นสั้นแรกเริ่มใช้ความถี่ 6404 กิโลเฮิรตซ์ ความยาวคลื่น 46.8 เมตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานนามสถานีวิทยุแห่งนี้ว่า “ สถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิต ” ชื่อ อ.ส. ย่อมาจาก “ อัมพรสถาน ” ซึ่งเป็นสถานที่ออกอากาศครั้งแรก ต่อมาในปี พ.ศ.2500 ได้ย้ายสถานีวิทยุแห่งนี้ไปตั้งในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
การส่งกระจายเสียงด้วยระบบคลื่นสั้นนั้น เดิมใช้ความถี่ 6404 กิโลเฮิรตซ์ ต่อมาในปี พ.ศ.2517 มีข้อบังคับวิทยุของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ มาตรา 32 ข้อ 1173 ที่กำหนดให้สถานีฝั่ง (Coast Station) ใช้ความถี่ดังกล่าวในการทำงานวิทยุโทรเลขกับสถานีเรือในกิจการเคลื่อนที่ทางน้ำ (Maritime Mobile Service) โดยเฉพาะกรมไปรษณีย์โทรเลข จึงได้แจ้งให้สถานีวิทยุ อ.ส. เปลี่ยนมาใช้ความถี่คลื่นสั้นที่ 6150 กิโลเฮิรตซ์ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2517
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2526 คณะกรรมการบริหารกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ ได้ตั้งคณะทำงานจัดทำแผนจัดสรรความถี่วิทยุกระจายเสียงระบบ เอ.เอ็ม. แห่งชาติขึ้น คณะทำงานฯ ได้จัดทำแผนจัดสรรความถี่วิทยุกระจายเสียงระบบ เอ.เอ็ม. เพื่อแก้ปัญหาคลื่นถูกรบกวน ตามแผนดังกล่าวสถานีวิทยุ อ.ส. จะต้องเปลี่ยนความถี่จาก 1332 กิโลเฮิรตซ์ เป็น 1341 กิโลเฮิรตซ์ และในปี พ.ศ.2538 ได้พิจารณาปรับปรุงแผนจัดสรรความถี่วิทยุกระจายเสียงระบบ เอ.เอ็ม. แห่งชาติ โดยให้สถานีวิทยุกระจายเสียง อ.ส.พระราชวังดุสิต กลับไปใช้ความถี่ 1332 กิโลเฮิรตซ์ ตามเดิมต่อไป
ทางด้านสถานีวิทยุกระจายเสียง ระบบเอฟ.เอ็ม. กรมประชาสัมพันธ์ได้ดำเนินการขออนุญาตคณะกรรมการบริหารกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กบว.) เพื่อจัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียง เอฟ.เอ็ม กำลังส่ง 10 กิโลวัตต์ ความถี่ 104 MHz เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายให้เป็นของสถานีวิทยุ อ.ส.คณะอนุกรรมการฝ่ายเทคนิค ซึ่งมีอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นประธาน ได้พิจารณาและมีมติน้อมเกล้าฯ ถวายความถี่ 104 MHz กำลังส่ง 10 กิโลวัตต์ ให้เป็นของสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิต ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2525
4.2 ทูลเกล้าฯ ถวายสัญญาณเรียกขาน VR009

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระทัย ในการติดต่อสื่อสารทางวิทยุในเครือข่ายวิทยุสมัครเล่น ทรงทดลองการแพร่กระจายคลื่นวิทยุและการรับสัญญาณด้วยพระองค์เอง ทรงเคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎระเบียบของการติดต่อสื่อสาร ทั้งในแง่ของความถูกต้องของคำพูดติดต่อสื่อสาร และการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล พระองค์จะทรงทักท้วงตักเตือน หากนักวิทยุสมัครเล่นคนใดมิได้ปฏิบัติตามระเบียบ ในขณะเดียวกันก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำแนะนำ คำอธิบายปัญหาเทคนิคด้วยภาษาง่ายๆ ให้หายข้องใจได้ทุกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อกรมไปรษณีย์โทรเลขได้ก่อตั้งชมรมวิทยุอาสาสมัครหรือเรียกชื่อย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า VR (Voluntary Radio) ขึ้น กรมไปรษณีย์โทรเลขจึงได้ทูลเกล้าฯ ถวายสัญญาณเรียกขาน VR009 แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2524 ด้วยรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้
4.3 คณะกรรมการประสานงานการจัดและบริหารความถี่วิทยุแห่งชาติ (กบถ.)
ทูลเกล้าฯ ถวายประกาศนียบัตรพนักงานวิทยุสมัครเล่นชั้นสูงและสัญญาณเรียกขาน HS1A ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2532
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสตอบในโอกาสที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะ เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายประกาศนียบัตรพนักงานวิทยุสมัครเล่นชั้นสูง และสัญญาณเรียกขาน ดังนี้

“ ขอขอบใจท่านที่มาให้พร และนำประกาศนียบัตรพนักงานวิทยุสมัครเล่นชั้นสูง และสัญญาณเรียกขานมาให้ ทำให้ปลื้มใจมาก เพราะถือว่าผู้ที่ทำการในด้านวิทยุสมัครเล่นและวิทยุอาสาต้องได้ปฏิบัติงานมาเป็นเวลานานพอสมควร และเข้าใจถึงเรื่องวิทยุ และวิธีศึกษาได้ดี …
… สำหรับผู้ที่มาเรียนรู้ และมาปฏิบัติเป็นสมัครเล่นคือเป็นผู้อาสาก็จะยิ่งต้องเห็นความสำคัญ เพราะผู้ที่ทำเป็นอาชีพต้องเรียนรู้มาก และต้องมีความสามารถมีความรับผิดชอบมาก ถ้าหากว่าทำผิดพลาดไป ก็จะต้องมีการลงโทษ สำหรับพวกอาสาสมัครพวกสมัครเล่น จะว่าไม่มีการลงโทษก็ไม่ได้ แต่ข้อสำคัญจะต้องรับผิดชอบในตนเองมากที่สุด เพื่อที่จะรักษามาตรฐานเพราะว่าถ้าพูดอะไรไปจะมีผลสะท้อนไปทั่วประเทศ เป็นผลสะท้อนถึงทุกคน ฉะนั้นต้องรู้จักรักษาวินัยของการสื่อสารให้ดี เพื่อที่จะให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ และไม่รบกวนกันและกัน ทั้งไม่ทำให้ความปลอดภัยของส่วนรวมเสียไป …
… ก็ขอขอบใจท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้ และขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในกิจการของตน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของส่วนรวม และขอให้ทุกคนมีพลานามัยแข็งแรง มีจิตใจเข้มแข็ง และมีความสำเร็จทุกประการ ”
4.3.1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ศูนย์สายลม กรมไปรษณีย์โทรเลข
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงใช้วิทยุติดต่อในข่ายวิทยุอาสาสมัครเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2528 และทรงติดต่อทางวิทยุกับศูนย์สายลม กรมไปรษณีย์โทรเลข เพื่อการทดสอบสัญญาณหลายครั้ง ในบางโอกาสได้พระราชทานคำแนะนำทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการปรับแต่งเครื่องรับ – ส่งวิทยุที่มีความสลับซับซ้อน ตลอดจนพระราชทานความรู้เกี่ยวกับสายอากาศ การแพร่กระจายคลื่น ลักษณะการถูกรบกวนของคลื่นวิทยุในข่ายต่างๆ และวิธีการที่จะแก้ไขการรบกวนนั้นด้วย อาทิ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานคำสอนเกี่ยวกับการใช้เครื่องรับ – ส่งวิทยุของศูนย์สายลม เมื่อครั้งที่ศูนย์สายลมได้รับมอบเครื่องรับ – ส่งวิทยุ ตราอักษร YAESU แบบติดตั้งประจำที่รุ่น FT-726R จาก VR241 ประมาณเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2528 และในครั้งนั้น VR241 ได้นำเครื่องวิทยุรุ่นเดียวกันนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้วย จำนวน 1 ชุด เมื่อศูนย์สายลมได้นำเครื่องรับ – ส่งวิทยุเครื่องนี้ใช้งานในศูนย์สายลม พนักงานวิทยุยังไม่สามารถที่จะใช้งานเครื่องวิทยุดังกล่าวซึ่งมีปุ่มปรับต่างๆ มากมายได้อย่างถูกต้อง ทำให้มีการรายงานผลการรับฟังผิดพลาด มีสมาชิกนักวิทยุสมัครเล่นหลายคนได้สอบถามความผิดปกติของเครื่องวิทยุของศูนย์สายลม ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานกระแสรับสั่งมาทางวิทยุในข่ายวิทยุอาสาสมัครในความถี่ช่องเรียกขาน มีใจความดังนี้ “ เครื่องวิทยุของสายลม เป็นเครื่องพี่เครื่องน้องกับของ VR009 ” และแล้วพระองค์ก็พระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้เครื่องวิทยุนั้น เป็นขั้นตอนโดยละเอียด จนกระทั่งพนักงานวิทยุของศูนย์สายลมมีความเข้าใจถึงวิธีการปรับปุ่มต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง
ในการทดสอบสัญญาณครั้งแรก ในปี พ.ศ.2528 กับศูนย์สายลม กรมไปรณีย์โทรเลข พระองค์ทรงตรัสเรียกสายลม “ VR009 ขอเช็คเน็ท ” และเจ้าหน้าที่ศูนย์สายลมได้กราบบังคมทูลว่า “Report สัญญาณของท่าน VR009 59+60 dB 73” นั่นคือวันแห่งความทรงจำของศูนย์สายลม กรมไปรษณีย์โทรเลข และหลังจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ได้ผ่านพ้นไปแล้วด้วยความปลื้มปีติ พระองค์ได้ทรงทดสอบสัญญาณกับศูนย์สายลมอีกหลายครั้ง และเกือบทุกครั้งพระองค์ก็ได้พระราชทานคำแนะนำทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร อาทิ
วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2528 ทรงทดสอบสัญญาณ และทรงสอบถามว่า ศูนย์สายลมมีเสียงรบกวนมากหรือไม่ เจ้าหน้าที่กราบบังคับทูลว่า บางครั้งศูนย์สายลมรับสัญญาณ QR Nancy ได้ถึง 55 dB ทำให้ไม่สามารถรับสัญญาณของสมาชิกได้ ทรงพระราชทานคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาการรบกวนด้วยการใส่ Cavity
นอกจากนี้ทรงสอบถามเรื่องการรบกวนจากคลื่นวิทยุกระจายเสียง (Jamming) เนื่องจากทรงได้ยินเสียงเพลง และทรงเข้าใจว่าเข้าทาง Audio ของสายลม เจ้าหน้าที่ศูนย์สายลมได้กราบบังคมทูลว่าได้พยายามหาสาเหตุ แล้วเข้าใจว่า Ground ของเครื่องวิทยุคงลงไม่ดี แต่ก็ไม่ทราบว่าเกิดการ Modulation (การผสมคลื่น) ที่ตรงไหน พระองค์ได้พระราชทานคำแนะนำว่าเกิดการ Modulation เข้าทางสาย Microphone ถ้าทำ Ground ให้ดีขึ้นอาจจะลดลงไป
หรือมิฉะนั้นอาจจะต้องทำ Low-pass Filter แต่ถ้ายังไงถ้าลองถอดสาย Microphone มาล้างแล้วเช็ดใส่กลับเข้าไปใหม่ก็อาจค่อยยังชั่ว หรือมิฉะนั้นจะต้องใส่ Circuit ป้องกัน ซึ่งก็สามารถแก้ไขเรื่องการรบกวนจากคลื่นวิทยุกระจายเสียงได้ ด้วยพระปรีชาญาณ ได้ทรงบัญญัติศัพท์การรบกวนที่เกิดจากการผสมคลื่นระหว่างกัน (Intermodulation) ว่า “Radio Pollution” ( พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์ . http://www.dabos.or.th//ro3.html 28/11/44)
วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2528 ทรงพระราชทานคำแนะนำการป้องกันฟ้าผ่า
วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2528 เวลา 02.30 น . คืนนั้น VR969 และ VR938 ออกไปช่วยรถของสมาชิกที่จอดแช่น้ำท่วมอยู่ ทรงติดต่อเข้าไปพระราชทานกำลังใจและแนะนำทางกลับบ้าน
วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2528 ขณะที่ทรงพระราชทานคำแนะนำการใช้ เครื่องวิทยุคมนาคมแบบติดตั้งประจำที่ YAESU FT-726R มีผู้กดคีย์ว่างอยู่นานประมาณเกือบ 25 วินาที ทรงสอบถามว่าสายลมกดคีย์หรือเปล่า และเมื่อทรงทราบว่าไม่ใช่สัญญาณของศูนย์สายลม ก็ได้พระราชทานการ Report สัญญาณว่า “ ผู้กดคีย์ว่างเข้ามานั้นสัญญาณเบี่ยงไปลบจุดหนึ่ง ” และทรงตรัสว่า “ คงเพราะเราผูกขาดความถี่มานานพอสมควร คนอื่นอยากเข้ามา ถ้าเข้ามาก็เชิญ VR009 เคลียร์ไม่ต้อง Break ”
4.3.2 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานความช่วยเหลือแก่ข้าราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข เมื่อครั้งการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 13 (ระหว่างวันที่ 8-17 ธันวาคม พ . ศ . 2528) ในครั้งนั้นกรมไปรษณีย์โทรเลขได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการจัดการแข่งขันให้รับผิดชอบ เกี่ยวกับระบบการติดต่อสื่อสารสำหรับการประสานงานของคณะกรรมการสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการแข่งขันกีฬาซีเกมส์จำเป็นต้องใช้สนามแข่งขันจำนวนหลายสนาม รวมทั้งสนามที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด เช่น จังหวัดชลบุรี จัดแข่งเรือใบ เส้นทางชลบุรี – ระยอง จัดแข่งจักรยานทางไกล เป็นต้น
ดังนั้น ในการเตรียมข่ายวิทยุสื่อสารที่จะให้คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้ใช้ในระยะไกลอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องใช้เครื่องวิทยุถ่ายทอดสัญญาณ (Repeater) เมื่อพิจารณาตกลงใจที่จะนำเครื่องวิทยุถ่ายทอดสัญญาณมาใช้งาน ก็เริ่มต้นสำรวจจุดที่ตั้งสถานีถ่ายทอดสัญญาณ จัดหาเครื่องถ่ายทอดสัญญาณ สถานที่ติดตั้งเครื่องถ่ายทอดสัญญาณ ทั้งนี้ โดยขอความร่วมมือจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตขอใช้สถานที่ของสถานีถ่ายทอดสัญญาณที่ยอดเขาฉลาก อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และได้ดำเนินการติดตั้งก่อนถึงกำหนดการแข่งขันเล็กน้อย
ผลการทดลองปรากฏว่าเกิดปัญหา เครื่องถ่ายทอดสัญญาณไม่สามารถทำงานได้ตามปกติที่ได้เคยทดลองมา มีสัญญาณรบกวนทำให้เครื่องถ่ายทอดสัญญาณบางครั้งก็ทำงาน บางครั้งก็ไม่ทำงาน นายมนัส ทรงแสง ข้าราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข ผู้รับผิดชอบในการจัดหาเครื่องมือสื่อสาร และติดตั้งระบบจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาในเรื่องการรบกวนให้หายไปโดยเร็ว และต้องให้เครื่องถ่ายทอดสัญญาณทำงาน มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดความเสียหายกับการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ซึ่งประเทศไทย ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพได้ จึงพยายามหาทางแก้ไขอยู่เป็นเวลานาน
ในที่สุดขณะที่กำลังทำการทดลองรับสัญญาณกันอยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงติดต่อเข้ามาในช่องความถี่ที่กำลังทดลอง และทรงสอบถามถึงรายละเอียดต่างๆ เช่น ความถี่ที่ใช้ด้านส่งและด้านรับของเครื่องวิทยุถ่ายทอดสัญญาณ ระบบสายอากาศที่ใช้เป็นแบบใด ลักษณะการแพร่กระจายคลื่นเป็นเช่นไร การติดตั้งกระทำในลักษณะใด รวมทั้งวงจร กรองคลื่นที่นำมาใช้งานมีหรือไม่
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำแนะนำ ตั้งแต่ความถี่ของเครื่องถ่ายทอดสัญญาณในย่านความถี่ VHF และ UHF ความถี่ที่เหมาะสมควรจะใช้อย่างไร การติดตั้งสายอากาศควรติดอย่างไรจึงจะใช้งานได้ดี ได้ทรงพระราชทานคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน จนกระทั่งเครื่องวิทยุที่ใช้ถ่ายทอดสัญญาณสามารถใช้งานได้ นับว่าทรงพระปรีชาสามารถสูงยิ่ง และเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นแก่เจ้าหน้าที่กรมไปรษณีย์โทรเลข
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2526 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชโองการเนื่องในโอกาสวันครบรอบ 100 ปี กรมไปรษณีย์โทรเลข จากการปรุด้วยเครื่องเทเล็กซ์ด้วยพระองค์เอง
พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางด้านพระราชอัจฉริยภาพเกี่ยวกับกิจการเทเล็กซ์ (http://www.dabos.or.th/ro2.html 28/11/44) ไว้ดังนี้
“… เครื่องเทเล็กซ์ที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรุ่นแรกเป็นเครื่องผลิตโดยบริษัท SIEMENS AG ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันนี มีแป้นพิมพ์เป็นอักษรทั้งไทยและอังกฤษ สามารถติดต่อกับหน่วยงานที่สำคัญทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศได้โดยตรง
… เมื่อมีเหตุภัยพิบัติที่จะเป็นผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเสียหาย หรือในยามปกติที่มีข่าวสำคัญที่พระองค์ท่านควรจะทรงทราบ หน่วยงานเหล่านี้จะสามารถรายงานทางเทเล็กซ์ได้โดยตรง จึงเป็นการแน่นอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงทราบ ความทุกข์สุขของพสกนิกร ประชาชนคนไทยได้ทุกโอกาส โดยรวดเร็วและทรงสามารถสั่งการแก้ไข หรือช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ ความเดือดร้อนได้ทันการณ์ … อาทิ การทำฝนหลวงพระราชทาน และสามารถใช้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กรมอุตุนิยมวิทยา และหน่วยปฏิบัติการแต่ละครั้งประสบความสำเร็จด้วยดี
ในการส่งข่าวทางเทเล็กซ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดที่จะปรุ ข้อความของข่าวลงในแถบโทรพิมพ์ด้วยพระองค์เอง … ทรงตัดต่อแถบโทรพิมพ์ข่าวนั้นให้สมบูรณ์อย่างประณีตประจง ซึ่งข่าวบางข่าวมีข้อความยาวต้องเสียเวลาตัดต่อนานมาก กว่าจะสมบูรณ์เรียบร้อย
ทุกวันส่งท้ายปีเก่า และขึ้นปีใหม่ นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะพระราชทานทานพรปีใหม่ให้แก่พสกนิกรทางโทรทัศน์ และวิทยุกระจายเสียงแล้วยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพรให้แก่หน่วยงาน ที่ทรงคุ้นเคย ปฏิบัติภารกิจร่วมกันทางวิทยุ และทางเทเล็กซ์เป็นประจำ ดังตัวอย่างข้างล่างนี้
กส. ๙ ขอขอบใจทุกคน และถือโอกาสอวยพรปีใหม่ด้วยคำต่างๆ ให้พิจารณา ดังต่อไปนี้
เห็นตรง พูดไพเราะ จิตมั่นคง
หมั่นเพียร งานสุจริต คิดดี
แจ้งสว่าง สวยงาม สงบร่มเย็น
เป็นทางขจัดทุกข์โศก บรรลุความสุขความเจริญ
กส. ๙ ปรุ ๓๑๑๔๓๐ ธค. ๒๕๒๙ ”
4.4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานความรู้ด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียม
พระราชอัจฉริยภาพด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เริ่มต้นจากการที่ประเทศไทยได้นำดาวเทียม Intelsat เข้ามาใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศในปี พ.ศ.2510 กรมไปรษณีย์โทรเลขได้มีโอกาสถวายงานแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อทรงมีรับสั่งทางโทรศัพท์กับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขณะที่กำลังทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ด้วยสัญญาณสื่อสารผ่านดาวเทียม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานคำแนะนำ และพระราชทานกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านนี้ เนื่องจากในขณะนั้นยังเป็นเทคโนโลยีที่ยุ่งยากสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย
Spirit of Chiang Mai เป็นบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์กิจการสื่อสารดาวเทียมของโลก เมื่อประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรม การบริหารขององค์การโทรคมนาคม ทางดาวเทียมระหว่างประเทศ (Intelsat) ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 8-16 มกราคม พ.ศ.2518 และคณะกรรมการบริหารของ Intelsat ประมาณ 48 คน เจ้าหน้าที่องค์การฯ ประมาณ 34 คน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยของกรมไปรษณีย์โทรเลข 12 คน ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ในบ่ายวันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ.2518
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้าฯ อย่างทั่วถึง และได้พระราชทานเลี้ยงน้ำชาด้วย ในโอกาสนี้ได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับกิจการสื่อสารผ่านดาวเทียมอย่างละเอียด ซึ่งในขณะนั้นเพิ่งเริ่มต้นมาได้เพียง 10 ปี ทรงพระราชทานพระราชดำริในด้านวิทยุสื่อสาร เช่น
การกระจายและการรบกวนของคลื่นวิทยุ ประสบการณ์ในการรับ-ส่งคลื่นขนาดต่างๆ พัฒนาการทางด้านการสื่อสารฯลฯ ยังความประหลาดใจเป็นล้นพ้นแก่คณะกรรมการบริหารของ Intelsat ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงด้านการสื่อสารของโลก ที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเราทรงพระปรีชาสามารถ ในด้านการสื่อสารเป็นเยี่ยมอย่างที่พวกเขามิได้เคยคาดหมายมาก่อน
แม้แต่ในการประชุมของคณะกรรมการบริหารครั้งต่อๆ ไป ซึ่งขณะนั้นประชุมกันทุก 3 เดือน ซึ่งส่วนใหญ่จะประชุมที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา และประชุมปีละครั้งในประเทศสมาชิกที่หมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ ก็ยังมีการกล่าวขวัญถึงการประชุมในประเทศไทย และการเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในปี พ.ศ.2518 อย่างมิรู้ลืม เมื่อมีปัญหาใดทุกคนจะรำลึกถึง Spirit of Chiang Mai แล้วการประชุมก็จะผ่านพ้นปัญหา และข้อขัดแย้งไปด้วยดี

เสด็จฯ ทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดสถานีดาวเทียมไทยคม
จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2537
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามดาวเทียมสื่อสารแห่งชาติ “ ไทยคม ” ซึ่งเป็นดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของประเทศไทยให้มีขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล ที่ประสงค์จะให้ประเทศไทยมีดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศเป็นของตนเอง
คำว่า “ ไทยคม(นาคม)” เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “THAICOM” มาจากคำว่า “THAICOM(MUNICATION)” และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯ ทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดสถานีดาวเทียมไทยคม จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2537
4.5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแนวพระราชดำริในการปรับปรุงระบบโทรศัพท์
ในส่วนของงานด้านโทรศัพท์นั้น องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ได้เริ่มเข้าไปถวายงานด้านการสื่อสาร ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อย่างเป็นทางการประมาณ พ.ศ.2505 โดยการวางข่ายสายโทรศัพท์และวงจรโทรคมนาคมประจำพระตำหนักต่างๆ ในภูมิภาค สำหรับพระตำหนักจิตรลดารโหฐานนั้น ในปี พ.ศ.2534 องค์การโทรศัพท์ฯ ได้ดำเนินโครงการขยาย และตัดเปลี่ยน (Cut Over) เลขหมายโทรศัพท์ของชุมสายโทรศัพท์จิตรลดา และชุมสายโทรศัพท์กรุงเกษมบางส่วน เพื่อให้เป็นชุมสายโทรศัพท์ที่มีความทันสมัยที่สุดทั้งอุปกรณ์และเทคโนโลยี โดยจัดสร้างอาคารชุมสายโทรศัพท์ภายในพระตำหนักจิตรลดารโหฐานขึ้นใหม่ทั้งหมด เช่นเดียวกับการสื่อสารด้านอื่นๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่รัชกาลที่ 9 หัวมักทรงมีพระราชกระแสแนะนำพระราชทานแก่เจ้าหน้าที่เสมอ เช่น ในสมัยแรกๆ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ องค์การโทรศัพท์ฯ ได้เตรียมการด้านการสื่อสาร โดยใช้เครื่องรับส่งวิทยุระบบ VHF 1 วงจร เนื่องจากยังไม่อาจวางข่ายสายขึ้นไปได้ ในเวลานั้นเครื่องวิทยุโทรศัพท์สามารถเรียกติดต่อได้ทีละข่ายเท่านั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงทรงมีพระกระแสรับสั่งว่า “ น่าจะลองหาวิธีที่จะทำให้วิทยุสื่อสารเครื่องเดียว แต่สามารถติดต่อได้หลายข่ายสื่อสาร ” ซึ่งองค์การโทรศัพท์ฯ ในภายหลัง ก็สามารถรวบรวมทุกข่ายสื่อสารที่มีใช้ในประเทศ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายให้พระองค์ทรงสามารถรับข่าวสารได้จากวิทยุสื่อสารเพียงเครื่องเดียว
4.6 ทรงพยากรณ์ลักษณะอากาศ
สิ่งที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยก็คือ ความสนพระราชหฤทัยในกิจการสื่อสารอุตุนิยมวิทยามาเป็นระยะเวลานาน ด้วยทรงพิจารณาเห็นว่ากิจการอุตนิยมวิทยา มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนชาวไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร
การรู้จักสภาวะอากาศจะช่วยอำนวยผลประโยชน์ในการเพาะปลูก สามารถช่วยเกษตรกรให้เพิ่มผลผลิตได้มาก ด้วยเหตุนี้จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาหลายท่าน ถวายงานด้านการจัดเตรียมแผนที่ลักษณะอากาศ การพยากรณ์อากาศ ร่วมกับสำนักงานฝนหลวงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

แผนที่ลักษณะอากาศ
ในการพยากรณ์ลักษณะอากาศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงใช้ข้อมูลอุตุนิยมวิทยาจากภาพถ่ายดาวเทียม อาทิเช่น ดาวเทียม GMS ของประเทศญี่ปุ่น ดาวเทียม INSAT ของประเทศอินเดีย ดาวเทียม NOAA ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเป็นประจำทุกวัน ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศ ที่ทรงเลือกเองจากระบบสื่อสารต่างๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ใช้คอมพิวเตอร์เรียกข้อมูลจาก Internet เพื่อทรงวินิจฉัยถึงลักษณะอากาศที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย ดังความในหนังสือพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2538 ว่า
“… เมืองไทยนี้วิเศษจริงๆ แต่ก็มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น น้ำท่วมที่รู้สึกเดือดร้อนกันมากและไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่เดือดร้อนมีตั้งแต่ภาคเหนือลงมาถึงภาคใต้ ภาคอีสานก็มี … เมื่อน้ำท่วมอยู่จวนจะแห้งแล้วทางอุตุนิยมวิทยาโดยนายสมิทธ ธรรมสโรช ได้ส่งพยากรณ์อากาศมาให้และเขียนไว้เป็นโน้ตบอกว่า “ กรมอุตุนิยมฯ ถวายเกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ และเกี่ยวกับการพยากรณ์เคลื่อนไหวของพายุ ” เปิดดูเขาบอกว่า “ ถวาย ” ต่อด้วย “ เพื่อทรงพิจารณา ” ดูแล้วก็หนักใจอยู่เพราะว่าดูในแผนที่อากาศพายุแอนเจลล่า อ้วนจ่ำม่ำ อ้วนเหมือน “ แอนเจลล่า ” ในการ์ตูน “ ป๊อบอาย ”
คุณสมิทธ ก็บอกว่า “ แอนเจลล่า ” นี่เป็นซุปเปอร์ไต้ฝุ่น น่ากลัว คร่าชีวิตในฟิลิปปินส์ดูเหมือนเป็นพันกว่า ผ่านมาแล้วมาในทะเลจีนใต้ … ได้รับพยากรณ์อากาศนั้นตอนบ่าย ก็บ่ายแก่ๆ มาดู เอ๊ เราจะทำอย่างไร ก็ดูมาถึงประมาณตีหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่าต้องใช้ “ ไอที IT” หน่อยใช้ Information Technology” เอ๊ะ ! รู้สึกว่าแอนเจลล่า จะแพ้แรง จะต้องบอก ต้องเผยให้ทราบว่าแพ้แรง “ นางมณีเมขลา ” … ก็เลยบอกไป ตอนตีหนึ่งว่าให้บอกกรมอุตุนิยมฯ ว่าพรุ่งนี้ … จะหมายถึง พรุ่งนี้แบบไทย หรือพรุ่งนี้แบบฝรั่งก็ไม่ทราบ แต่ว่าพรุ่งนี้จะกลายเป็นดีเปรสชั่น และต่อไปอีกสองวันจะเป็นหย่อมกดอากาศต่ำที่จะอยู่แถวๆ ไหหลำหรือเข้าเมืองจีน ก็ตอบข้อพิจารณาอย่างนี้
วันรุ่งขึ้นก็ดูไอที (IT) ต่อไป เอ๊ ดีนะที่เราพูดนี่นะ นับว่าถูกต้องพอสมควร แต่ว่าทางวิทยุพวกซีเอ็นเอ็น (CNN) พวกบีบีซี (BBC) เขาก็ยังบอกว่าเป็นไต้ฝุ่น วันรุ่งขึ้นก็เป็นไต้ฝุ่น วันต่อไปก็เป็นซีเวียร์ ทรอปิคอล สตอร์ม (Severe Tropical Storm) เป็นพายุโซนร้อนที่รุนแรง แต่ดูไม่รุนแรงแต่เราก็ยืนยันว่า เมืองไทยไม่เป็นไร … “ คุณแอนเจลล่า ” ไม่เข้า แต่คุณสมิทธบอกว่าเข้า ขอโทษคุณสมิทธ วันก่อนนี้มาพบ แล้วถามว่าทำอย่างไร ก็เลยบอกว่ามอบให้ “ นางมณีเมขลา ”
ไปเจรจาก็ได้ผลดี ถ้ามาแบบที่เคยมาเพราะเคยมีไต้ฝุ่นใหญ่ทะลุเข้าเวียดนามมา แล้วเข้ามาในเมืองไทย ผ่านแถวมุกดาหาร หรือแถวอุบลฯ ถ้าเข้ามาน่าจะพัง พังจริงๆ แต่คราวนี้ไม่เป็นอะไร …”
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้บรรยายในที่ประชุมสมัชชาแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เมื่อเมษายน พ.ศ.2539 ไว้ดังนี้
“… อาจจะไม่ทราบ เครื่องมือสื่อสารยุคนี้ที่บอกว่าเป็นยุคข้อมูลข่าวสารนั้น พระองค์ท่านเป็นบุคคลหนึ่งบนแผ่นดินนี้ที่มีระบบข้อมูลข่าวสมบูรณ์แบบที่สุด
ทรงตามพายุมาตั้งแต่ฮาวาย ตามมาเรื่อย คำนวณหมดว่าเดินทางระยะทางเท่าไหร่ต่อนาที ขนาดความแรงเท่าไหร่ … เมื่อมาถึงเขตแผ่นดินไทยแล้ว จะมีฝนปริมาณเท่าไหร่ น้ำจะไหลไปจุดไหน จะวิ่งมาตามลำน้ำต่างๆ จะเป็นเจ้าพระยา ป่าสัก จนมาถึงกรุงเทพฯ ภายในกี่ชั่วโมง นี่ยาก แม้กระทั่งกรมที่รับผิดชอบเองก็ไม่ได้คำนวณอย่างนั้น รู้แต่เพียงว่ามันจะมา น้ำจะท่วมใหญ่ แล้วดูดโอเลี้ยง อ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป
พระองค์ทนไม่ไหว ไม่มีใครขยับสักที เวลาประมาณ 3 ทุ่ม หรือ 4 ทุ่ม … พระองค์ท่านเรียก ในฐานะพระมหากษัตริย์ ไม่มีข้อระบุข้อไหนเลยว่าจะต้องทรงงาน แล้วก็สั่งงาน เป็นหน้าที่ของรัฐบาลหรือหน่วยงานเขาทำ …”
พระราชอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้านอุตนิยมวิทยาและพระเมตตาบารมี ได้ช่วยปกป้องคุ้มครองประเทศชาติและประชาชนให้รอดพ้นจากภัยพิบัติหลายหน พระองค์ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะในการศึกษาวิเคราะห์ วิจัยและพยากรณ์ลักษณะอากาศ ด้วยพระองค์เองอย่างแม่นยำ ลักษณะอากาศแบบใด เกิดขึ้นที่ใด หรือจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นในพื้นที่ใดพระองค์จะทรงสามารถพยากรณ์ล่วงหน้า ได้ก่อนที่ทางกรมอุตุนิยมวิทยาจะพยากรณ์ได้ ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่บ่อยครั้ง หน่วยบรรเทาทุกข์ของพระองค์โดยเฉพาะมูลนิธิราชประชาสมาสัยจะสามารถไปถึงจุด ที่ประชาชนได้รับอันตรายก่อนที่หน่วยงานอื่นๆของรัฐจะเข้าไปถึงเสมอ กรณีที่ลักษณะอากาศแปรปรวนมีผลกระทบต่อความเสียหายของประเทศอย่างแน่นอน ก็จะพระราชทานคำแนะนำ แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งดำเนินการป้องกัน และแก้ไขปัญหาที่ตามมา เช่น บริเวณที่เกิดน้ำท่วมเป็นประจำ หรือที่น้ำท่วมฉับพลัน จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมชลประทานสร้าง คู คลอง หนอง บึง หรือ ลำคลองชลประทาน เพื่อแจกจ่ายน้ำไปยังที่ราบหรือที่ทุรกันดาร
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเอื้ออาทรห่วงใยประชาชน ทรงทุ่มเทพระสติปัญญา และพระวรกาย ศึกษาค้นคว้าวิทยาการสมัยใหม่ ด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียม ด้านคอมพิวเตอร์ และสื่อสารอุตุนิยมวิทยา เพื่อนำประโยชน์มาใช้ในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ผลปรากฏเป็นที่ประจักษ์ทั้งในประเทศ และระดับระหว่างประเทศ
ดังนั้น เนื่องในมหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในปี พ.ศ.2539 องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก โดยศาสตราจารย์ ดร.กอดวิน โอ.พี.โอบาชิ เลขาธิการองค์การฯ จึงขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายโล่สัญลักษณ์และประกาศเกียรติคุณขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2540 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสดุดีพระปรีชาสามารถ และพระราชอัจฉริยภาพที่ทรงนำความรู้ และพระราชวินิจฉัยนานัปการด้านอุตุนิยมวิทยา พระราชทานแก้ปัญหาเพื่อลดผลกระทบภัยพิบัติธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนชาวไทยให้น้อยลง (กระทรวงคมนาคม , 2542 : 154-159)

จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อราษฎรทุกหมู่เหล่า ทรงสอดส่องดูแลทุกข์สุขของประชาราษฎร์มาตลอด 57 ปี ทรงขจัดปัดเป่าความเดือดร้อนทุกข์ยากของพสกนิกร ได้เป็นผลสำเร็จทุกเรื่อง ซึ่งจะรวดเร็ว และฉับไว ทั้งนี้เพราะทรง “ เข้าถึง ” แก่นแท้ของปัญหาและทรงแก้ไข ด้วยพระราชวินิจฉัยบนพื้นฐานของความเป็นจริง และความเหมาะสมของสถานการณ์ ดังคำสดุดีพระเกียรติคุณดังนี้
“… ทรงตระหนักถึงความทุกข์ยากของราษฎร และทรงวิเคราะห์ถึงต้นเหตุแห่งปัญหาจนแจ่มชัด
… ทรงศึกษาวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยหลักวิชาการที่ถูกต้อง
… ทรงมอบหมายให้บุคคล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปแก้ปัญหา ทรงติดตามผล และทรงใช้ ‘ การจัดการ ‘ ให้กลุ่มต่างๆ ทำงานร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพ ”
สรุป คือทรงมุ่งเน้นการพัฒนาทาง ‘ ด้านจิตใจ ‘ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทาง ‘ ด้านวัตถุ ‘ นั่นเอง