พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

บทที่ 16 พระอัจฉริยภาพด้านการปกครอง (รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์) ด้านศิลปศาสตร์ และด้านกีฬา

“ การที่คนคนหนึ่งจะมีความสามารถในทางใดทางหนึ่งนั้น ก็มักจะเก่งในทางนั้นทางเดียวโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความสามารถขั้นอัจฉริยะ แล้วมักจะเก่งเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่ง … นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายมักจะตาบอดในเรื่องศิลป์ ส่วนนักพัฒนาจิตใจนั้นมักจะด้อยในทางพัฒนาวัตถุ ศาสตราจารย์ผู้ฉลาดปราดเปรื่องในปัญหาสังคมมักไม่รู้กลไกต่าง ๆ เลยแม้แต่จะเปลี่ยนไฟสักดวงหนึ่ง … มีน้อยเหลือเกินที่จะมีคนที่เป็นอัจฉริยะทั้งทาง “ ศาสตร์ และ ศิลป์ ” แล้วยังแถมด้วย “ การปกครอง ” ดังองค์พระประมุขแห่งประเทศไทยพระองค์นี้ ” (สุวิชา. 2539 : 45)

พระอัจฉริยภาพด้านการปกครอง (รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงปฏิบัติพระองค์และทรงประกอบพระราชกรณียกิจตามฐานะกษัตริย์ในระบบประชาธิปไตย อย่างบริสุทธิ์สะอาด ทรงอยู่ในขัตติยราชนิติธรรมประเพณี ทรง ฟั นฝ่าอุปสรรค และปัญหาต่างๆ ด้วยพระราชอุตสาหะ วิริยะอย่างแรงกล้า ทั้งนี้เพราะเป้าหมายปลายทางคือการช่วยเหลือบ้านเมืองและประชาชนชาวไทยซึ่งอยู่ท่ามกลางปัญหา ทั้งระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจให้สามารถช่วยตัวเองได้

หอสมุดรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร (2539 : 25-26) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไว้ดังนี้

“… นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 15 ฉบับ ซึ่งรัฐธรรมนูญทุกฉบับได้กำหนดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้ตลอดมา

ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2538 ได้กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาลไว้ในมาตรา 3

พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นหลักหรือแม่บทแห่งการใช้อำนาจอื่นๆ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ และนิติราชประเพณีแต่โบราณ กล่าวคือ
1. พระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยภรณ์ รวมทั้งการถอดถอนและเรียกคืน (ม .9, ม .183)
2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี (ม .10)

พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตร
พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะองคมนตรีชุดปัจจุบัน เข้าเฝ้าฯ เป็นการส่วนพระองค์
ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล เมื่อวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2546
คณะองคมนตรี

หมายเหตุ
รายนามคณะองคมนตรีชุดปัจจุบัน (มกราคม 2547 – )
1. พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
2. นายเชาว์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี
3. นายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี
4. พลเรือตรี หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช องคมนตรี
5. พลอากาศตรี กำธน สินธวานนท์ องคมนตรี
6. พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี
7. นายจุลนภ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา องคมนตรี
8. หม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร องคมนตรี (ถึงชีพิตักษัย)
9. พลเอก พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี

10. นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี
11. นายจำรัส เขมะจารุ องคมนตรี
12. หม่อมหลวงทวีสันต์ ลดาวัลย์ องคมนตรี
13. หม่อมราชวงส์เทพ เทวกุล องคมนตรี
14. นายศักดา โมกขมรรคกุล องคมนตรี
15. นายเกษม วัฒนชัย องคมนตรี
16. นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี
17. นายสวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรี
18. พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี
(คณะองคมนตรี, 2547 : 21)

3. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (ม.16)
4. พระราชอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ . ศ . 2467 (ม.20)
5. พระราชอำนาจในการตราร่างพระราชบัญญัติเป็นกฎหมาย โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา (ม .93)
6. พระราชอำนาจในการยับยั้งร่างพระราชบัญญัติ โดยไม่ลงพระปรมาภิไธยหรือพระราชทานคืนไป (ม.94)
7. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ม.100, ม.101)
8. พระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งทั่วไป (ม.117)
9. พระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร (ม.118)
10. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (ม.122)
11. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งประธานและรองประธานของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร (ม.125)
12. พระราชอำนาจในการเรียกประชุมรัฐสภา เปิดและปิดประชุมรัฐสภา ตลอดจนขยายเวลาประชุม (ม.134, ม.135)

13. พระราชอำนาจในการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ (ม.136)
14. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้ตรวจการรัฐสภา (ม.162 ทวิ)
15. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี (ม.163)
16. พระราชอำนาจในการให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ (ม.174)
17. พระราชอำนาจในการตราพระราชกำหนดตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี (ม.175)
18. พระราชอำนาจในการตราพระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากร (ม.177)
19. พระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกา โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย (ม.178)
20. พระราชอำนาจในการประกาศใช้และเลิกกฎอัยการศึก (ม.179)
21. พระราชอำนาจในการประกาศสงคราม ด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา (ม.180)
22. พระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึกและสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ (ม.181)
23. พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ (ม.182)
24. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งและให้ข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่าพ้นจากตำแหน่ง (ม.184)
25. พระราชอำนาจในการให้ศาลพิพากษาอรรถคดี โดยทำการในพระปรมาภิไธย (ม.186)
26. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งและให้ผู้พิพากษาในศาลยุติธรรมพ้นจากตำแหน่ง (ม.192)
27. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งและให้ผู้พิพากษาในศาลปกครองพ้นจากตำแหน่ง (ม.195 ทวิ)…”
(จากหนังสือรัฐสภาไทย ใต้ร่มพระบารมี 50 ปี ทรงครองราชย์. 2539 : 25-26)

จะเห็นได้ว่าในกรอบบทบาทของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งโดยปกติวิสัยจะไม่กำหนดให้พระมหากษัตริย์มีบทบาทที่คาบเกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลมากนัก แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงประสบความสำเร็จในฐานะ “ ที่ปรึกษาของชาติ ” โดยยึดถือประโยชน์สุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง (ทบวงมหาวิทยาลัย. 2539 : 36-38)

เหตุการณ์ 16 ตุลาคม 2519

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงวางพระองค์และปรับพระองค์ ให้เข้ากับสถานการณ์ทางการเมือง ที่ย่อมจะต้องผันผวน และเปลี่ยนแปลงไปในระยะแรกเริ่ม แห่งระบบประชาธิปไตย ประดุจดังได้ทรงประคองแผ่นดินไทย อันอาจแตกร้าว ได้ง่ายนี้ไว้ในอุ้งพระราชหัตถ์

ซึ่งมีทั้งความแข็งแรง และมั่นคงด้วย พระขันติคุณ และความอ่อนโยนด้วย พระกรุณาธิคุณ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และทางการเมืองในรัชกาลของพระองค์ จึงสามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจาก ความรุนแรง เป็นภัยพิบัติอย่างที่ได้เกิดมีขึ้น ในประเทศอื่นๆ (2539 : 24) ดังจะเห็นได้จากวิกฤตการณ์ช่วง 16 ตุลาคม พ.ศ.2519 และวิกฤตการณ์ช่วงพฤษภาคม พ.ศ.2535 (รัฐสภาไทยใต้ร่มพระบารมี 50 ปี ทรงครองราชย์. 2539 : 83-92)

ในครั้งแรกนั้นนักศึกษาได้รวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการให้พระถนอม (จอมพลถนอม กิตติขจร) เดินทางออกนอกประเทศ และให้จับกุมตัวฆาตกรฆ่าแขวนคอนักศึกษามาดำเนินคดีโดยเร็ว แต่กลุ่มลูกเสือชาวบ้านและกลุ่มพลังต่างๆ ได้รวมตัวกันต่อต้านนักศึกษา และพยายามบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเกิดการยิงต่อสู้กัน ตำรวจได้บุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เข้าเคลียร์พื้นที่ โดยมีกลุ่มกระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้านและกลุ่มนวพลเข้าร่วมด้วย บ้างก็เข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บ้างก็รออยู่ข้างนอกเพื่อคอยทำร้ายผู้ที่หนีตำรวจออกมา เหตุการณ์เต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน มีนักศึกษาบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินนำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ จึงทำการยึดอำนาจการปกครอง เพื่อจะได้เข้าไปแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวได้รวดเร็วขึ้น เพื่อความมั่นคงของชาติบ้านเมือง และได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อกราบบังคมทูลรายงาน สถานการณ์ต่างๆ ก็เริ่มคลี่คลายลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี

จอมพลถนอม กิตติขจร
นายธานินทร์ กรัยวิเชียร

เพื่อให้แก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว เหตุการณ์ความสับสนวุ่นวายต่างๆ จึงกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว สามารถยุติการเสียเลือดเสียเนื้อ ทั้งนี้ ก็ด้วยเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงเป็นที่เคารพสักการะ และเป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาและความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทย อย่างมั่นคงไม่มีวันเสื่อมคลาย พระมหากรุณาธิคุณได้ปกแผ่คุ้มเศียรเกล้าปวงชนชาวไทย ทรงขจัดปัดเป่าภัยจากวิกฤตการณ์ นำประเทศคืนสู่ความผาสุกสงบร่มเย็นอีกครั้งหนึ่ง

วิกฤตการณ์ช่วงพฤษภาคม พ.ศ.2535

ครั้งหลังนี้ (พ.ศ.2535) เกิดขึ้นเมื่อ “ รสช ” นำโดยพลเอก สุนทร คงสมพงษ์ โดยมีพลเอก สุจินดา คราประยูร ร่วมด้วยในการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น และประกาศกฎอัยการศึกห้ามคนชุมนุมเกิน 10 คน ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ไม่มีพรรคการเมืองใด มีเสียงข้างมาก ในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคการเมือง 5 พรรครวมตัวกัน คือ พรรคชาติไทย พรรคประชากรไทย พรรคกิจสังคม พรรคราษฎร และพรรคสามัคคีธรรม ได้สนับสนุนให้พลเอก สุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกฯ ซึ่ง คนจำนวนมากไม่ยอมรับเพราะพลเอก สุจินดาไม่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน นักศึกษารามคำแหงเปิดอภิปรายจึงถูกจับกุมไป 15 คน เรืออากาศตรี ฉลาด วรฉัตร ประท้วงด้วยการอดอาหารที่หน้ารัฐสภา เรียกร้องให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้ง พลตรี จำลอง ศรีเมือง ได้ ประกาศอดอาหาร แต่ต่อมาได้ประกาศยกเลิก และลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม และประท้วงเรื่องนายกฯ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเช่นกัน

ต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมอภิปรายและประชาชนที่มาร่วมฟังการอภิปรายได้เคลื่อนขบวน จากท้องสนามหลวงมายังทำเนียบรัฐบาล แต่ถูกเจ้าหน้าที่สกัดไว้ที่สะพานผ่านฟ้า บุคคลจำนวนหนึ่งได้ขว้างปาสิ่งของไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เผาทำลายอาคารสถานีตำรวจดับเพลิงภูเขาทอง กองกำกับ การสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน ตำรวจพยายามสลายฝูงชนแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ฝูงชนยังคงชุมนุมต่อไปและเพิ่มจำนวนมากขึ้น และในวันที่ 17 พฤษภาคม

กระทรวง มหาดไทย ได้ อนุมัติให้จับกุมผู้กระทำผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปจำนวน 7 คน ในวันที่ 18 พฤษภาคม พลตรี จำลอง ศรีเมืองถูกจับกุมไปควบคุมไว้ที่โรงเรียนพลตำรวจนครบาลบางเขน ในข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป เกิดการ ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง จึง ได้มีการประกาศสถา น การ ณ์ ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรสาคร เหตุการณ์ ได้ ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อทางเจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้กำลังและอาวุธเข้าสลายการชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ข่าวการสลายการชุมนุมมิได้ ปรากฏผ่านสื่อมวลชนภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังไปปรากฏต่อสายตาต่างประเทศ เมื่อนักข่าวต่างประเทศได้เสนอข่าวการสลายการชุมนุมด้วยกำลังของเจ้าหน้าที่อย่างรุนแรง ต่อผู้ชุมนุมประท้วงทางโทรทัศน์ในประเทศต่างๆ หลายประเทศ

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 เวลา 21.30 น . พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ นำพลเอก สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีและ พลตรี จำลอง ศรีเมือง อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำรัส ให้พลเอก สุจินดา คราประยูร และพลตรี จำลอง ศรีเมือง ซึ่งเป็นเสมือนผู้แทนของฝ่ายต่างๆ ช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยหันหน้าเข้าหากันเพื่อฟื้นฟูบ้านเมืองโดยนายสัญญา ธรรมศักดิ์ และพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ จะเป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษาด้วยความเป็นกลาง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานพระราชดำรัสคำเตือนสติผู้นำทั้งสอง ในการแก้ปัญหา ดังนี้

“… ปัญหาวันนี้ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาทุกวันนี้คือความปลอดภัย และขวัญของประชาชน … ฉะนั้นก็ขอให้ท่าน โดยเฉพาะสองท่าน พลเอก สุจินดา คราประยูร และพลตรี จำลอง ศรีเมือง ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าประเทศของเรา … เป็นประเทศของทุกคน … อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ …

ฉะนั้นจึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้า แต่ต้องหันหน้าเข้าหากัน และสองท่านนี้เท่ากับเป็นผู้แทนของฝ่ายต่างๆ ที่เผชิญหน้ากัน ให้ช่วยกันแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วก็เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้วจะมาพูดกันปรึกษากัน ว่าจะทำอย่างไรสำหรับให้ประเทศไทยได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับมาคืนได้โดยดี อันนี้เป็นเหตุผลที่เรียกท่านทั้งสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่านก็เข้าใจว่าจะเป็นผู้ที่ได้สร้างประเทศจากสิ่งปรักหักพังแล้ว ก็ จะได้ผลในส่วนตัวมากว่าได้ทำดี …”

ด้วยเดชะพระบารมี และด้วยพระปรีชาญาณอันล้ำลึก เหตุการณ์รุนแรงภายในบ้านเมือง ซึ่งมีผลกระทบถึงเกียรติภูมิของชาติ กระทบกระเทือนภาวะเศรษฐกิจ และความผาสุกร่มเย็นของประชาชนเป็นส่วนใหญ่ก็ยุติลง บ้านเมืองกลับคืนสู่ภาวะปกติได้อีกครั้งหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าสลดอันเนื่องจาก การเสียเลือดเนื้อและการแตกแยกสามัคคีกันในชาติ

เนื่องจากกระแสพระราชดำริที่ได้พระราชทานในวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 นั้น ทรงคุณค่ายิ่งสำหรับประชาชนทุกหมู่เหล่าที่จะนำมาคิดพิจารณาก่อนจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ว่าจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือไม่ จึงขออัญเชิญมาไว้ ณ ที่นี้

กระแสพระราชดำริ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
พระราชทาน
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต
เมื่อวันพุธ ที่ 20 พฤษภาคม 2535 เวลา 21.30 .

1. คงไม่เป็นที่แปลกใจทำไมถึงเชิญให้ท่านมาพบกันอย่างนี้ เพราะว่าทุกคนก็ทราบว่าเหตุการณ์มีความยุ่งเหยิงอย่างไร และก็จะทำให้ประเทศชาติล่มจมไปได้ แต่ที่จะแปลกใจก็อาจจะมีว่า ทำไมเชิญ พลเอก สุจินดา คราประยูร และพลตรี จำลอง ศรีเมือง เพราะว่าอาจจะมีผู้ที่เป็นตัวแสดง ตัวละคร มากกว่านี้ แต่ที่เชิญมา เพราะว่า ตั้งแต่แรกที่มีเหตุการณ์ สองท่านเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากัน และก็ในที่สุด การต่อสู้หรือการเผชิญหน้า กว้างขวางออกไป ถึงได้เชิญสองท่านมา

2. การเผชิญหน้าตอนแรก ก็จะเห็นจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายได้ชัดเจนพอสมควร แต่ต่อมาภายหลัง 10 กว่าวัน ก็เห็นแล้วว่าการเผชิญหน้านั้น เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก จนกระทั่งผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม ก็จะเสียทั้งนั้น เพราะว่าทำให้มีความเสียหายในทางชีวิตเลือดเนื้อของคนจำนวนมากพอสมควร แล้วก็มีความเสียหายทางวัตถุ ซึ่งเป็นของของส่วนราชการและส่วนบุคคล เป็นมูลค่ามากมาย นอกจากนั้นก็มีความเสียหายในทางจิตใจ และในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ อย่างที่จะนับคณนาไม่ได้ ฉะนั้นการที่จะเป็นไปอย่างนี้ต่อไป จะเป็นด้วยเหตุผลหรือต้นตออย่างไรก็ช่าง เพราะเดี๋ยวนี้ เหตุผลเปลี่ยนไปถ้าหากว่าเผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไปเมืองไทยมีแต่ล่มจมลงไป แล้วก็จะทำให้ประเทศไทยที่เราสร้างเสริมขึ้นมาอย่างดีเป็นเวลานาน จะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบอย่างมาก ซึ่งก็เริ่มปรากฏผลแล้ว ฉะนั้นจะต้องแก้ไข โดยที่ดูว่ามีข้อขัดแย้งอย่างไร แล้วก็พยายามที่จะแก้ไขตามลำดับ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ปัญหาที่มีอยู่ทุกวันนี้ สองสามวันนี้ มันเปลี่ยนไปปัญหาไม่ใช่เรื่องของที่เรียกว่าการเมือง หรือเรียกว่าของการดำรงตำแหน่งอะไร มันเป็นปัญหาของการสึกหรอของประเทศชาติ ฉะนั้นจะต้องช่วยกันแก้ไข

3. มีผู้ที่ส่งข้อแนะนำในการแก้ไขสถานการณ์มาหลายฉบับ หลายคน จำนวนเป็นร้อย แล้วก็ทั้งในเมืองไทยทั้งต่างประเทศก็ส่งมา ที่เขาส่งมา การแก้ไขหรือการแนะนำว่า เราควรจะทำอะไร ก็มีต่างๆ นานา ตั้งแต่ตอนแรก ก็บอกว่าให้แก้ไขด้วยวิธียุบสภา ซึ่งก็ได้หารือกับทุกฝ่ายที่เป็นสภา หมายความว่า พรรคการเมืองทั้งหมด 11 พรรค ใน 11 พรรคนี้ คำตอบมีมาว่า ไม่ควรยุบสภาเป็นส่วนมาก มี 1 รายที่บอกว่าควรยุบสภา ฉะนั้นการที่จะแก้ไขแบบที่เขาเสนอมานั้น ก็เป็นอันว่าตกไป นอกจากนั้นก็มีเป็นฎีกาและแนะนำวิธีการต่างๆ กัน ซึ่งก็ได้พยายามเสนอไปตามปกติ คือเวลามีฎีกาขึ้นมาก็ส่งไปให้ทางสำนักคณะรัฐมนตรีหรือสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขตามแบบนั้น ตกลงมีแบบยุบสภา และก็มีอีกแบบหนึ่ง คือแบบ แ ก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้ตามประสงค์ที่ต้องการ หมายความถึงประสงค์เดิมที่เกิดเผชิญหน้ากัน

4. ความจริงวิธีนี้ ถ้าจำกันได้ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2534 ก็ได้พูดต่อสมาคมที่มาพบจำนวนหลายพันคน แล้วก็ดูเหมือนว่าพอจะฟังกัน ฟังกันโดยดี เพราะเหตุผลที่มีอยู่ในนั้นดูจะแก้ปัญหาได้พอควร ตอนนี้ก็ขอย้ำว่าทำไมพูดอย่างนั้นว่าถ้าจะ “ แก้ก่อนออก ” ก็ได้ หรือ “ ออกแล้วแก้ ” ก็ได้ อันนั้นทุกคนก็ทราบดีว่าเรื่องอะไร ก็เรื่อง รัฐธรรมนูญ ซึ่งครั้งนั้นการแก้รัฐธรรมนูญก็ได้ทำมาตลอด มากกว่าฉบับเดิม ที่ได้แก้ไขไว้แล้วก็ก่อนที่ไปพูดที่ศาลาดุสิดาลัย ก็ได้พบพลเอก สุจินดา แล้ว พลเอก สุจินดา ก็เห็นด้วยว่าควรจะประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้และแก้ไขต่อไปได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ทำกันได้และตอนหลังนี้ พลเอก สุจินดา ก็ได้ยืนยันว่าแก้ไขได้ ก็ค่อยๆ แก้ให้เข้าระเบียบ ให้เป็นแบบที่เรียกว่า “ ประชาธิปไตย ” ฉะนั้นก็ได้พูดตั้งหลายเดือนมาแล้ว ในวิธีการที่จะแก้ไข แล้วข้อสำคัญอยู่ที่ทำไมอยากให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แม้จะถือว่ารัฐธรรมนูญนี้ยังไม่ครบถ้วน ก็เพราะเหตุว่ารัฐธรรมนูญนั้นมีคุณภาพพอใช้ได้ ดีกว่าธรรมนูญการปกครองชั่วคราวที่ใช้มาเกือบปี เพราะเหตุว่ามีบางข้อบางมาตราซึ่งเป็นอันตราย แล้วก็ไม่ครบถ้วนในการที่จะใช้ปกครองประเทศ ฉะนั้นก็นึกว่าถ้าหากว่าสามารถที่จะปฏิบัติตามที่ได้พูดในวันที่ 4 ธันวาคมนั้น ก็เท่ากับเป็นการกลับไปดูปัญหาแต่เดิมไม่ใช่ปัญหาวันนี้

5. ปัญหาวันนี้ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาทุกวันนี้ คือความปลอดภัย และขวัญของประชาชน ซึ่งเดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปทุกแห่งหน มีความหวาดระแวงว่าจะเกิดอันตราย มีความหวาดระแวงว่าประเทศชาติจะล่มจม โดยที่จะแก้ไขลำบาก ตามข่าวที่ได้ทราบมาจากต่างประเทศ เพราะเหตุว่าในขณะนี้ทั้งลูกชายทั้งลูกสาวก็อยู่ต่างประเทศ ทั้งสองก็ทราบดี แล้วก็ได้พยายามที่จะแจ้งกับคนที่อยู่ในประเทศเหล่านั้น ว่าประเทศไทยนี้จะยังแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่ว่ารู้สึกว่าจะเป็นความคิดที่เป็นความคิดแบบหวังสูงไปหน่อย ถ้าหากว่าเราไม่ทำให้สถานการณ์อย่าง 3 วันที่ผ่านมานี้สิ้นสุดลงไปได้ ฉะนั้นก็ขอให้ท่าน โดยเฉพาะสองท่าน พลเอก สุจินดา และพลตรี จำลอง ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากันไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคน ต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากัน แก้ปัญหา เพราะว่าอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือดปฏิบัติการรุนแรงต่อกัน มันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วก็ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า กรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง

6. ฉะนั้นจึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้า แต่ต้องหันหน้าเข้าหากัน และสองท่านนี้เท่ากับเป็นผู้แทนของฝ่ายต่างๆ คือไม่ใช่สองฝ่าย คือฝ่ายต่างๆ ที่เผชิญหน้ากัน ให้ช่วยกันแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วก็เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดกัน ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรสำหรับให้ประเทศไทยได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับมาคืนได้โดยดี อันนี้เป็นเหตุผลที่เรียกท่านทั้งสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่านก็เข้าใจว่าจะเป็นผู้ที่ได้สร้างประเทศ จากสิ่งปรักหักพัง แล้วก็จะได้ผลในส่วนตัวมาก ว่าได้ทำดีแก้ไขอย่างไร ก็แล้วแต่ที่จะปรึกษากัน ก็มีข้อสังเกตดังนี้

7. ท่านประธานองคมนตรี ท่านองคมนตรี เปรม ก็เป็นผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ ผู้ที่พร้อมที่จะให้คำแนะนำ ปรึกษาหารือกันด้วยความเป็นกลาง ด้วยความรักชาติ เพื่อสร้างสรรค์ประเทศให้เข้าสู่ทางของความวัฒนา ขอฝากให้ช่วยกันสร้างชาติ

รายนามผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
รับพระราชทานกระแสพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
เมื่อวันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2535 เวลา 21.30 น .
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต

1. นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี
2. พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรี
3. พลเอก สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี
4. พลตรี จำลอง ศรีเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร
(จากหนังสือรัฐสภาไทย ใต้ร่มพระบารมี 50 ปี ทรงครองราชย์. 2539 : 93-95 )

นายสัญญา ธรรมศักดิ์
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
พลเอก สุจินดา คราประยูร
พลตรี จำลอง ศรีเมือง

นอกจาก พระขันติคุณ พระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาคุณล้นเกล้าฯ แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นด้วยความยุติธรรม เมื่อมีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกามาก็จะทรงพิจารณาความถูกต้องของเรื่องในฎีกา ดังที่ ม.ล.ทวีสันต์ ลดาวัลย์ ได้กล่าวไว้ เรื่องพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อผู้ต้องขัง อันแสดงให้เห็นพระอัจฉริยภาพทางด้าน รัฐศาสตร์ การปกครองและกฎหมาย รวมทั้งความยุติธรรม (2539 : 27-28) ดังนี้

“… พระมหากรุณาธิคุณอีกข้อที่มีต่อไม่ใช่ประชาชนคนไทยทั่วๆ ไป แต่พระราชทานให้แก่บุคคลกลุ่มหนึ่งที่เขาได้รับเคราะห์กรรม คือบรรดานักโทษที่ได้รับโทษจำคุก แล้วเขาได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขึ้นมา โดยผ่านรัฐบาลเมื่อรัฐบาลพิจารณาแล้วก็จะได้นำเสนอให้ คณะองคมนตรีพิจารณาอย่างรอบคอบ อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระราชทานพระราชวินิจฉัยในคดีนั้นๆ ตามพระราชอำนาจซึ่งมีอยู่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ผมอยากจะกราบเรียนว่าทรงเอาพระทัยใส่เป็นอย่างมาก ทรงอ่านฎีกาหรือที่เรียกว่าข้อมูลในคดีทุกตัวอักษร เพราะเหตุว่ามีหลายคดีที่ผมไม่ทราบว่าจะเรียนได้อย่างไร ว่าเป็นด้วย พระอัจฉริยะ หรือพระปรีชาญาณที่พิเศษของพระองค์ท่านนี้ ปรากฏว่าได้ช่วยให้นักโทษบางคนได้กลับมามีชีวิตใหม่ และได้รับความยุติธรรมอย่างที่เขาสามารถจะพึงมีพึงได้รับในฐานะที่เป็นคนไทย เรื่องที่ผมจะกราบเรียนให้ทราบ ความจริงแล้วก็ไม่ควร แต่ก็คิดว่าคงจะไม่เป็นไร เพราะเหตุว่ามันเป็นกรณีหนึ่งที่จะให้เห็นว่า จากที่จะทรงปกครองแผ่นดินด้วยความเป็นธรรมไม่ได้นึกถึงแต่ประชาชนทั่วไป แม้กระทั่งนักโทษท่านก็ทรงนึกถึงด้วย คดีนี้เป็นคดีเกิดขึ้นที่เชียงราย นักโทษผู้นี้เป็นชาวนา เข้าใจว่ามีลูก 5 คน กำลังเดินทางไปงานทอดผ้าป่า ยืนรอรถอยู่ก็มีเพื่อนขี่รถจักรยานผ่านมาและก็มีเพื่อนนั่งท้ายรถนั้นมาด้วย นักโทษผู้นี้ที่ผมกล่าวถึงนี่ก็รู้จักกัน ก็ขออาศัยติดท้ายไปด้วย ขอไปที่งานทอดผ้าป่านี้ ก็นั่งซ้อนท้ายไป 3 คนด้วยกันก็ไปส่งที่งาน เสร็จแล้วขากลับ นักโทษซึ่งเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งก็กลับมารับที่งาน และพาผ่านอำเภอเชียงแสน ในการเดินทางผ่านอำเภอเชียงแสนปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจกั้นทาง เข้าใจว่าคงมีคดีเกิดขึ้น แล้วเขาก็ปิดทาง แล้วก็มีการตรวจสอบ และให้รถคันนี้ผ่านไปโดยไม่มีอะไร แต่ต่อมาทางตำรวจก็ตามจับในข้อหาว่า สมคบกันมีส่วนไปฆ่าคนร่วมกับนักโทษอีกพวกหนึ่ง นักโทษผู้นี้เดิมให้การว่าตัวไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยเลย ตัวเพียงแต่อาศัยไปงานทอดผ้าป่าเท่านั้น แต่พอในชั้นศาล เพื่อนนักโทษที่ตัวได้นั่งอาศัยท้ายจักรยานนี้ขอร้องให้ช่วยเพื่อนเถอะ ขอให้ให้การใหม่ว่าทั้ง 3 คนนี้ไม่ได้ไปฆ่าคนหรอก แต่ไปในการหาซื้อรถจักรยานครับ

ทั้งนี้โดยบอกว่า ได้พูดกับทางเจ้าหน้าที่ทางศาลไว้เรียบร้อยแล้ว ก็จะไม่มีโทษอะไร จะพ้นจากคดีครับ แต่โดยเคราะห์หามยามร้าย ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ก็ลดให้ 1 ใน 3 จำคุก 33 ปี ได้รับพระราชทานอภัยโทษ 2 ครั้ง เหลือโทษ 19 ปี และถูกจำคุกมา 4 ปี ก็มีโอกาสถวายฎีกา ทรงตรวจข้อความในฎีกา ก็ปึ๊งใหญ่พอใช้ (ฎีกามีขนาดหนามาก) เพราะนักโทษหลายคนด้วยกัน ก็ทรงพระปรีชาครับ ที่ผมกล่าวถึงนี้ หรือจะพูดง่ายๆ ว่า sixth sense”

“… ก็รับสั่งให้ราชเลขาธิการส่งเจ้าหน้าที่ไปสอบนักโทษผู้นี้ผิดจริงหรือเปล่า เพราะทรงสงสัย ผมก็ส่งคนไปสอบ ทั้งบางขวางคือติดกันหลายเรือนจำด้วยกัน ก็ส่งไปสอบทุกแห่ง ก็ปรากฏข้อเท็จจริงแน่ชัดว่า นักโทษคนนี้ติดจักรยานไปเฉยๆ ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรเลย เป็นจริงอย่างที่เขาได้กราบบังคมทูลมาในฎีกาทุกประการ ก็ได้พระราชทานพระมหากรุณาพระราชทานอภัยโทษปล่อยนักโทษผู้นี้ไป นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ด้วยพระปรีชาสามารถ และด้วยพระเมตตาธรรมของพระองค์ท่าน ทำให้นักโทษผู้นี้กลับมามีชีวิตอย่างปกติกับครอบครัวของเขา สามารถจะเป็นที่พึ่งของลูกของเขาอีก 5 คนต่อไปได้ นี่เป็นตัวอย่างที่ผมอยากจะทราบเรียนให้ทราบ เป็นคดีหนึ่งเท่านั้น ยังมีคดีอื่นอีกมากมายทรงตรวจตราฎีกาทุกๆ เรื่อง อย่างละเอียดละออ …”

พระเมตตาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีต่อพสกนิกรนั้น ดุจพ่อปกครองลูกด้วยความละมุนละม่อม ดังคำสรรเสริญพระเกียรติคุณที่ว่า “… ทรงมีพระราชหฤทัยที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตาธรรม เมื่อทรงรับข้อมูลจากประชาชนแล้วก็ทรงศึกษาปัญหาและหาแนวทางช่วยเหลือ อีกทั้งได้ทรงบัญชาการและติดตามอย่างต่อเนื่อง ประชาชนเมื่อยามเข้าเฝ้ารับเสด็จก็มีความเชื่อมั่นในพระเมตตาธรรม ต่างก็ทูลฯ ปัญหาต่างๆ ให้ทรงทราบตามความเป็นจริงอย่างไม่มีอะไรแอบแฝงและซ่อนเร้น พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งของราษฎรยากไร้เมื่อยามมีทุกข์ทรงเป็นหลักชัยของปวงชนในยามที่ประเทศคับขัน …” (รัฐสภาไทยใต้ร่มบารมี 50 ปี ทรงครองราชย์ . 2539 : 74)

2. พระอัจฉริยภาพด้านศิลปศาสตร์

งานศิลปะทุกแขนงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงได้รับการยอมรับอยู่ในระดับศิลปินอาชีพ เป็นที่ยกย่องทั้งในประเทศและนานาประเทศ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2507 สถาบันการดนตรี และศิลปะแห่งกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ได้ถวายประกาศเกียรติคุณ ให้ทรงเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์อันดับที่ 23 ของสถาบัน และทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรก ที่ได้รับการถวายพระเกียรติยศเช่นนี้

ในปี พ.ศ.2508 มหาวิทยาลัยศิลปากรได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาจิตรกรรม นับเป็นความปลาบปลื้มใจแก่ศิลปินไทยทุกคน และในปี พ.ศ.2529 คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “ อัครศิลปิน ” เป็นการถวายพระเกียรติยศสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นับเป็นความเหมาะสมยิ่งกับพระปรีชาสามารถในด้านศิลปกรรมทุกๆ แขนงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์นี้ (ทบวงมหาวิทยาลัย. 2539 : 598-599)

2.1 จิตรกรรมฝีพระหัตถ์ (การวาดภาพ)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเริ่มต้นศึกษางานจิตรกรรม (วาดภาพ) ตั้งแต่เมื่อประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างปี พ.ศ.2480-2488 เป็นการศึกษาด้วยพระองค์เอง โปรดเสด็จฯ ทอดพระเนตรงานศิลปกรรมตามหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ต่างๆ อีกทั้งทรงซื้อตำราทางศิลปะมาอ่านค้นคว้าด้วยพระองค์เอง แต่ทรงเริ่มต้นเขียนภาพสีน้ำมันอย่างจริงจัง ประมาณ พ.ศ.2502 จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2510 หลังจากนั้นทรงมีพระราชกิจมากขึ้น จึงไม่ทรงมีเวลาว่างสำหรับเขียนภาพสีน้ำมัน แต่ก็ทรงมีผลงานปรากฏ เป็นจำนวนมากถึง 100 กว่าภาพ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเข้าใจความหมายและความสำคัญของงานศิลปะอย่างลึกซึ้ง ดังปรากฏ ในพระราชดำริที่พระราชทานในคราวเสด็จฯ เปิดงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 15 พ.ศ.2507 ตอนหนึ่งว่า

“… ศิลปะของไทยรุ่งเรืองมาแต่โบราณและสามารถแสดงลักษณะของชาติได้อย่างแท้จริง ก็เพราะบรรพบุรุษของเรามุ่งทำขึ้นเพื่อศิลปะด้วยความบริสุทธิ์ใจแท้ๆ ขอให้ศิลปินทั้งหลายพยายามรักษาความบริสุทธิ์ใจที่มีค่านี้ไว้ เพื่อยึดถือเป็นหัวใจในการสร้างงานศิลปะของท่านต่อไป …”

ในส่วนงานด้านจิตรกรรมนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระ ราชหฤ ทัยในงานศิลปะสมัยใหม่ ได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับเหล่าศิลปินร่วมสมัย ทั้งศิลปินไทยและศิลปินชาวต่างประเทศ ในปี พ.ศ.2507 ได้เสด็จเยี่ยมฯ ห้องทำงานของศิลปินชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงในระดับโลก คือ ออสก้า โคโคสก้า (Oskar Kokoschka) ที่เมืองมองเตรอส์ (Montreux) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงแลกเปลี่ยนความคิดกับจิตรกรผู้นี้ เพราะโคโคสก้าเป็นจิตรกรที่เขียนภาพด้วยการใช้สีที่ร้อนแรง และใช้ฝีแปรงที่รุนแรงตามแบบของลัทธิเอกซเพรสชั่นนิสม์ (Expressionism) ที่ทรงโปรดอยู่ ดังเช่นที่หม่อมเจ้า การวิก จักรพันธุ์ นักวิจารณ์ผู้ชำนาญในด้านศิลปะการวาดภาพและการถ่ายภาพได้เขียนถึงพระราชอัจฉริยภาพ ในด้านนี้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า

“ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงวาดภาพที่น่าสนใจอย่างยิ่ง … ภาพฝีพระหัตถ์ที่ทรงเขียนสวยประณีต และเหมือนของจริงก็มี การวาดเขียนแบบนี้ก็เหมือนการใช้ราชาศัพท์แบบสมบูรณ์และนิ่มนวลนั่นเอง ไม่แรงพอสำหรับการถ่ายความรู้สึกของศิลปินเข้าไว้ในผืนผ้าใบ ผู้ที่เขียนสวยและเหมือนมากมักจะแสดงความคิดความรู้สึกไม่ใคร่ออก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้องค์ประกอบแปลกๆ สีร้อนแรงกล้าไปทางด้านนามธรรม (Abstract) แต่ยังแฝงความรู้สึกและเครื่องหมายบางประการอย่างที่เราท่าน อาจดูออกว่าทรงหมายถึงสิ่งใด งานสีน้ำมันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ใคร่มีภาพเหมือนรูปสิ่งของ มักจะเป็นภาพของความรู้สึกและความคิด หรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง

หม่อมเจ้า การวิก จักรพันธุ์
ภาพ “ วัฏฏะ ” (Evolution)
ภาพ “ มือแดง ”
ภาพ “ ยุแหย่ ”
ภาพ “ บุคลิกซ้อน ” (Dual Personality)

เช่น ภาพ “ ยุแหย่ ” จะมีสีแดงสดเป็นเปลวไฟเมื่อเรากวาดสายตาให้ทั่วถึงแล้วจะเป็นคล้ายสัตว์ประหลาด ไม่มีรูปแต่จะมีหน้าเขียว ตาดำเป็นมัน และปากแดงเยิ้มพอใจในการกระทำของตน ภาพนี้ไม่ได้แสดงที่ไหนแต่เป็นภาพตัวอย่างที่ดีทีเดียว เช่นเดียวกับ “ บุคลิกซ้อน ” (Dual Personality) หรือ “ วัฏฏะ ” (Evolution) และ “มือแดง” (วิลาส มณีวัต . 2543 : 83-86)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศิลปินไทยได้เข้าเฝ้าใกล้ชิด สำหรับศิลปินไทยที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ในระยะนั้น ได้แก่ เหม เวชกร, เขียน ยิ้มศิริ, ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์, เฟื้อ หริพิทักษ์, ทวี นันทขว้าง, อวบ สาณะเสน, จุลทัศน์ พยาฆรานนท์, และ พิริยะ ไกรฤกษ์ ทรงมีพระราชดำริถามบ่อยครั้งว่า “ พอใช้ได้ไหม ” แต่เนื่องจากภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์เป็นผลงานที่มีลักษณะสร้างสรรค์และมีบุคลิกภาพเฉพาะพระองค์อยู่แล้ว จึงไม่มีจิตรกรไทยท่านใดถวายคำแนะนำได้นอกจากปรึกษาในด้านเทคนิคการใช้สี

ทวี นันทขว้าง ได้กล่าวถึงงานเขียนภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “ ในความรู้สึกของผู้เขียน ศิลปินต่าง ก็ ประหลาดใจในพระปรีชาสามารถของพระองค์ในศิลปะแขนงนี้ การที่พระองค์ทรงใช้ทฤษฎี ทรงจัดวางช่องไฟสัดส่วนของรูปถูกต้องตามหลักขององค์ประกอบ ทรงคิดหาเนื้อเรื่องที่มีรสนิยม ทุกคนจะเทิดทูนยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็นอัจฉริยะ … ผู้เขียนซึ่งทราบดีว่าพระองค์ทรงสนพระทัยและรักงานศิลปะแขนงนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแขนงอื่นๆ เลย และได้ทรงงานด้านนี้มาช้านาน มิใช่เพิ่งมาสนพระทัยในตอนหลังดังที่หลายคนเข้าใจ ” “… พระองค์ทรงวิจารณ์ภาพเขียนว่างานชิ้นไหนเป็นสไตล์อะไรได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่วเสมอ เช่น แอ๊บสแตรค คิวบิสม์ เรียลิสม์ อิมเพรสชันนิสม์ ฯลฯ และทรงมีความจำล้ำเลิศว่างานของศิลปินคนไหนเปลี่ยนแปลงคลี่คลายแตกต่างออกไปจากงานปีก่อนๆ ของเขาอย่างไร ” “ … ในหลวงทรงมีพระราชกรณียกิจมากเหลือเกิน … เสด็จฯ เยี่ยมหน่วยตำรวจตะเวนชายแดน เสด็จฯ เยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บ เสด็จฯ เยี่ยมเยียนชาวเขา … ทรงปีนเขาไปถึงสันเขาลูกใหญ่ … ตลอดระยะทางที่เสด็จฯ ผ่าน เมื่อเห็นที่ไหนวิวสวย พระองค์จะทรงหยุดสเก็ตช์ภาพไว้เสมอ ผู้เขียนสังเกตว่าพระองค์ทรงรักธรรมชาติมาก โปรดต้นไม้ใหญ่ๆ และป่าที่มีเถาวัลย์ห้อยย้อยร่มรื่น และทรงเป็นห่วงว่าจะมีผู้ทำลายมัน ” (วิลาส มณีวัต. 2543 : 89-94)

แม้จะมีพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จิตรกรไทยเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายคำปรึกษาในเรื่องของการเขียนภาพก็จริง แต่ทรงมีพระบุคลิกภาพเฉพาะพระองค์ที่มั่นคง ไม่ทรงรับแบบฉบับของใครมาโดยตรง ฉะนั้นภาพเขียนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จะมีลักษณะไปในทางการแสดงออกของอารมณ์ภายใน และอยู่ในแนวศิลปะนามธรรมมากกว่า ดังเช่นที่ ม.จ.การวิก จักรพันธุ์ ตรัสไว้ตอนต้น (ทบวงมหาวิทยาลัย. 2539 : 594)

ดังนั้น การศึกษาค้นคว้าแนวทางการเขียนภาพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงไม่ทรงเริ่มต้นทางทฤษฎีและขั้นตอนการศึกษา ไม่ทรงเริ่มจากรูปแบบใดไปสู่รูปแบบใด หากแต่ขึ้นอยู่กับความสนพระทัย เมื่อทรงมีพระทัยมั่นแล้วทรงเขียนภาพตามที่รู้สึกในทันที ภาพเขียนฝีพระหัตถ์ในช่วงเกือบสิบปีมีรูปแบบที่ทรงค้นคว้าไว้หลายประเภท ทรงงานในรูปแบบหนึ่งๆ ก็ไม่ได้ทรงใช้เวลาที่ต่อเนื่องกันระยะยาว แต่เมื่อพอพระทัยที่จะเขียนภาพแบบไหนในช่วงไหน ก็จะทรงงานโดยทันที เช่น ทรงเขียนภาพแบบคนเหมือนในหลายช่วงเวลา ทรงเขียนภาพในแนวอารมณ์ฝันหลายๆ ช่วงเวลา และ ทรง เขียนภาพแบบนามธรรมหลายช่วงเวลาเดียวกัน อาจารย์พิษณุ ศุภนิมิตร กล่าวไว้ดังนี้ “ ภาพเขียนฝีพระหัตถ์อาจแยกแยะเป็นกลุ่มของการแสดงออกได้ ” คือ

ภาพ “ สมเด็จพระราชบิดา ”ี
(3) “สมเด็จพระบรมราชินีนาถ”    (4) “ไม่มีชื่อ”    (5) “เขียนที่ภูิพิงค”

1. ภาพคนในแนวเหมือนจริง เป็นภาพเหมือนบุคคลต่างๆ ที่อยู่ใกล้ชิด มีทั้งภาพที่ทรงวาดจากรูปถ่าย (หมายเลข 1 สมเด็จพระราชบิดา) และภาพที่ทรงวาดจากแบบคนจริง เช่น สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ม.ล.บัว กิติยากร และบรรดาข้าราชบริพาร
ภาพเขียนในแนวเหมือนจริงนี้ มีทั้งส่วนที่เป็นการวาดขึ้นเพื่อศึกษาโครงสร้างของใบหน้า
ศึกษาแสงเงา ศึกษาการใช้สี (หมายเลข 1, 2, 3, 4, 5)

(6) “ชอบเขียน”
(7) “สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ”
(8) “กุหลาบไทย”
(9) “สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ”
(10) “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา”
(11) “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา”
(12) “สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ”
(13) “ไปตลาด”

และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นภาพคนเหมือนที่มีลักษณะสร้างสรรค์เฉพาะพระองค์ ทรงใช้สีที่มีความหนักแน่น เน้นอารมณ์ในแต่ละภาพให้แตกต่างกัน เช่น บางภาพอ่อนหวาน บางภาพแจ่มใส และบางภาพรุนแรง (ภาพหมายเลข 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13) ภาพที่ดีที่สุดในภาพเขียนชุดนี้ คือ ภาพเขียนที่ภูพิงค์ (หมายเลข 5) ภาพชอบเขียน (หมายเลข 6) ภาพสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ (หมายเลข 9) ภาพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา (หมายเลข 10, 11)

ภาพเขียนที่ภูพิงค์ ทรงวาดเมื่อปี พ.ศ.2505 ขณะที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐาน ไปประทับอยู่ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ ทรงวาดภาพนี้ด้วยบรรยากาศอันนุ่มนวลและอ่อนหวาน ทรงใช้น้ำหนักอ่อนแก่ของภาพตัดกันไปมา โดยไม่ทรงใช้ลายเส้นพู่กันที่แรงและหนัก การกำหนดพระอิริยาบถของสมเด็จพระนางเจ้าฯ (นางแบบ) ด้วยโครงสร้างของเส้นที่สอดประสานกันอย่างลงตัว โครงสีของภาพส่วนหลังเป็นสีเทานุ่ม เน้นภาพให้อารมณ์อ่อนหวานด้วยฉลองพระองค์สีชมพูอ่อน

ภาพชอบเขียน ทรงวาดในปีเดียวกัน เป็นภาพสมเด็จพระนางเจ้าฯ กำลังเป็นจิตรกรด้วยพระอิริยาบถที่มุ่งมั่น พระหัตถ์ขวาทรงถือพู่กัน พระหัตถ์ซ้ายทรงถือจานสี ด้วยโครงสร้างของภาพที่ดูแข็งขัน มั่นคง โครงสีของภาพนี้จึงดูหนักแน่น จริงจัง ทรงใช้สีเขียวเข้มเป็นส่วนหลังและใช้สีฉลองพระองค์สีส้มที่ดูตัดกัน

ภาพสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ (หมายเลข 12) ทรงวาดด้วยอารมณ์สนุกสนาน เน้นภาพสมเด็จพระนางเจ้าฯ อย่างสนุกด้วยสีน้ำเงินเข้มในส่วนหลัง จนภาพสมเด็จพระนางเจ้าลอยตัวออกมา และยังทรงแต้มสีส้มอย่างสนุกสนานกับฉลองพระองค์ชุดลาย

อีก 2 ภาพที่มีคุณค่าไม่แพ้กันก็คือ ภาพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา (หมายเลข 10, 11) ทรงวาดเมื่อปี พ.ศ.2505 เป็นภาพประทับนั่งและประทับยืน ทรงแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของแบบ ในขณะเมื่อยังทรงพระเยาว์ ไม่ทรงใช้ทฤษฎีกายวิภาค (Anatomy) ไม่ทรงใช้ทฤษฎีแสงเงา แต่ทรงวาดลงไปอย่างง่ายๆ ใช้โครงสีที่ตัดกันอย่างรุนแรง เช่น ฉลองพระองค์ชุดเขียวอยู่ในส่วนหลังของภาพสีส้ม และฉลองพระองค์ชุดแดงอยู่ในส่วนหลังของภาพสีน้ำเงิน การใช้โครงสีเช่นนี้ทำให้นึกถึงภาพเขียน ของจิตรกรยุคหลังอิมเพรสชั่นนิสม์ (Post-impressionism) เช่น วินเซนต์ แวนโก๊ะ และ พอล โกแกง

2. ภาพคนที่เน้นอารมณ์เฉพาะพระองค์ ภาพเขียนฝีพระหัตถ์ในชุดนี้ทรงวาดขึ้นโดยที่อาศัย โครงสร้างของใบหน้าคนเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น ทรงใช้จินตนาการดัดแปลงรูปทรงให้เป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึก ที่ทรงต้องการ

บางภาพมีการจัดภาพขึ้นใหม่ นำส่วนอื่นๆ ของภาพมาประกอบกันตาม  ความหมาย ที่ทรงต้องการ ภาพในชุดนี้จึงไม่ได้ทรงเขียน ให้เป็นภาพเหมือนคน แต่ทรงเน้นถึงอารมณ์ และความหมายด้วย

ภาพฝีพระหัตถ์ในชุดนี้
(หมายเลข 14, 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22, 23, 24) มีความเด่นอยู่ในทุกภาพ จนไม่สามารถ เลือกสรรภาพที่ดีที่สุดได้

ภาพไม่มีชื่อ (หมายเลข 15) ทรงระบายสีใบหน้าให้เป็นสีเขียวคล้ำ ระบายฝีแปรงอย่างรุนแรง ไม่ทรงเน้นความสวยงามของแบบ แต่ทรงเน้นอารมณ์ที่หนักกด และเครียด
ภาพไม่มีชื่อ (หมายเลข 16) ทรงดัดแปลงรูปใบหน้า ให้มีลักษณะต่างๆ กัน ใบหน้ายืดยาวคล้ายกลุ่มควัน ในขณะที่บางหน้าคล้ายกับคนที่สวมหน้ากากใส่กัน
ภาพไม่มีชื่อ (หมายเลข 17) ทรงวาดใบหน้าด้านข้าง ให้ซับซ้อนกันดูคล้ายว่ากำลังเคลื่อนไหว น่าประหลาดใจที่ทรงทดลอง คล้ายแนวทางของจิตรกรกลุ่ม Futurism ในฝรั่งเศส
ภาพต่อสู้ (หมายเลข 18)
ทรงแสดงอารมณ์ต่อสู้
ที่รุนแรงด้วยรูปทรงและสี
ภาพไม่มีชื่อ (หมายเลข 19) น่าจะเป็นภาพที่ทรงวาด สมเด็จพระนางเจ้าฯ ห้อมล้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสามพระองค์ ภาพนี้ทรงแสดงความรักความอบอุ่นของครอบครัว หากจะตั้งชื่อภาพนี้ น่าจะชื่อว่า        “ มารดาและบุตร ” (Mother and child)
ภาพสมเด็จพระบรมราชินีนาถ (หมายเลข 20) เป็นภาพสมเด็จพระนางเจ้าฯ อีกภาพหนึ่งที่งดงาม แต่ทรงเพิ่มอารมณ์ของภาพ ไม่ให้เป็นภาพเหมือนธรรมดา เป็นภาพที่ขณะทรงเปียโนด้วย อารมณ์ร้อนแรงของนักดนตรี จึงทรงวาดเหมือนเปลวไฟพวยพุ่งขึ้น จากเปียโน
ภาพไม่มีชื่อ (หมายเลข 21) ทรงวาดภาพครอบครัวของพระองค์
มีพระพักตร์ขนาดใหญ่ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ อยู่เบื้องบน ภาพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ อยู่กลาง เบื้องล่างห้อมล้อมด้วยภาพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสามพระองค์ เป็นลักษณะการจัดภาพแบบเฉพาะพระองค์ปะติดปะต่อภาพใบหน้าเข้าด้วยกันโดยที่ไม่ได้จัดภาพให้เหมือนกับยืนถ่ายรูป
ภาพไม่มีชื่อ (หมายเลข 23) ทรงวาดภาพใบหน้าผู้หญิงนี้โดยอารมณ์ฉับพลัน ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเสร็จ นับเป็นภาพที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่ง การเขียนภาพในแนวทางนี้เป็น แนวทางเดียวกับจิตรกร กลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์ และเอ็กเพรสชั่นนิสม์ทำอยู่ คือ การสร้างภาพด้วยอารมณ์ฉับไว และแสดงออกเท่าที่ตนเองรู้สึก

3. ภาพคนแบบวิเคราะห์ในแนวคิวบิสม์ ภาพฝีพระหัตถ์ในชุดนี้ได้ทรงใช้ทฤษฎีขอ ง ศิลป ะ แนวคิวบิสม์ ซึ่งวิเคราะห์พื้นที่ว่างด้วยการสร้างมิติให้เป็นเหลี่ยมสัน ด้วยการใช้เส้นตรงตัดกันไปมา โดยที่ได้ทรงใช้รูปทรงของคนเป็นการเริ่มต้น มีทั้งรูปสรีระคน รูปเปลือย แต่ทุกรูปยังมีเค้าให้เห็นถึงต้นแบบคนที่เคยทรงวาดมาก่อน (ภาพหมายเลข 24, 25, 26, 27, 28)

4. ภาพแนวการสร้างรูปแบบใหม่ ภาพฝีพระหัตถ์ชุดนี้ได้ทรงวาดต่อจากแนวทางที่ใช้ ทฤษฎีวิเคราะห์ของศิลปะคิวบิสม์ จนกระทั่งได้ทรงค้นพบแนวทางการสร้างรูปทรงขึ้นใหม่ โดยอิสระและมีลักษณะ ที่ เป็นเฉพาะองค์ เป็นการสร้างรูปทรงให้เกิดความงดงาม ความประสานกลมกลืนกัน และการรวมตัวกันอย่างมีเอกภาพ โดยที่ไม่ต้องใช้เรื่องราว และอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ นับเป็นแนวทางการสร้างรูปทรงที่บริสุทธิ์ด้วยทัศนธาตุ ทางศิลปะเท่านั้น (ภาพหมายเลข 29, 30, 31, 32)

5. ภาพแนวจินตนาการ อารมณ์ฝัน เหนือจริง ภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ ส่วนใหญ่ อาจจัดได้ว่าเป็นผลงานที่ทรงใช้อารมณ์ฝันและจินตนาการที่อิสระที่สุด เป็นงานสร้างสรรค์ที่ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ หรือทฤษฎีศิลป์ใด ๆ ทรงแสดงออกด้วยบุคลิกภาพเฉพาะพระองค์อย่างแท้จริง

ภาพชุดดนตรี (หมายเลข 33, 34) ทรงใช้เครื่องดนตรีและนักดนตรีมาประกอบกันอยู่ อารมณ์อิสระคล้ายกับ กำลังทรงดนตรีแจ็สที่ทรงโปรดอยู่ มีการจัดวางองค์ประกอบของภาพที่ยุ่งเหยิง ตัดกันอย่างรุนแรง และทรงใช้สีที่ร้อนแรงอย่างชนิดที่ไม่ต้องกลั่นกรอง

ภาพไม่มีชื่อ (หมายเลข 35) ให้ความรู้สึกฝัน คล้ายกับหญิงสาวที่กำลังหลับ แล้วเห็นภาพดวงตาดวงใหญ่ที่ลอยมาในความฝัน ให้อารมณ์ฝันอย่างน่าหวาดกลัวแบบเหนือจริง

ภาพไม่มีชื่ออีก 4 ภาพ คือภาพหมายเลข 37, 40, 41, 42 ดูจะเป็นภาพที่เด่นที่สุดในชุดนี้ด้วยภาพทั้งหมด ไม่ได้ทรงประทับใจกับความสวยงาม ตามธรรมดาอีกต่อไป ทรงบันทึกภาพเหล่านี้ โดยกลั่นออกมาจากพระราชหฤทัยที่เร่าร้อน เป็นภาพที่ดูแล้วให้อารมณ์ที่น่าสะพึงกลัว ทุกอย่างในภาพบิดเบี้ยว ขาดหายไปบางช่วงบางตอน หลุดลอยเคว้งคว้าง ทรงใช้สีในวรรณะที่หนักอึ้ง ทรงใช้สีเขียวดิบตัดกับสีแดงดิบและสีเหลืองสดๆ ในขณะที่ ภาพวัฏฏะ (หมายเลข 41) เป็นภาพของความรู้สึกคล้ายเจตภูต ที่กำลังล่องลอยเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ

ภาพที่ทรงแสดงความรู้สึกรุนแรง ลึกลับเหล่านี้ แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากฝีพระหัตถ์ของพระมหากษัตริย์ที่ประทับอยู่ในปราสาทราชวัง การที่ทรงวาดภาพเช่นนี้ น่าจะเป็นไปได้จากการที่เคยเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร ได้ทรงพบเห็นภาพที่ทุกข์ยากของอาณาประชาราษฎร์ จึงทรงเก็บภาพเหล่านี้ไว้ในพระราชหฤทัย เมื่อปรากฏ ในภาพฝีพระหัตถ์ จึงแสดงออกโดยตรงจากสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของพระราชหฤทัย ให้เห็นเป็นภาพอันทุกข์ทรมานคล้ายกับผู้ที่กำลังตกอยู่ในขุมนรก กำลังวิงวอนขอความช่วยเหลือ

ภาพฝีพระหัตถ์ในชุดนี้ จึงเป็นภาพจิตรกรรม ที่สร้างสรรค์ได้ตรง กับสิ่งที่อยู่ในพระราชหฤทัย นับว่าเป็นผลงานที่มีคุณค่าที่สุด (ภาพหมายเลข 33, 34, 35, 36, 37, 38, 39, 40, 41, 42)

6. ภาพในแนวอิสระแบบนามธรรม
ภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ในชุดนี้ ทรงจินตนาการอิสระโดยที่ไม่ต้องการ ใช้รูปทรงแบบ Figurative เลย ทรงปาดป้ายสีลงไปอย่างที่อารมณ์ ความรู้สึกต้องการ เป็นการบอกถึงภาวะนามธรรมที่อยู่ในพระราชหฤทัย อย่างแท้จริง (ภาพหมายเลข 43, 44, 45, 46)

ภาพมือแดง (หมายเลข 43) ทรงวาดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2504 ในขณะที่กำลังทรงพระประชวรมีอาการไข้ขึ้นสูง ทรงทดลองเขียนภาพนี้ขึ้นจากความรู้สึกที่ทรงเป็นไข้ และเมื่อทรงหายจากอาการประชวรแล้วว่าจะเป็นอย่างไร

ภาพดินน้ำลมไฟ (หมายเลข 44) ทรงวาดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2508 ทรงต้องการแสดงความเป็นนามธรรมของธาตุทั้งสี่ ด้วยการใช้สีที่แสดงความเคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง เหมือนดังธาตุดินน้ำลมไฟ

“ รูปแบบของงานเขียนฝีพระหัตถ์ทั้ง 6 แนวทางดังกล่าวมานี้ หากสังเกตจากช่วงเวลาที่ทรงงานเขียนแต่ละภาพ จะเห็นได้ว่ามิได้ทรงงานเขียนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแล้วจึงพัฒนาไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง หากแต่ได้ทรงงานในหลายๆ รูปแบบในระยะเวลาเดียวกัน บางครั้งเมื่อทรงงานในแบบหนึ่งแล้ว จึงทิ้งระยะเวลาไว้เนิ่นนานจึงกลับมาทรงทำในรูปแบบเดิมอีก

กระบวนการสร้างสรรค์งานศิลปะแบบนี้ แสดงถึงพระอัจฉริยภาพที่ทรงมีความอิสระ ไม่ทรงเป็นศิลปินที่ยึดติดกับขั้นตอนของการทำงานในรูปแบบใดๆ การทำงานในลักษณะนี้เป็นผลให้ผลงานภาพเขียนฝีพระหัตถ์มีบุคลิกภาพที่เฉพาะพระองค์และไม่มีใครเหมือน เป็นการทำงานของศิลปินอาชีพโดยแท้ ” (ทบวงมหาวิทยาลัย. 2539 : 594-598)

หม่อมเจ้า การวิก จักรพันธุ์ ทรงเขียนว่า
“ ภาพเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นอุปนิสัย จิตใจ และบุคลิกลักษณะของศิลปินผู้สร้าง ภาพสีน้ำมันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวชี้ให้เห็นว่าทรงสังเกตสิ่งแวดล้อมโดยละเอียด และทรงติดตามเหตุการณ์ทั้งรอบพระองค์และทั่วทั้งราชอาณาจักร ทั้งการเป็นไปรอบโลกโดยละเอียด ทรงคิดรอบคอบและลึกซึ้ง ทรงมีความรู้สึกตรงและแรง แต่ทรงบังคับหรือระงับไว้ได้หมด (สีแรงๆ นี้จะมีเส้นเทาหรือดำมาจำกัดขอบเขตไว้เป็นส่วนมาก)” (วิลาส มณีวัต. 2543 : 88-89)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 13 พ.ศ.2505 เพื่อพระราชทานกำลังใจแก่ศิลปินผู้ทำงานศิลปะแบบสมัยใหม่ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานภาพฝีพระหัตถ์เข้าร่วมการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 มาจนถึงปัจจุบันทุกปี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ แก่ศิลปิน

อัจฉริยะพระเลิศล้ำ                      ลือไกล
ฉ่ำชื่นพระกรุณลัย                       ส่อง หล้า
ประมวลภาพพัฒนาไผท          ทวยราษฎร์ เทิดแล
บุญที่ได้เป็นข้า                               อยู่ใต้ บทศรี
     (คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ ประพันธ์)

2.2 ศิลปะการถ่ายภาพ

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช

องค์อัครศิลปินแห่งพระราชวงศ์จักรีมี 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อันศิลปะวิชาการมากมายหลายสาขา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระปรีชาสามารถยิ่งนัก เป็นต้นว่า ศิลปะการดนตรี งานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม มันฑนศิลป์ ฯลฯ งานที่ทรงเชี่ยวชาญพอพระราชหฤทัยเป็นพิเศษ ได้แก่ ศิลปะการถ่ายภาพ ซึ่งทรงใช้ในพระราชกรณียกิจต่างๆ ติดต่อกันมาตั้งแต่ครั้งเยาว์พระชันษาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เมื่อพระชนมายุได้ 8 พรรษา (ราวปี พ.ศ.2479) ทรงมีกล้องถ่ายภาพชื่อ Coronet Midget เป็นกล้องเล็กๆ พอเหมาะกับพระหัตถ์เป็นกล้องแรก

ทรงบันทึกภาพถ่ายด้วยกล้อง มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงล้างภาพ อัดเองบางครั้ง ทรงเรียงเก็บเข้าสมุดอัลบั้มด้วยพระองค์เอง ทรงเขียนเบอร์ตามลำดับวัน เดือน ปี เก็บไว้ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนถึงปัจจุบัน (พึงจิตต์ ศุภมิตร, 2547 : 85)

ต่อจากนั้นทรงทดลองใช้กล้องถ่ายภาพหลายชนิด บางชนิดทรงซื้อด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และไม่ได้ทรงเจาะจงว่าต้องทรงใช้กล้องใหม่เสมอ ต่อมามีบริษัทผู้ผลิตกล้องถ่ายภาพ ได้ผลิตกล้องแบบใหม่ออกสู่ตลาดกันมาก หลายบริษัทได้นำกล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเนื่องใน วโรกาสต่างๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงทดลองใช้อย่างจริงจังทุกอย่างไป (พูน เกษจำรัส, 2535 : 36)

วิลาส มณีวัต (2539 : 86) เล่าว่า หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ได้ ทรง เขียนถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “ เนื่องจากพระราชภารกิจทวีคูณขึ้นทุกวัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงมีเวลาเขียนสีน้ำมันมานานแล้ว … หากแต่ยังทรงถ่ายภาพอยู่เสมอ พระเจ้าอยู่หัวทรงใช้เล็นซ์มาตรฐานที่ติดมากับกล้อง ทรงเป็น Purist เมื่อก่อนทรงถ่ายสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระราชโอรสธิดา

ทรงถ่ายสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระราชโอรสธิดา

ตอนหลังพระราชภารกิจบังคับให้ทรงถ่าย ได้แต่ที่เสด็จไปราชการ โดยเฉพาะต่างจังหวัดและชายแดน เป็นแบบรูปฉับพลันเหตุการณ์ ถ่ายครั้งเดียวด้วยไหวพริบ ไม่มีเวลาเลือกตัดภายหลัง (Cropping trimming) ด้วยตาศิลปิน ภาพที่พระราชทานให้แสดงในปีก่อนๆ เป็นตัวอย่างที่ดีของภาพที่ถ่ายเฉยๆ คือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงและเสริมสวยในห้องมืด เปรียบเหมือนแม่ครัวเอกชั้นยอด จะไม่ยอมใช้ผงชูรสช่วย เพราะถือว่าควรตัดสินความเป็นเลิศของอาหาร กันที่เครื่องปรุงและรสมือเท่านั้น มีภาพพระเนตรทูลกระหม่อมพระองค์น้อย พระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ฉายด้วยไฟบ้านดวงเดียว มีรูปเด็กจนๆ เฝ้าริมถนน ทรงถ่ายจากรถยนต์โดยเด็กเหล่านั้น ยังไม่ทันตั้งสติว่าช่างภาพนั้นคือใคร

                พระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ                  ฉายด้วยไฟบ้านดวงเดียว
มีรูปเด็กจนๆ เฝ้าริมถนน
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์

ภาพปีนี้ทรงถ่ายจากเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ แสดงเห็นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์อีกลำหนึ่ง กำลังขึ้นจากเขตอันตราย องค์ประกอบเป็นทิวเขาทแยงมุมแบบสายฟ้าแลบ มีฝุ่นก้อนใหญ่ตลบไปทางเครื่องบินที่จะขึ้นเหมือนมือยักษ์ร้ายที่จะยื่นมาจับ ทำให้ ผู้ดูเกิดความรู้สึกเป็นห่วงว่าเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์นั้นจะรอดมาได้หรือไม่ ภาพถ่ายนั้นแม้จะเป็นภาพขาวดำ ไม่มีสีรุนแรงมาเสริมกำลัง ก็อาจสร้างบรรยากาศที่แสดงให้เห็นว่าผู้ถ่ายใฝ่ใจพัวพันกับเรื่องที่ถ่ายมาให้ดู (Involvement) นักถ่ายประเภททำโปสการ์ดมักจะรักความสวยงามของทิวทัศน์ นักถ่ายเหตุการณ์ (Photo journalist) จะนำภาพสดๆ ร้อนๆ ถ่ายทอดความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์มาให้เราแบ่งความรู้สึกที่เหตุการณ์เหล่านั้นได้ก่อขึ้น

ภาพฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระกรุณาฉายภาพนายศรีสุข จันทรางศุ อธิบดีกรมทางหลวง บนทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2541 เวลาประมาณ 20.20 น.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็ดุจเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงถ่ายภาพทิวทัศน์หรือสิ่งที่ทรงพบเห็นในการพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในที่ต่างๆ มีทั้งภาพสถานที่ ราษฎรที่มาเฝ้า ภาพธรรมชาติที่งดงาม ในงานด้านพัฒนา ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ก็เป็นส่วนสำคัญยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น ภูมิประเทศในบริเวณที่น่าสนใจ พื้นที่เหมาะสมที่จะสร้างเขื่อน ฝาย อ่างเก็บน้ำ บริเวณหมู่บ้าน เส้นทางคมนาคม ทั้งที่ถ่ายจากพื้นราบและถ่ายขณะประทับอยู่ในเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ ภาพเหล่านี้สามารถใช้ประกอบพระราชดำริในการพัฒนาได้ เมื่อสร้างโครงการเสร็จแล้ว บางทีก็ทรงถ่ายเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบกับผลงานของเขาเอาไว้ด้วย ภาพถ่ายเหล่านั้นเป็นหลักฐานในการวางแผนปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแก้ไขเหตุการณ์ของบ้านเมืองได้ทันท่วงที เช่นเมื่อคราวน้ำท่วมกรุงเทพฯ ได้ทรงถ่ายภาพจุดสำคัญๆ ทางเฮลิคอปเตอร์ไว้เป็นหลักฐาน เพื่อใช้วินิจฉัยและวางแผนป้องกัน ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์เหล่านั้นจึงมักเป็นภาพถ่ายแบบฉับพลัน ซึ่งถ่ายได้เพียงครั้งเดียว ไม่มีเวลาหามุมกล้อง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถ เราจึงเห็นภาพฝีพระหัตถ์มีความคมชัด มีองค์ประกอบงดงาม และมีการเปิดรับแสงถูกต้อง

ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทั้งหลายล้วนแสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มิได้ถ่ายภาพเพื่อศิลปะแต่เพียงอย่างเดียว แต่ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์ สามารถแสดงถึงความสนพระราชหฤทัยในการเป็นไปของคนและความห่วงใยในทุกข์สุขของราษฎร สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนและพัฒนาชีวิตและสังคมประเทศชาติบ้านเมือง เพื่อนำความผาสุกร่มเย็น และเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนชาวไทยของพระองค์มีความเป็นดีอยู่ดีอีกด้วย (ศักดา ศิริพันธุ์. 2539 : 254-255)

พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับวงการถ่ายภาพ                                                                                                                                          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสมาคมถ่ายภาพ แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ทรงรับสมาคมฯ ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในปี พ.ศ.2502 และได้พระราชทานถ้วยรางวัลเกียรติยศสำหรับผู้ชนะเลิศ ในการประกวดภาพเอกรงค์ให้แก่สมาคมฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 และได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดงานนิทรรศการภาพถ่ายที่สมาคมฯ จัดขึ้นแต่ละปีตลอดมา อีกทั้งได้พระราชทานรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศการประกวดภาพถ่ายประเภทต่างๆ ด้วย นอกจากนี้ยังได้พระราชทานภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ให้สมาคมฯ อัญเชิญไปตั้งแสดงในงานนิทรรศการภาพถ่าย ให้ประชาชนทั่วไปได้ชื่นชมโสมนัสในพระปรีชาสามารถใน ด้านการ ถ่ายภาพอีกด้วย

ในด้านการทำข่าวของนักข่าวสื่อมวลชนนั้น นางจีรภา อ่อนเรือง เล่าให้ฟังว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระราชหฤทัยในการทำงานของนักข่าวและช่างภาพมาก พระองค์ท่านได้ทรงแนะนำว่า ผู้ที่เป็นช่างภาพควรเขียนข่าวได้ด้วยเพื่อว่าจะได้ไม่เปลืองคนถึงสองคน เป็นต้น

ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้อัญเชิญไปตั้งแสดงในงานนิทรรศการ อาทิ

ภาพที่ 1
ในอ้อมพระกร


12 กันยายน พ.ศ.2505 ณ สถานทูตไทย ประเทศออสเตรเลียมีพสกนิกรชาวไทย ไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นจำนวนมาก ในขณะที่มีพระราชปฏิสันถารกับบรรดาผู้ที่เฝ้าอยู่ใกล้เบื้องพระยุคลบาท ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยืนรอบข้างพระองค์แล้วจึงทรงใช้กล้องถ่ายภาพ มุมกว้างแบบหนึ่งที่ใหม่ และล้ำสมัยมากทดลองถ่ายภาพมุมแปลกๆ ไว้

วิธีที่ทรงถ่ายภาพ ได้ทรงนำกล้องมาวางหงายบนโต๊ะแล้วจึงทรงถ่ายภาพ เพราะกล้องอยู่ใกล้พระองค์ และเลนส์ที่ทรงใช้เป็นเลนส์มุมกว้างเป็นพิเศษที่เรียกว่า เลนส์ตาปลา (Fish-eye) จึงเห็นมุมกว้างแม้กระทั่งพระหัตถ์ทั้งสอง ภาพนี้นอกจากจะเป็นมุมศิลปะนำสมัยแล้ว ยังมีความหมายสอดคล้องต้องกับพระราชภารกิจ อันยิ่งใหญ่ที่ทรงโอบอุ้มพสกนิก รทั้งหลายไว้ในอ้อมพระกร

ภาพที่ 2
แม่ของชาติ

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงกอดสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารีแนบไว้กับพระอุระ ลักษณะที่ทูลกระหม่อมเล็กกำลังซุกพระอุระสมเด็จพระราชมารดาอยู่นี้ เห็นแล้วรู้สึกเป็นสุขอบอุ่นอย่างที่สุด ความสุขของลูก ความสุขของแม่ ของครอบครัว เป็นสุขอันสุดประเสริฐ จึงเป็นการสมพระเกียรติยิ่งนักที่บรรดาพสกนิกรทั้งหลายต่างถวายพระราชสมัญญาว่า “ พระแม่เจ้าของชาติ ”

เป็นภาพที่มีเส้นโครงสร้าง (Structure) สวย และให้อารมณ์แสดงออก (Expression) ได้แสงเหมือนภาพชีวิต ที่เรียกว่าเส้นโครงสร้างคือเส้นนำสายตาไปหาจุดเด่นในภาพนี้ โดยเริ่มต้นที่พระพักตร์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แล้วมองลงมาทางขวาโค้งไปหาพระพักตร์ทูลกระหม่อมเล็ก ตรงนี้เส้นจะม้วนเป็นก้นหอย (Spiral curve) ปลายเล็กคือจุดเด่นของภาพ ภาพนี้มีดีเป็นพิเศษอยู่ตรงจุดจะเริ่มต้นที่เส้นบนหรือล่างของภาพก่อนได้ทั้งนั้น และดูต่อไปให้ดูที่อารมณ์ พระเนตรของทูลกระหม่อมเล็กฉายให้เห็นว่าทรงอบอุ่นเป็นสุข ความสุขของลูกอยู่ที่ได้อบอุ่นในอกแม่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงฉายพระฉายาลักษณ์นี้ไว้ก็ด้วยจะทรงบันทึกเ ป็ นพระราชประวัติส่วนพระองค์ และเพื่อโปรดให้เป็นแบบอย่างความสุขของครอบครัว หากประชาชนเป็นสุข ประเทศชาติเจริญ

ภาพที่ 3
เทพธิดาขมิ้นป่า

โดยพระราชอัธยาศัยแล้วสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะทรงสนพระทัยเรื่องพืชพันธุ์ไม้ ทั้งไม้ดอกไม้ประดับและสมุนไพรเป็นประจำอยู่แล้ว คราวหนึ่งเมื่อปี พ.ศ.2525 ขณะที่แปรพระราชฐานในประทับ ณ ภูพิงคราชนิเวศน์ ในปีนั้นทางสวนดอกไม้ภูพิงค์ได้ไม้พันธุ์ดีมาอีกอย่างหนึ่งชื่อว่า ขมิ้นต้นหรือขมิ้นป่า ลักษณะเป็นไม้ต้นสูงท่วมศรีษะใบใหญ่มีหนามตามลำต้นและกิ่งก้าน ฤดูออกดอกอยู่ในตอนต้นฤดูร้อนราวเดือนกุมภาพันธ์ ดอกเป็นช่อยาวสีเหลืองสวยเหมือนขมิ้นทอง ปีหนึ่งจะออกดอกเพียงหนเดียว

พอดีเวลาที่ขมิ้นต้นกำลังจะออกดอกบานเต็มที่ ทูลกระหม่อมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ กำลังทรงชื่นชมด้วยความสนพระทัยอยู่ใต้พุ่มขมิ้นต้น ก็พอดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กำลังทรงกล้องถ่ายภาพอยู่ใกล้ๆ ทูลกระหม่อมเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตร แสงแดดส่องมาต้องพระพักตร์ด้านข้างพอดี ตรงนั้นมีใบไม้เป็นฉากหน้า ดอกขมิ้นป่าแวดล้อมอยู่รอบข้าง พอแย้มพระสรวล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงทรงลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพไว้อย่างฉับพลัน สีพระพักตร์ของทูลกระหม่อมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ กำลังสดชื่นแจ่มใสอยู่ท่ามกลางมวลไม้และดอกขมิ้นต้น “ เทพธิดาขมิ้นป่า ” จึงเป็นภาพที่เล่าเรื่องและแสดงอารมณ์ของภาพ ซึ่งได้แสงชัดแจ้งดีมาก ดูภาพนี้เมื่อใด เมื่อนั้นจะทำให้รู้สึกเสมือนว่ากำลังเข้าเฝ้าอยู่แทบเบื้องพระยุคลบาทอย่างชื่นชม และสำนึกในพระเมตตาเป็นที่ยิ่ง

ภาพที่ 4
จ้อง

คราวเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักไกลกังวล หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บ่ายวันหนึ่งทรงขับรถพระที่นั่งด้วยพระองค์เอง เพื่อจะได้ทอด พระเนตรชีวิตความเป็นอยู่อันแท้จริงของพสกนิกรทั้งหลายใน ละแวกนั้น

ระหว่างทางที่เสด็จฯ ผ่านไปตามถนนในชนบทชายป่า ได้ทอดพระเนตรเห็นเด็กชาวบ้านสองคน เด็กทั้งคู่ไม่ได้สวมเสื้อ เด็กผู้ชายเอามือทั้งสองเท้าสะเอวมองจ้องมา ฝ่ายหญิงกำลังกินขนมยืนจ้องนิ้วจุกปากด้วยความสงสัย เป็นที่สนพระราชหฤทัยอย่างยิ่งจึงทรงถ่ายภาพไว้ทันที

เป็นศิลปะภาพถ่ายประเภทที่เรียกว่า ภาพชีวิต (Human-interest) มีชีวิตจริงๆ มองทีไรจะเห็นสายตาเด็กจ้อง นิ้วจุกปากอยู่ร่ำไป ยังไม่ได้เคลื่อนไหวและยังไม่ได้กินขนมต่อสักที นอกจากมีศิลปะดียิ่งแล้ว ผู้ชมภาพทุกคนต่างซาบซึ้งในพระเมตตาบารมีที่ทรงสนพระราชหฤทัย ต่อความเป็นอยู่ของพสกนิกร ของพระองค์อย่างทั่วถึง โดยมิได้ทรงเว้นแม้กระทั่งเด็กชาวบ้านชนบท

ภาพที่ 5 (ไม่ได้พระราชทานชื่อ)

เมื่อปี พ.ศ.2526 เกิดน้ำท่วมใหญ่ เป็นเหตุที่ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหาย ไปทั่วทุกหนแห่ง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร และบริเวณจังหวัดใกล้เคียงซึ่งมีประชาชน อาศัยอาศัยกันอยู่อย่างเนืองแน่น มีหน่วยงานทั้งราชการและเอกชนตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก

ความทุกข์ยากของประชาชนครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงตระหนักในพระราชหฤทัย และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรบริเวณน้ำท่วมหนักเป็นการส่วนพระองค์ ทรงถ่ายภาพด้วยกล้องประจำพระหัตถ์ไว้ทุกแง่มุม เมื่อรวบรวมภาพที่ทรงบันทึกไว้แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องน้ำท่วมเข้าเฝ้าถวายรายงานข้อมูลต่างๆ ทรงศึกษาถึงสภาว-การณ์สิ่งแวดล้อม และพระราชทานแนวพระราชดำริเพื่อแก้ไขน้ำท่วมให้กับหน่วยงานราชการรับสนองและดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของพสกนิกร

ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังได้รับการตีพิมพ์หน้าปกหนังสือ และภายในหนังสือ และวารสารอีกมากมาย

พระปรีชาสามารถทางด้านการถ่ายภาพได้แผ่ขจรขจายไปยังต่างประเทศ จนกระทั่งราชสมาคมถ่ายภาพแห่งสหราชอาณาจักร ได้กราบบังคมทูลเชิญให้ดำรงตำแหน่งราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (Honorary Fellow) ของราชสมาคมฯ และสหพันธ์ศิลปะการถ่ายภาพนานาชาติ ได้ขอพระราชทานทูลเกล้าถวายเกียรติบัตรสูงสุด (Honorary Excellent FIAP) พระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และหลักฐานต่างๆ ได้ปรากฏอยู่ใน คำกราบบังคมทูล ของนายจิตต์ จงมั่นคง และหลักฐานจดหมายจากนาย Kenneth R. Warr เลขานุการราชสมาคมถ่ายภาพฯ ที่มีถึง ท่านราชเลขาธิการ และจดหมาย จากสหพันธ์ศิลปะการถ่ายภาพนานาชาติ ที่มีถึงสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์

พระมหาการุณ                                  พระคุณเลิศ
ทวยราษฎร์เทิดอัจฉริยะ                พระมิ่งขวัญ
พระหมายมุ่งผดุงสุข                        ทุกชีวัน
ทรงถ่ายภาพเพื่อสร้างสรรค์       และพัฒนา
(คุณหญิง กุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ ประพันธ์)

2.3 ดุริยางคศิลป์ (ด้านดนตรี)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นคีตกวีที่นักดนตรีทั้งในประเทศ และทั่วโลกยกย่องอย่างมาก ทรงสนพระราชหฤทัยทางด้านดนตรีตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และเมื่อเสด็จฯ ไปทรงศึกษาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ทรงเรียนดนตรีกับนายเวยเบรชท์ ( Weybrecht) ชาวอัลซาส ( Alsace ) โดยพระอาจารย์มาสอนวิธีการอ่านโน้ตและบรรเลงเพลงแบบคลาสสิค ณ พระตำหนักวิลลาวัฒนา ทรงเรียนครั้งละ 30 นาที ทรงซื้อเครื่องดนตรีโดยใช้สตางค์ค่าขนมที่สมเด็จพระศรีนครินทราฯ พระราชทานให้ พระองค์ทรงรวบรวมไว้ และสมเด็จพระศรีนครินทราฯ ทรงออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง พระองค์ออกอีกครึ่งหนึ่ง จึงทรงได้เครื่องดนตรี

เมื่อทรงพระเจริญขึ้นก็ทรงถีบจักรยาน ไปทรงเรียนดนตรีที่บ้านพระอาจารย์ เครื่อง ดนตรีที่ทรงโปรดมากที่สุดได้แก่ เครื่องเป่าต่างๆ ดังนั้นจึงทรงพระปรีชาสามารถทรงเครื่องเป่า ได้หลายประเภทเช่น เทนเนอร์แซกโซโฟน บาริโทนแซกโซโฟน คลาริเนต และทรัมเปต

เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วจึงได้ทรงเปียโนเพิ่มขึ้น เพื่อทรงใช้ประกอบการพระราชนิพนธ์เพลง และเพื่อทรงดนตรีร่วมกับวงดนตรีเป็นการส่วนพระองค์

ทรงเปียโน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงได้รับการยกย่องว่า มีพระปรีชาสามารถ ในการเป่าโซปราโนแซกโซโฟนได้ดีที่สุดในประเทศไทย ส่วนดนตรีที่โปรดนั้นคือ ดนตรีแจ๊สดิ๊กซีแลนด์ (Dixieland Jazz) ซึ่งเป็นสไตล์ของชาวอเมริกันแห่งเมืองนิวออลีนส์ หลัง ค.ศ.1916 (พ.ศ.2459) เป็นแจ๊สที่มีจังหวะตื่นเต้นครึกครื้นและสนุกสนานเร้าใจ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นระบายอารมณ์ และความรู้สึกออกมาเป็นทำนองเพลงได้อย่างเสรี นอกจากนี้ยังตั้งวงได้ง่ายเพราะใช้เครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้นก็เล่นได้ เหมาะสำหรับนักดนตรีสมัครเล่นที่จะจับกลุ่มตั้งวงขึ้น ในหมู่มิตรสหายที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเห็นคุณค่าของดนตรีอย่างยิ่ง พระองค์ทรงถือ ว่าดนตรีเป็นศิลปะที่สำคัญที่สุด

“… การดนตรีนี้เป็นศิลปะที่สำคัญอย่างหนึ่ง หรือในหมู่ศิลปะทั้งหลายอาจจะพูดว่าเป็นศิลปะที่สำคัญที่สุด อย่างน้อยสำหรับในจิตใจของศิลปินนักดนตรีคงจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะว่าการดนตรีนี้เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นศิลปะที่ทำให้เกิดความปีติ ความภูมิใจ ความยินดี ความพอใจได้มากที่สุด เพราะว่ามีเหตุผลว่าศิลปะอย่างอื่นเมื่อปฏิบัติแล้ว หรือเมื่อเป็นศิลปินในศิลปะนั้น จะไม่เกิดความพอใจเท่าดนตรี ดนตรีนั้นจะเป็นนักปฏิบัติเพลง คือนักเล่นดนตรีก็ตาม จะเป็นนักแต่งเพลงแต่งทำนองหรือคำร้องก็ตาม จะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีในด้านไหนก็ตาม จะได้ความปลื้มใจ จะได้ความพอใจได้ …” (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ . 2530 : 24)

“… ดนตรีนี้มีอานุภาพสูงมาก ทั้งไม่ต้องเสียสตางค์อะไรเท่าไร คือว่าขีดเขียนไปนิดหน่อยแล้วก็เล่นไป ก็ทำให้คนเราเกิดความพอใจได้รู้สึกได้ บางทีก็เกิดปลาบปลื้มจนขนลุกก็มี แต่ในที่สุดก็แสดงว่าถ้าเราทำไปๆ ก็อาจล้างสมองเขาได้ อาจจะทำให้จิตใจเขาเปลี่ยนไปได้

ฉะนั้นการดนตรีนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปที่ไม่ได้เล่นดนตรี ไม่ได้แต่งเพลงไม่ได้ร้องเพลง แต่ก็ฟังเพลงก็ดึงจิตใจเขาได้ เท่ากับทำให้จิตใจเขามีความเบิกบานก็ได้ ความเศร้าหมองก็ได้ ความตื่นเต้นก็ได้ ชักจูงต่างๆ ได้ นี่คือความสำคัญของการดนตรีซึ่งเหนือศิลปะอื่น …” (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ . 2530 : 26-27)

ทรงดนตรีร่วมกับเบนนี่ กู๊ดแมน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงใช้ดนตรี เป็นสื่อที่พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษามหาวิทยาลัย ทรงใช้สื่อในการกระชับสัมพันธไมตรีได้อย่างดีเลิศ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ เนื่องจากดนตรีเป็นภาษาสากลที่สามารถขจัดอุปสรรคทางภาษา วัย ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่ต่างกัน เพราะภาษาดนตรีสามารถสื่อความหมายให้ทุกคนเข้าใจ และเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างกันประสบความสำเร็จมาแล้วหลายครั้งหลายหน เบนนี่ กู๊ดแมน (Benny Goodman) ราชาสวิงแจ๊สผู้โด่งดัง และนักเป่าคลาริเนตฝีมือเอกของโลกก็ได้ประจักษ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแล้ว เมื่อทรง “ สนทนา ” กับเขาด้วยคลาริเนตอย่างเป็นกันเอง ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เช่นเดียวกับที่ได้ทรงดนตรีโต้ตอบนักเป่าเทนเนอร์แซกโซโฟนชื่อดังอย่าง สแตน เกตซ์ (Stan Getz) นักเป่าทรอมโบนอย่าง แจค ทีการ์เดน (Jack Teagarden) และนักเล่น ไวบราโฟนระดับโลกอย่าง ไลโอเนล แฮมป์ตัน (Lionel Hampton)

ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศทั้งทางราชการและไม่ใช่ทางราชการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงใช้ดนตรีโต้ตอบภาษาดนตรีกับนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงของโลกในหลายประเทศ ได้ประทับใจเจ้าภาพทุกแห่งเช่น คราวเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ.2503 ได้เสด็จฯ ไปเสวยพระกระยาหารค่ำที่วอชิงตันเพลส ฮอโนลูลู ซึ่งผู้ว่าการรัฐฮาวายจัดถวาย เมื่อเสวยเสร็จเจ้าภาพได้จัดวงดนตรีสวิงของ “Kenny Alford and his Dixiecats” บรรเลงเพลงถวาย เจ้าภาพและแขกที่ได้รับเชิญทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระปรีชาสามารถพิเศษด้านดนตรี จึงกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ทรงดนตรีร่วมกับวงที่กำลังบรรเลง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า หญิง วิภาวดี นิพนธ์ไว้ในหนังสือ “ เสด็จพระราชดำเนินสหรัฐอเมริกา พุทธศักราช 2503 ” ว่า “ ทรงเสียอ้อนวอนไม่ได้ก็เสด็จขึ้นไปทรงเป่าคลาริเน้ตร่วมกับนายแอลฟอร์ดกับพวกดิกซี่แค้ตส์ของเขา 2 เพลง คือเพลง Blues in B Flat กับ Back Home in Indiana คนดูตบมือกันใหญ่ การที่ทรงกระทำเป็นกันเองเช่นนี้พวกอเมริกันชอบมาก ”

และเมื่อเสด็จฯ ต่อไปยังนครนิวยอร์ค นายเนลสัน เอ . ร็อกกีเฟลเลอร์ ผู้ว่าการฯ จัดงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำถวาย เมื่อเสวยเสร็จ นายเบนนี่ กู๊ดแมน “ ราชาแห่งแจ๊ส ” กับคณะก็บรรเลงเพลงแจ๊สถวาย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า หญิง วิภาวดี ทรงเล่าไว้ในพระนิพนธ์เล่มเดียวกันว่า “ เจ้าเมืองและแขกทั้งปวงก็คะยั้นคะยอให้พระเจ้าอยู่หัวทรงเป่าปี่ ร่ วมกับ ‘ ราชาแห่งแจ๊ส ‘ ท่านไม่ทรงขัดข้องก็เสด็จไปตามคำทูลเชิญ ”

วันรุ่งขึ้น 5 กรกฎาคม พ.ศ.2503 ตอนบ่ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชดำเนินเยี่ยม นายเบนนี่ กู๊ดแมน ถึงที่อยู่ ณ บ้านเลขที่ 200 อิสต์ ถนนที่ 66 นครนิวยอร์ค สื่อมวลชนอเมริกันได้กราบบังคมทูลถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นนักดนตรีแจ๊สจริงหรือไม่และโปรดดนตรีประเภทใดมากที่สุด มีกระแสพระราชดำรัสตอบว่า

“ ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า จะเป็นแจ๊สหรือไม่ใช่แจ๊สก็ตาม ดนตรีล้วนอยู่ในตัวคนทุกคน เป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคนเรา สำหรับข้าพเจ้า ดนตรีคือสิ่งประณีตงดงาม และทุกคนควรนิยมในคุณค่าของดนตรีทุกประเภท เพราะว่าดนตรีแต่ละประเภทต่างก็มีความเหมาะสมตามแต่โอกาสและอารมณ์ที่ต่างๆ กันไป

เมื่อพูดถึงการเล่นดนตรี ก็ต่างกันอีก ถ้าข้าพเจ้าเล่นเพลงคลาสสิคและมีใครทำเสียงดังอย่างงี้ ก็เป็นการรบกวน เพราะดนตรีคลาสสิคต้องเล่นอย่างตั้งใจจริงจัง ข้าพเจ้าไม่ได้พักผ่อนเท่าใดนัก ต้องคอยระวังไม่ให้ผิดโน้ตและไม่ให้ใครมารบกวนข้าพเจ้า ถ้าหากข้าพเจ้าต้องเล่นเพลงแจ๊สจะดีกว่า เพราะข้าพเจ้าเล่นทำนองได้ตามใจชอบตามที่รู้สึกในขณะนั้น ตามเเต่อารมณ์และความนึกคิดของข้าพเจ้าจะพาไป ถ้าใครจะมาทำเสียงดังเวลานั้น ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเสียงประกอบ และถ้าข้าพเจ้าเล่นผิดโน้ต ก็เท่ากับว่าข้าพเจ้าแต่งทำนองนั้นขึ้นเองในปัจจุบัน ”

ใน พ.ศ.2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากเสร็จสิ้นพระราชภารกิจแล้ว ได้ร่วมทรงดนตรีกับสมาชิกวุฒิสภาของฟิลิปปินส์ ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงมนิลา พระปรีชาสามารถในครั้งนี้สร้างความประทับใจแก่ชาวฟิลิปปินส์ และช่วยกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ต่อมาใน พ.ศ.2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงรับคำกราบบังคมทูลเชิญของประธานาธิบดีลืบเก้ เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันอย่างไม่เป็นทางการ หนังสือพิมพ์ Bremer Nachrichten ฉบับวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2509 ลงข่าวว่า

“ ในงานพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นการขอบพระทัยในวันสุดท้าย วงดนตรี Harold-Eckstein-Sextett ได้บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงร่วมบรรเลงเพลงด้วย โดยได้ทรงเป่าแซกโซโฟนและแคลริเนต และมีนาย Bodo Selge นายกเทศมนตรีแห่งเมือง Bremerhaven เป็นผู้เล่นเปียโน ”

อ.ส.พ.น. กล่าวถึงพระปรีชาสามารถในการแต่งทำนองสด (Adlib) ไว้ดังนี้ “ คนเราเวลาเล่นดนตรี ถูกสอนมาให้อ่านโน๊ต เวลาเล่นดนตรีก็จะอ่านโน๊ตแบบเกาะโน๊ตอยู่ตลอดเวลา แต่พระองค์ท่านสามารถทรงดนตรีได้ทั้งชนิดมีโน้ตและไม่ต้องมีโน้ต และเวลามีโน้ตถึงตอนเดี่ยว (solo) พระองค์ก็สามารถใช้ปฏิภาณขณะเดี่ยวเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม แบบนี้นักดนตรีถ้าไม่ใช่ชั้นหนึ่งแล้วจะทำไม่ได้ ศัพท์ทางดนตรีเรียกว่า solo adlib ซึ่งการเดี่ยวแบบ solo adlib นี้ถือว่ายากมาก เนื้อหาเดิมจะหายไปเหมือนแต่งเนื้อหาใหม่ขึ้นมา แต่อยู่ในกรอบของเพลง อยู่ในขอบเขต เวลาทรงเดี่ยวแล้วไม่มีเขว ไม่ว่าเที่ยวหนึ่ง เที่ยวสอง จะไม่มีการหลงเป็นอันขาด ถือเป็นพระอัจฉริยะที่สูงจริง ๆ …” (อ.ส.พ.น. 2529 : 18)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงแตกฉานในเรื่องทฤษฎีดนตรีของคาสสิค และของแจ๊ส อีกทั้งทรงเล่นดนตรีทั้งสองประเภทได้ยอดเยี่ยมพอๆ กัน นอกจากนั้นยังทรงรอบรู้ประวัติศาสตร์ดนตรีอย่างดียิ่ง พระองค์ได้เคยทรงอธิบายให้พระเจ้า วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธุ์ เพ็ญศิริ (ขณะนั้นดำรงพระยศเป็น หม่อมเจ้าจักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์) ว่าเพลง blues ของนิโกรนั้นแม้จะพร่ำเพ้อถึงทุกข์ทรมาน แต่จะลงท้ายด้วยปรัชญาชีวิตที่จะคงต่อสู้ต่อไป นอกจากจะทรงพระปรีชาสามารถในการถ่ายทอดความรู้ แล้วยังทรงเป็นครูสอนดนตรีด้วย เมื่อทรงตั้ง “ วงแตรวงสหายพัฒนา ” ขึ้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธุ์เพ็ญศิริ ได้ประทานสัมภาษณ์เกี่ยวกับแตรวงไว้ดังนี้

“… พระองค์ท่านได้ทรงตั้งแตรวงสหายพัฒนา โดยรวมเอาผู้ที่ปฏิบัติราชการใกล้ชิดกับพระองค์ท่านที่ได้ร่วมโดยเสด็จฯ ในการไปพัฒนาชนบทในภูมิภาคต่างๆ เป็นประจำ เช่น คณะแพทย์ บรรดาราชองครักษ์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัย นักเกษตรในพระราชสำนัก และข้าราชบริพารในพระองค์ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยเล่นดนตรีมาก่อนเลย แต่การที่พระองค์ท่านได้พระราชทานเวลาฝึกสอนให้เพียงเล็กน้อย หากแต่ด้วยกลวิธีการสอนพิเศษของพระองค์ท่าน จึงได้ทรงตั้งวงแตรวงที่ได้รับพระราชทานชื่อว่า “ วงสหายพัฒนา ” ขึ้นเป็นผลสำเร็จ

สามารถบรรเลงเพลงได้ดี มีประโยชน์ในการช่วยเสริมงานพัฒนาชนบทของพระองค์ท่านได้อย่างดียิ่ง และวงแตรวงใหม่นี้ยังมีทางก้าวหน้าไปได้อีกไกล ทั้งนี้เพราะพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งได้ทรงใช้ความเป็น “ ครู ”  ที่มีอัจฉริยะสร้างสรรค์ในทางด้านดนตรีเป็นพิเศษ จึงเป็นมิ่งขวัญและกำลังใจให้ผู้ที่อยู่ในวงการดนตรีทั้งหลายได้ชื่นชมและเพียรพยายาม ที่จะเจริญตามรอยเบื้องพระยุคลบาทให้ดีที่สุดสืบไป เพื่อประโยชน์อันสูงสุดของชาติไทย ” (ทบวงมหาวิทยาลัย. 2539 : 551 อ้างถึง อ.ส.พ.น. 2529 พระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ใน วัฒนธรรมไทย. 25 : กุมภาพันธ์ 2529 : 13 – 20)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นอกจากจะทรงเป็นนักดนตรีแล้วยังทรงเป็นนักประพันธ์เพลงด้วย บางครั้งทรงประพันธ์ทั้งทำนองและคำร้อง เช่น เพลง Dream Island, Echo, No moon, Still on my mind, Old–fashioned Melody ตั้งแต่ พ.ศ.2489 ถึงปัจจุบัน ทรงพระราชนิพนธ์เพลงรวม 48 เพลง ส่วนใหญ่จะทรงพระราชนิพนธ์ทำนอง และทรงพระกรุณา โ ปรดเกล้าฯ ให้พระ เจ้า วรวงศ์ พระองค์เจ้าจักรพัน ธุ์ เพ็ญศิริ หรือ นายแมนรัตน์ ศรีกรานนท์ หรือ หม่อมหลวง เสนีย์ ปราโมช เป็นผู้ประพันธ์คำร้องถวาย โดยปกติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงแต่งทำนองเพลงขึ้นก่อน แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ใกล้ชิดแต่งเนื้อร้อง แต่มีอยู่ 4 เพลง ที่ทรงแต่งทำนองตามคำร้องคือ เพลง “ ความฝันอันสูงสุด, เราสู้, รัก และเมนูไข่ ” (ศิลปวัฒนธรรม. 17 (3) : มกราคม 2529 : 29) เพลงส่วนใหญ่มีคำร้องที่เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แต่มีบางเพลงที่คำร้องเป็นภาษาไทยเท่านั้น เช่น พรปีใหม่, เกษตรศาสตร์, จามจุรี, ความฝันอันสูงสุด, เราสู้ เป็นต้น และที่เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น คือ เพลง Oh I Say และเพลงบางเพลงมีเฉพาะทำนองไม่มีคำร้อง เช่น Ray Kram Goes Dixie, The Nuture Walze The Hunter, Kinari Walze, พระมหามงคล (เพลงประจำวงดนตรีสุนทราภรณ์) เป็นต้น

ตัวอย่างเพลงพระราชนิพนธ์
1. เพลงพระราชนิพนธ์ แสงเทียน : Candlelight Blues
เป็นเพลงแรกที่พระราชนิพนธ์ในเดือนเมษายน พ.ศ.2489 ครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราชฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพัน ธุ์ เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย แต่เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะแก้ไขทำนองและคอร์ทบางตอน จึงยังไม่โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้นำออกมาบรรเลงในเวลานั้น ต่อมาได้พระราชทานให้นำออกมาบรรเลงครั้งแรก พ.ศ.2490 และใน พ.ศ.2496 นางสาวสดใส วานิชวัฒนา (รองศาสตราจารย์สดใส พันธุมโกมล) ได้ประพันธ์คำร้องถวาย

แสงเทียน

จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า
สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน
โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน
หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ
ต่างคนเกิดแล้วตายไป
ชดใช้เวรกรรมจากจร

นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยงเสี่ยงบุญกรรม
ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน
เชิญปวงเทวดาข้าไหว้วอน
ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน
แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน

เปรียบเทียนสิ้นแสงยามแรงลมเป่า
ชีพดับอับเฉาเหมือนเงาไร้ดวงเทียน
จุดเทียนถวายหมายบนบูชาร้องเรียน
โรคภัยเบียดเบียนแสงเทียนทาน
ลมพัดโบย
โรครุมเร่าร้อนแรงโรย
หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ

ทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน
ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่
เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด
ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
แสงเทียนบูชาจะดับพลัน
แสงเทียนบูชาดับลับไป

CANDLELIGHT BLUES

The candlelight is shining low,
My only love, I’m missing you so
I know I’ve lost but still I dream of you
I’ll hope and dream till all my dreams come true.

Just by the candlelight
You used to hold me tight

This candlelight reminds me so of you
By candlelight you kissed me
Still the candle’s burning for two
But darling, where can you be?
Come back, my love, if you’re feeling this blue
By candlelight you’ll meet me
But darling where can you be?

2. เพลงพระราชนิพนธ์ ยามเย็น : Love at Sundown
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์ ใน พ.ศ.2489 ขณะยังทรงเป็นพระอนุชาธิราชฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธุ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย และท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา แต่งคำร้องภาษาอังกฤษ แล้วพระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีคำร้องสมบูรณ์ให้นายเอื้อ สุนทรสนาน นำออกบรรเลงในงานของสมาคมปราบวัณโรค ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร เมื่อวันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2489 นับเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกที่นำออกบรรเลงสู่ประชาชน เป็นเพลงที่ร่าเริงแจ่มใสเหมาะสำหรับการเต้นรำในสมัยนั้น จึงเป็นเพลงยอดนิยมของพสกนิกรไทยทันที

ยามเย็น

แดดรอนรอน
ทอแสงเรืองอร่ามช่างงามตา
แดดรอนรอน
ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ
แต่ก่อนเคยคลอเคลียกัน
ต้องอยู่เดียวเปลี่ยววิญญาณ์
แดดรอนรอน
ความรักเรายังอยู่คู่กันไป

แดดรอนรอน
คลอเคล้าพฤกษาชาติชื่นเชยชม
ลิ่วลมโชย
ยามสายัณห์พลันพรากจากดวงใจ
แต่ก่อนเคยคลอเคลียกัน
ต้องอยู่เดียวเปลี่ยววิญญาณ์
โอ้ยามเย็น
ยามไร้ความสว่างห่างทินกร

เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา
ในนภาสลับจับอัมพร
เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล
ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตา
ทุกวันคืนรื่นอุรา
เหมือนดังนภาไร้ทินกร
หากทินกรจะลาโลกไปไกล
ในหัวใจยังอยู่คู่เชยชม

หมู่มวลภมรบินลอยล่องตามลม
ชมสมตามอารมณ์ล่องเลยไป
กลิ่นพรรณไม้โปรยโรยร่วงห่วงอาลัย
คอยแสงทองวันใหม่กลับคืนมา
ทุกวันคืนชื่นอุรา
เหมือนดังนภาไร้ทินกร
จวบยามนี้เป็นเวลาสุดอาวรณ์
ยามรักจำจะจรจากกันไป

LOVE AT SUNDOWN

‘Tis sundown.
The golden sunlight tints the blue sea.
Paints the hill and gilds the plam tree,
Happy be, my love, at sundown.

‘Tis sundown.
The multi-coloured dancing sunbeam
Brightly shines on in my heart’s dream
Of the one I love, at sundown.

The birds come to their nest
At peace, they bill and coo.
The wide world sinks to rest,
And so do I and so do you.

‘Tis sundown.
In splendour sinks the sun, comes twilight,
Day is done, now greets the cool night.
Happy be, my love, at sundown.

เพลงพระราชนิพนธ์ สายฝน อายุน้อยกว่าเพลงพระราชนิพนธ์ ยามเย็น หนึ่งเดือน แต่ได้รับความนิยมจากพสกนิกรชาวไทยทั่วทุกภาคของประเทศเป็นเวลายาวนาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีกระแสพระราชดำรัสเล่าว่า หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับมาประทับในประเทศไทยเป็นการถาวร เมื่อ พ.ศ.2494 แล้ว พระราชกรณียกิจแรกที่ทรงปฏิบัติต่อเนื่องกันยาวนานคือ การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัดภาคต่างๆ ทั้งภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ ฯลฯ รับสั่งว่า “ คลุกฝุ่นทั้งวัน ” พอตกค่ำก็มีการเลี้ยงข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน และถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่ศาลากลาง หรือที่ประทับแรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ต้องทอดพระเนตรการแสดงต่างๆ ของท้องถิ่นนั้นๆ มีการแสดงอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ระบำสายฝน ต้องมีทุกครั้งในรูปแบบต่างๆ รับสั่งว่า “… สายฝนแบบจั๊กๆ ก็มี สายฝนแบบปรอยๆ ก็มี ” เพราะราษฎรถือว่าเป็นเพลงสัญลักษณ์ก็ทรงปลาบปลื้มในฐานะนักแต่งเพลง

แต่สำหรับประเทศชาติและราษฎรไทยแล้ว ถือเป็นเกียรติยศอันสูงและภาคภูมิใจยิ่ง เมื่อเพลงพระราชนิพนธ์ “ สายฝน ” ได้รับการคัดเลือกเป็นเอกฉันท์จากสมาชิกองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) 18 ประเทศ ซึ่งจัดขึ้นในกรุงโตเกียว พ.ศ.2523 ให้เพลงพระราชนิพนธ์สายฝนเป็นเพลงประจำกลุ่มประเทศเอเชีย มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Song of Asia” ( คุณหญิงคณิตา เลขะกุล. 2539 : 209)

3. เพลงพระราชนิพนธ์ สายฝน : Falling Rain
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 3 ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ.2489 ขณะทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราชฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธุ์ เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธุ์ เพ็ญศิริ ทรงแต่งร่วมกับท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา เพลงพระราชนิพนธ์สายฝนนี้ มีลีลานุ่มนวลอ่อนหวาน บรรเลงครั้งแรกในงานรื่นเริงของสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2489 จึงเป็นเพลงยอดนิยมของพสกนิกรไทยอีกเพลงหนึ่งจนถึงปัจจุบัน

สายฝน

เมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว
เหมือนจะเอนรากคลอนถอนไป
พระพรหมท่านบันดาลให้ฝนหลั่ง
น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม
สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวทุ่ง
รุ้งเลื่อมลายพร่างพรายนภา
พระพรหมช่วยอำนวยให้ชื่นฉ่ำ
น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟ้าแดนไกล

ต้นไม้พลิ้วลู่กิ่งใบ
แต่เหล่าไม้ยิ่งกลับงาม
เพื่อประทังชีวิตมิทราม
ทั่วเขตคามชุ่มธารา
แดดทอรุ้งอร่ามตา
ยามเมื่อฝนมาแต่ไกล
เพื่อจะนำดับความร้อนใจ
พืชพรรณไม้ชื่นยืนยง

FALLING RAIN

 

Rain winds sweep across the plain.
Thunder rumbles on high.
Lightning flashes ; bows the grain.
Birds in fright nestward fly.
But the rain pours down in blessing.
Filled with cheer our hearts expand.
As the woods with notes of pleasure ring,
Sunlight streams o’er the land.

Bright the rainbow comes in view.
All the world’s cool and clean.
Angels’ tears the flowers renew.
Nature glistens in green.
Rain beads sparkle in your hair, love.
Rainbows glitter when you smile.
Thus we soon forget the clouds above,
Beauty so does beguile.

4. เพลงพระราชนิพนธ์ รัก
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 47 ทรงพระราชนิพนธ์ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2537 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง กราบบังคมทูลพระกรุณาขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงสำหรับกลอนสุภาพ 3 บท ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อพระชนมายุ 12 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเพลงนี้ให้วงดนตรี อ.ส. วันศุกร์บรรเลงทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์ตลอดเดือนธันวาคม พ.ศ.2537

ต่อมาเมื่อทรงแก้ไขแล้วก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายแมนรัตน์ ศรีกรานนท์ นำไปแยกและเรียบเรียงเสียงประสาน เพื่อทรงดนตรีร่วมกับวงดนตรี อ.ส. วันศุกร์ในงานพระราชทานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ.2538 ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แจกคำร้องเพลงพระราชนิพนธ์เพลง “ รัก ” แก่แขกผู้ได้รับเชิญทุกโต๊ะไว้ล่วงหน้า ต่อมาก็เชิญแขกผู้ได้รับเชิญ อาทิ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย และนายทหาร ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ขึ้นไปร้องเพลงพระราชนิพนธ์บนเวที ทีละโต๊ะจนทั่วถ้วน โดยทรงบรรเลงดนตรีนำด้วยพระองค์เอง ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำออกอากาศทางสถานีวิทยุ จ.ส.100 เมื่อต้นปี พ.ศ.2538

       รักทะเล
รักท้องฟ้า
รักท้องทุ่ง
รักป่าเขา

      รักพฤกษา
รักปักษา
รักอุทัย
รักทั้งรัต –

    รักดารา
รักน้ำค้าง
รักทั้งหมด
รักนวลนาง

รัก

อันกว้าง
โอฬาร
ท้องนา
ลำเนาไพร

รุกขชาติ
ร้องกู่
สว่าง
ติกร

ส่องแสง
อย่างมณี
รักทั้งสิ้น
รักจน

ใหญ่ไพศาล
สีสดใส
ดังดวงใจ
แสนสุนทร

ที่ดาษป่า
บนสิงขร
กลางอัมพร
ในนภดล

สุกสว่าง
มีโภคผล
ที่ได้ยล
หมดสิ้นใจ

5. เพลงพระราชนิพนธ์ เมนูไข่

เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 48 ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2538 เพื่อพระราชทานเป็นของขวัญวันพระราชสมภพครบ 72 พรรษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ด้วยทรงรำลึกได้ว่า สมเด็จพระเชษฐภคินีโปรดเสวยพระกระยาหารไข่ เป็นแรงบันดาลพระราชหฤทัยให้ทรงพระราชนิพนธ์ กอปรกับพบโคลงสี่ “ เมนูไข่ ” ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อ พ.ศ.2518 ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้พลเรือตรี หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช นำไปแยกและเรียบเรียงเสียงประสาน เพื่อให้วงดนตรี อ.ส. วันศุกร์นำออกบรรเลงและขับร้องในงานพระราชทานเลี้ยงฉลองสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2538

เมนูไข่

     เมนูไข่เมนูไข่
เมนูไข่เมนูไข่
ไข่เค็มไข่ลวกทั้ง
กับไข่ต้มสุกนาน

     เมนูไข่เมนูไข่
ไข่ตุ๋นรสเยี่ยมปาน
ไข่ไก่โอ้เอี่ยมอ้า

    เมนูไข่เมนูไข่
เมนูไข่เมนูไข่
เมนูไข่เมนูไข่
เมนูไข่เมนูไข่
เมนูไข่เมนูไข่

อร่อยแท้อยากกิน
อร่อยแท้อยากกิน
ไข่หวาน
เยี่ยวม้า

อร่อยแท้อยากกิน
รสทิพย์
อร่อยแท้อยากกิน

อร่อยแท้อยากกิน
อร่อยแท้อยากกิน
อร่อยแท้อยากกิน
อร่อยแท้อยากกิน
อร่อยแท้อยากกิน

ในด้านดนตรีสำหรับประชาชน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถานีวิทยุ อ.ส. จัดให้มีการแสดงดนตรีสำหรับประชาชนเป็นประจำขึ้นที่เวทีลีลาศสวนอัมพรในตอนบ่ายวันพุธและเช้าวันอาทิตย์ ก่อนที่จะมีโทรทัศน์ในเมืองไทย วงดุริยางค์ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ วงกรมประชาสัมพันธ์ วงมหาวิทยาลัยต่างๆ และวงเอกชนจะผลัดเปลี่ยนกันมาบรรเลงดนตรีและดนตรีสากลทุกประเภท ให้ความสุขและรื่นรมย์ใจแก่ประชาชนในครั้งกระนั้นเป็นอย่างยิ่ง

เพลงพระราชนิพนธ์ที่มีทำนองเพลงอันไพเราะ และสามารถขับร้องได้ขึ้นใจ ในปัจจุบันคือเพลงพระราชนิพนธ์ “ พรปีใหม่ ” ได้กลายเป็นเพลงปีใหม่ในวัน ส่ง ท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของคนไทย เพลงพระราชนิพนธ์ “ มหาจุฬาลงกรณ์ ” “ ยูงทอง ” (ธรรมศาสตร์) “ เกษตรศาสตร์ ” ได้กลายเป็นเพลงอันศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยเก่าแก่ทั้งสาม ในวงราชการทหาร “ มาร์ชราชวัลลภ ” และ “ มาร์ชธงไชยเฉลิมพล ” ได้กลายเป็นแบบฉบับดนตรีจังหวะมาร์ชที่ใช้บรรเลงประจำปีในพิธีอันสำคัญยิ่งของทหาร คือ พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนของหน่วยทหารรักษาพระองค์ และทรงตรวจพลสวนสนามของทหารราชวัลลภรักษาพระองค์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ลานพระราชวังดุสิตทุกปี

เมื่อสภาวะการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไป เมืองไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นักดนตรี นักเพลงและนักแสดง ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการดนตรีที่มีต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงปลุกใจเพื่อเป็นกำลังใจแก่ข้าราชการ ทหาร พลเรือน และประชาชนผู้ปฏิบัติงานเพื่อประเทศชาติเตือนสติให้ตั้งเจตนาแน่วแน่ มิให้ท้อถอยในการทำความดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และต่อตนเอง ต่อสังคม ดังเพลงพระราชนิพนธ์ “ ความฝันอันสูงสุด ” และเพลงพระราชนิพนธ์ “ เราสู้ ” เป็นต้น

บัลเลต์ชุดมโนห์รา

ความสามารถสูงส่งประการหนึ่งที่จะทำให้นักประพันธ์เพลงเป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้มีอัจฉริยภาพทางดนตรีก็คือ ความสามารถในการแต่งเพลงที่มีความยาวมากๆ ได้อย่างไพเราะ นอกจากจะทรงพระปรีชาสามารถในการพระราชนิพนธ์เพลงเดี่ยวทั้งทำนองและเนื้อร้องแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงชุด (Suite) ไว้ด้วย เพลงชุดเป็นเพลงที่มีความยาว ประกอบด้วยหลายท่อนซึ่งต้องมีลีลาหลายแบบ ผู้แต่งจะต้องมีความสามารถทางการประพันธ์เพลงขั้นสูงมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงชุด ได้แก่ มโนห์รา (Kinari Suite) และได้พระราชทานให้วงดนตรีสุนทราภรณ์นำออกบรรเลงประกอบการแสดงบัลเลต์ชุดมโนห์รา ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร หารายได้บำรุงสภากาชาดไทย เป็นงานการกุศลที่ยิ่งใหญ่มากในสมัยนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงควบคุมการฝึกซ้อมการแสดงด้วยพระองค์เอง นับว่าพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถทางศิลปะการละครด้วย

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธุ์ เพ็ญศิริได้ประทานสัมภาษณ์ถึงเพลงชุดที่ทรงพระราชนิพนธ์ว่า
“ เพลงชุดที่ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นนั้น สำหรับใช้ในบทละครต่างๆ เช่น เพลงชุดแสงเดือน ชุดมโนห์รา หรือ Kinari Suite ซึ่งในเพลงชุดมโนห์รานี้ พระองค์ท่านได้ทรงแยกและเรียบเรียงเสียงประสานด้วยพระองค์เอง เป็นเพลงที่มีความไพเราะเร้าใจและให้ความรู้สึกตามเนื้อหาของเพลงได้เป็นที่ประทับใจผู้ฟังอย่างยิ่ง และเพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์เหล่านี้ ได้มีวงดนตรีชั้นนำของหลายประเทศนำไปบรรเลงด้วย เช่น วงดนตรี N.Q. Tonkunstler Orchester ของออสเตรีย วงดนตรี NHK ของญี่ปุ่น ”

พระปรีชาสามารถในด้านการดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นที่ชื่นชมของชาวต่างประเทศ เช่น เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐออสเตรียอย่างเป็นทางการใน วันที่ 3 เดือนตุลาคม พ.ศ.2507 วงดนตรีนี้ดอร์ เออสเตอไรซ์ โทนคึนสเลอร์ ออร์เคสเตอร์ (N.O. Tonkunsler Orchester) ซึ่งควบคุมวงโดย ไฮน์ วัลเบอร์ก (Heinz Wallberg) ได้อัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์ชุด “ มโน ห์ รา ” “ สายฝน ” “ ยามเย็น ” “ มาร์ชราชนาวิกโยธิน ” และ “ มาร์ชราชวัลลภ ” ไปบรรเลง ณ คอนเสิร์ทฮอลล์ กรุงเวียนนา เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2507 พร้อมกันนั้น สถานีวิทยุกระจายเสียงของรัฐบาลออสเตรีย ได้ถ่ายทอดส่งกระจายเสียงเพลงพระราชนิพนธ์ไปทั่วประเทศ นับเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์แห่งทวีปเอเชียได้ทรงมีบทบาทสำคัญยิ่งในนครแห่งดนตรีของโลกแห่งนี้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีอารมณ์ศิลปิน ทรงมีความรักดนตรี ทรงใช้ภาษาดนตรี ทรงมีพระอัจฉริยภาพทางดนตรีสูงส่ง ทรงเป็นครูทางดนตรี และด้วยความภาคภูมิใจในพระองค์ คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติจึงร่วมใจกันถวายพระสมัญญานาม “ อัครศิลปิน ” แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวรัชกาลที่ 9 ดังข้อความตอนหนึ่งว่า

“… พระราชกรณียกิจทางดนตรีนั้นมิได้ทรงกระทำเพื่อพระองค์เอง และผู้ใกล้ชิดพระยุคลบาทเท่านั้น หากยังทรงเผื่อแผ่ไปยังพสกนิกรไพร่ฟ้าของพระองค์ และเพื่อเป็นการส่งเสริมสงวนรักษาไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมทางดนตรีของชาติให้เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และคงอยู่คู่ชาติไทยต่อไปอีกด้วย… ” (อวบ เหมะรัชตะ . 2530 : 1)

.4 วรรณกรรม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์และทรงมีผลงานแปล อาทิ
1. พระราชนิพนธ์เรื่อง “ เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์ “ เมื่อ พ.ศ.2489
2. พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ” เมื่อ พ.ศ.2520-2523 รวมเวลา 3 ปี
3. พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” ทรงเริ่มแปลเมื่อ พ.ศ.2519 จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2537

นอกจากนั้นยังมีพระราชนิพนธ์แปลอื่นๆ อีกจำนวน 11 เรื่องดังนี้
          1) ฝันร้ายไม่จำเป็นจะต้องเป็นจริง ทรงแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “No Need for Apocalypse” ในนิตยสาร The Economist ฉบับ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2518
          2) เศรษฐศาสตร์ตามนัยของพระพุทธศาสนา บทที่ 4 เล็กดีรสโต ทรงแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Small is Beautiful” ของ E.F. Schumacher
          3) จากวิทยุเพื่อสันติภาพและความก้าวหน้าข่าว ทรงแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง“Radio Peace and Progress” ในนิตยสาร Intelligence Digest ฉบับ 1 เมษายน พ.ศ.2518
          4) การคืบหน้าของมาร์กซิสต์ ทรงแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “The Marxist Advance” ของ Special Brief

          5) รายงานตามนโยบายคอมมูนิสต์ ทรงแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Following the Communist Line”
          6) รายงานจากลอนดอน ทรงแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “London Report” ในนิตยสาร Intelligence Digest ฉบับ 18 มิถุนายน พ.ศ.2518
          7) ประเทศจีนอยู่ยง ทรงแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Eternal China” ในนิตยสาร Intelligence Digest : Weekly Review ฉบับ 13 สิงหาคม พ.ศ.2518
          8) นานาทัศนะน่าอัศจรรย์จากชิลีหลังสมัยอาล์เลนเด ทรงแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Surprising Views from a Post – Allende Chile” ในนิตยสาร Intelligence Digest : Weekly Review ฉบับ 20 สิงหาคม พ.ศ.2518
          9) เขาว่าอย่างนั้น เราก็ว่าอย่างนั้น ทรงแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Sauce for the Gander” ในนิตยสาร Intelligence Digest : Weekly Review ฉบับ 20 สิงหาคม พ.ศ.2518
          10) จีนแดง ตั้วเฮียค้ายาเสพติดแห่งโลก ทรงแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Red China : Drug Pusher to the World” ในนิตยสาร Intelligence Digest : Weekly Review ฉบับ 20 สิงหาคม พ.ศ.2518
11) วีรบุรุษตามสมัยนิยม ทรงแปลและเรียบเรียงจากเรื่อง “Fashion in Heroes” ของ George F. Will ในนิตยสาร Newsweek ฉบับที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2522

4. พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” ทรงแปลจากพระไตรปิฎกเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ.2531 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2539
5. พระราชนิพนธ์ เรื่อง “ ทองแดง ” เมื่อ พ.ศ.2545

ผลงานของพระองค์ทุกเล่มทรงใช้ภาษาที่กระชับสละสลวยและได้อรรถรส ดังนี้
.4.1 พระราชนิพนธ์เรื่อง “ เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์ ” เป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ในลักษณะบันทึกประจำวันที่ทรงเขียนไว้ก่อน และระหว่างเสด็จพระราชดำเนินทางเครื่องบินเพื่อไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใน พ.ศ.2489 ซึ่งในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุได้ 1 9 พรรษา นับเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องแรกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมิได้ตีพิมพ์แพร่หลายนอกจากปรากฏอยู่ในภาคผนวก หน้า 195-203 ของหนังสือในหลวงกับประชาชน : 48 ปี สถานีวิทยุ อ.ส.พระราชวังดุสิต ซึ่งจัดพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2542 โดยสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิตและธนาคารออมสิน เพื่อเฉลิม พระเกียรติในมหามงคล วโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ และในหนังสือ “ ร่มเกล้า ” วันเด็กแห่งชาติ 2531 หน้า 14-27 พิมพ์โดยกระทรวงศึกษาธิการ

พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ให้รายละเอียดทางด้านพระราชจริยวัตรตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2489 ถึงวันที่ 22 สิงหาคม ปีเดียวกัน คุณขวัญแก้ว วัชโรทัยได้บรรยายพิเศษในวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2538 และมีบันทึกไว้ในหนังสือเล่มที่อ้างถึงในตอนต้น คือ “ ในหลวงกับประชาชน : 45 ปี สถานีวิทยุ อ.ส.พระราชวังดุสิต ” (2542 : 857-858) ความว่า

“ ขอย้อนเล่าถึงเรื่องการเดินทางจากประเทศไทยสู่สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ พ.ศ.2489 (ค.ศ.1946)

2489-1946 การเดินทางโดยเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ถึงสวิส ใช้เวลาบิน 3 คืน 2 วั น คืนที่หนึ่งแวะซีลอน คืนที่สอง การาจี คืนที่สามไคโร วันที่สี่จึงถึงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ … ส่วนที่มิได้เปลี่ยนแ ป ลงไปตามเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นวิวัฒนาการในเรื่องความเร็วของเครื่องบิน วิวัฒนาการในการส่งข่าวคราว วิวัฒนาการในการแข่งขันกันเป็นที่หนึ่งในโลกที่ถือว่าสำคัญนั้น ก็คือความเป็นห่วงบ้านเมืองและประชาชนคนไทย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะทรงพัฒนาให้ประชาชน และประเทศชาติมีความเจริญมั่นคง ตามที่เคยมีประชาชนร้องออกมาดังๆ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงกลับไปศึกษาต่อเมื่อทรงรับภาระปกครองประเทศแล้วนั้นว่า “ อย่าละทิ้งประชาชน ” ได้พระราชทานคำตอบผ่านหนังสือวงวรรณคดีว่า “ ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้ ” กาลเวลาที่ทรงครองราชย์ 50 ปี ได้พิสูจน์แล้วว่าพระองค์มิได้ทรงละทิ้งประชาชนของพระองค์เอง ”

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย ได้กล่าว นั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 ขณะนี้เป็นปี พ.ศ.2545 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็ยังทรงห่วงใยบ้านเมืองและประชาชนคนไทย เหมือนเช่นเดิม และทรงห่วงมากยิ่งขึ้นเพราะสามารถเห็นได้จากโครงการในพระราชดำริซึ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เกือบจะถึง 2,500 โครงการแล้วในขณะนี้

หากวิเคราะห์พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ จะสังเกตได้ว่าทรงมีพระอัจฉริยภาพทางด้านวรรณศิลป์มาตั้งแต่ยัง มี พระชนม์ 1 9 พรรษา

  • 1) ทรงใช้ภาษาเขียนที่กระชับ สั้นง่าย แสดงลักษณะของความเด็ดขาด ไม่โปรดการพูดเยิ่นเย้อ เช่น ลงหีบและเตรียมตัว … หน้า 14 (วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2489)

  • 2) การเล่นคำ
    2.1 ทรงใช้ภาษาคล้องจองมีสัมผัส ในการเล่นคำซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคนไทย ที่เจ้าบทเจ้ากลอน เช่น ยัดเยียดเบียดเสียด ไชโยโห่ร้อง อวยชัยให้พร ดังสนั่นหวั่นไหว โห่ร้องก้องกังวาล ช่างละม้ายคล้ายคลึง กว้างใหญ่ไพศาล กระจอกงอกง่อย เบียดเสียดเยียดยัด ที่หมายปลายทาง ไม่มีชีวิตจิตใจ เป็นต้น

    2.2 ทรงเล่นคำแบบใช้คำซ้ำเป็นคู่ ไปไหนมาไหน (ซ้ำ คำว่า ‘ไหน’) วับๆหวำๆ (ซ้ำคำว่า ‘หวำ’) ทับแข้งทับขา (ซ้ำ คำว่า ‘ทับ’) เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ (ซ้ำ คำว่า ‘เลี้ยง’) กันทาง … รถแล่นได้สะดวก กันคน …(รถแล่น) ช้าเกินไป (ซ้ำ คำว่า ‘กัน’) มีความสุขความเจริญ (ซ้ำ คำว่า ‘ความ’) เป็นต้น

    2.3 ทรงเล่นคำโดยการใช้เสียงพยัญชนะนั้น หลายคำ ติดๆ กัน เช่น
    ทั่วถนนทุกสาย (ใช้พยัญชนะ ท และ ถ)
    เดินฝ่าฝูงคนซึ่งเฝ้าดู (ใช้พยัญชนะ ฝ)
    ทิศตะวันตกมุ่งตรง (ใช้พยัญชนะ ต)
    สะดวกสบายดี (ใช้พยัญชนะ ส)
    นอนหลับอย่างสบายอยู่ข้างทาง (ใช้พยัญชนะ อย)
    มีตำรวจอียิปต์ยืนยามอยู่ (ใช้พยัญชนะ ย)
    อย่างแสนสบายตามสนามหญ้า (ใช้พยัญชนะ ส)
    ได้ชี้ชวนให้ชม (ใช้พยัญชนะ ช)
  • 3) วิธีการย้ำคำ เพื่อให้ เกิด จินตนาการได้ถูกต้องชัดเจน จะใช้ วิธีการกล่าวซ้ำ โดยใช้คำ พูดใหม่ แต่มีความหมายเดิม ซึ่งทำให้น่าสนใจมาก เช่น

    เป็นประจำมิได้ขาด เท่ากับ “ เป็นประจำ ” ซึ่งมีความหมายเหมือน “ มิได้ขาด ”
    ปุปะไม่มีชิ้นดี เท่ากับ “ ปุปะ ” ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับ “ ไม่มีชิ้นดี ”
    เพื่อจะรีบไม่ให้ชักช้า เท่ากับ “ เพื่อจะรีบ ” ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับ “ ไม่ให้ชักช้า ”
    เจริญงอกงาม เท่ากับ “ เจริญ ” ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับ “ งอกงาม ”
    ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง เท่ากับ “ แจ่ม ” ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับ “ กระจ่าง ”
    ระคนปน เท่ากับ “ ระคน ” ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับ “ ปน ”
    สุขสำราญ เท่ากับ “ สุข ” ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับ “ สำราญ ”
    ห้อยโหน เท่ากับ “ ห้อย ” ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับ “ โหน ”

  • 4) การเขียนรูปประโยค ก็ทรงผูกประโยคได้ ถูกต้องตามลักษณะการเขียนภาษาไทยและได้ความสมบูรณ์ ดังนี้

    a. ทรงใช้คำเชื่อมได้อย่างเหมาะสมยิ่ง

    ก. เสียงเครื่องบินดังสนั่นหนวกหู หาก ผู้ใดจะพูด ก็ จะต้องตะโกนออกมาสุด เสียง
    ข. ดังนั้น จึงไม่มีใครพูดเลย … อยากจะนอนแต่หัวค่ำสักหน่อย
    ค. แต่ว่า ต้องกินข้าวกับข้าหลวงและคณะ จำต้อง สนทนาปราศรัย
    ง. ทางที่ดีที่สุดที่พึงทำ คือ หลับตาเสีย แล้ว นิ่งคิด …
    จ. ประชาชนก็สุภาพ และ มีนิสัยดี
    ฉ. กว่า จะได้พักผ่อนหลับนอน ก็ เกือบสองยาม

    b. ทรงเขียนประโยคที่สมบูรณ์แบบ เมื่อทรงกล่าวถึง “ เหตุ ” ก็จะทรงเขียนถึง “ ผล ” ด้วย หรือบางครั้งทรงเขียนถึง “ ผล ” ก่อน ก็จะทรงแจ้งที่มาของ “ เหตุ ” ด้วย อาทิ

“ เหตุที่ทำให้เหมือนมากนี้ ข้อสำคัญอยู่ที่นับถือศาสนาร่วมกันกับไทยเรา ”
“ ที่นี่ไม่ค่อยร้อนเหมือนเมืองไทย ทั้งไม่มียุงด้วย ฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องมีมุ้ง ”
“ ที่มาแลเห็นเป็นสีเทาไปมากกว่าสีขาวนั้น ก็เพราะ ระคนปนไปด้วยฝุ่น ”
“ ฝรั่งเรียกว่า ‘bumps’ เป็นลมสูงขึ้น เกิดจาก ความร้อนของทรายจากเบื้องล่างที่ถูกพระอาทิตย์แผดเผา ”
“ เราเหน็ดเหนื่อย เพราะ ถูกรบกวนด้วยเสียงสนั่นหวั่นไหวของเครื่องบิน ด้วย หลุมอากาศ และด้วย ความสั่นสะเทือนของเครื่องยนตร์ ทำเอา เรางงไปหมด …”
“ นอกประตูห้องของเรามีตำรวจอียิปต์ยืนยามอยู่ ทั้งนี้เพราะ รัฐบาลอียิปต์ได้จัดไว้เพื่อความปลอดภัยของเรา ”
“… ข้าพเจ้ารู้จักสถานที่เหล่านี้แล้วเป็นอย่างดี เพราะ อยู่ที่นี่มาถึง 14 ปีเศษแล้ว ”

c. ในการเชื่อมประโยคหลายๆ ประโยคเข้าด้วยกัน หรือเชื่อมเหตุการณ์ให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จะทรงเลือกใช้คำที่แสดงให้เห็นขั้นตอนที่ต่างกันออกไปได้ชัดเจน เช่น

“… เมื่อไปถึง .. มีประชาชนมายืนรออยู่ไม่สู้มากนัก
… ตอนนี้ มีราษฎรมาชุมนุมกันหนาตาขึ้น
… เมื่อออกจาก … มายัง … ผู้คนอะไรช่างมากมายเช่นนี้ ”
( ทรงอธิบายถึงจำนวนคนที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นๆ ทำให้ผู้อ่านเฝ้าติดตามเรื่องที่ทรงบรรยาย และสามารถเห็นภาพพจน์ได้อย่างชัดเจนและ น่าสนใจยิ่ง )

  • 5) ทรงบรรยายเปรียบเทียบของสองสิ่งได้อย่างงดงามทั้งทางด้านภาษาและจินตนาการ อาทิ “ เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของ ท้องทะเล และความเวิ้งว้างของทะเลทราย อันมหึมา ”

  • 6) ทรงบรรยายโดยวิธีการใช้พรรณนาโวหาร ทรงใช้ภาษาได้อย่างไพเราะในการถ่ายทอด ให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการไปด้วย (เกิดภาพ และเกิดอารมณ์คล้อยตาม) ได้อย่างชัดเจน อาทิ
    “ เรากำลังเหาะอยู่เหนือท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล แม้จะมีเสียงเครื่องยนต์ ก็ดูเป็น
    เหมือนเงียบและนิ่งอยู่กับที่ เพราะเสียงทุกๆ เสียงจากสิ่งมีชีวิตได้จางหายไปหมดแล้ว ”

“ การเดินทางในระยะต่อมาช่างเปล่าเปลี่ยวเสียจริง ๆ สิ่งที่มองเห็นในเบื้องหน้าไม่มี
อะไรเสียเลย นอกจากท้องทะเลเขียวครามอันแสนลึก นานๆ จะแลเห็นเกาะบ้างเป็นครั้งคราว ”

“ ประชาชนพลเมืองเหล่านี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น สีของเสื้อผ้านั้นขาวหรือก็คง
ต้องเป็นสีขาวมาก่อน ที่มาแลเห็นเป็นสีเทาไปมากกว่าสีขาวนั้น ก็เพราะระคนปนไปด้วยฝุ่น ”

“… ขนาดของเรือลำนี้เห็นจะหนักกว่าเรือศรีอยุธยา ประมาณ 15 เท่า แม้กระนั้นมองดู
ช่างเล็กเสียเหลือเกิน เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของท้องทะเล และความเวิ้งว้างของทะเลทรายอันมหึมานั้น ”

“… ตามถนนรถรางก็เต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียดห้อยโหนกันจนไม่มีที่ว่าง และล้วนแต่ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าปุปะไม่มีชิ้นดี ”

“… จากขอบฟ้าสลัวๆ ที่บดบังด้วยเมฆหมอกแลเห็นเมืองๆ หนึ่งอยู่ริมทะเลสาปใหญ่ ”

  • 7) ทรงถ่ายทอดพระอารมณ์ขันได้อย่างดียิ่ง ชวนให้ติดตามเนื้อเรื่องและกระตุ้นให้ ผู้อ่านต้องการหาคำตอบ

“ มีบางคน เคยเห็นที่พระมหาปราสาทเป็นประจำมิได้ขาด ไม่รู้ว่าหาเวลามาจากไหน จึงไปที่พระมหาปราสาทได้เสมอเกือบทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และวันอาทิตย์ ”

“… ยังได้เห็นวัวศักดิ์สิทธิ์ เดินท่องเที่ยวหาอาหารอยู่ตามท้องถนนหลวง จะไปไหนมา ไหนไม่มีใครกล้าจะขับไล่ ไม่ว่าจะเกิดหิวขึ้นมาเมื่อไร พบร้านขายผักก็เดินเข้าไปเลือกกินได้ตามใจชอบ ส่วนเจ้าของร้านนั้น เมื่อวัวเข้าไปก็ถือว่าเป็นมงคล …”

จากตัวอย่างงานพระราชนิพนธ์ที่ได้อัญเชิญมา แสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระปรีชาสามารถในการใช้ภาษาไทย ได้อย่างแตกฉานถูกต้องและเหมาะสม ถึงแม้ว่าขณะนั้นจะพระชนมายุได้ 19 พรรษา และได้ประทับในต่างประเทศ เพื่อทรงศึกษาไม่น้อยกว่า 14 ปี ก็มิได้ทรงลืมการพูดการเขียนภาษาไทย ทรงเป็นแบบอย่างที่คนไทยทุกคนควร ประพฤติปฏิบัติ ดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท เพื่อธำรงรักษาภาษาไทยของชาติไว้ให้ยืนนานตลอดไป นับว่าทรงมีพระอัจฉริยภาพทางด้านวรรณศิลป์เป็นที่น่าเทิดทูนและชื่นชมยิ่ง

2.4.2 “ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ”

เป็นพระราชนิพนธ์แปลจากหนังสือ “A Man Called Intrepid” ของเซอร์วิลเลี่ยม สตีเฟนสัน (Sir William Stevenson) ทรงเริ่มแปลหน้าแรกเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2520 และทรงใช้เวลาว่างส่วนพระองค์ ทรงแปลวันละเล็กวันละน้อย จนจบหน้าสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2523 รวมเวลา 3 ปี พระองค์ทรงรักษาระดับภาษาในการแปลได้สม่ำเสมอ ด้วยพระราชวิริยะอุตสาหะของพระองค์ พสกนิกรชาวไทยจึงได้รู้จัก “ นายอินทร์ ” หรือ “Intrepid”

“ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ” เป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามลับระหว่างปี ค.ศ.1939-1945 (พ.ศ.2482-2488) ซึ่งไม่เคยได้รับการเปิดเผยมาก่อน แต่เซอร์วิลเลี่ยม สตีเฟนสัน ได้รับความไว้วางใจให้นำเรื่องความลับบางอย่างมาเผยแพร่ เพื่อเป็นการสดุดีเกียรติคุณของผู้เสียสละหลายด้าน ที่ทำงานลับเพื่อประเทศชาติ ทั้งยังเป็นเอกสารที่จะค้นคว้าได้ หากมีความจำเป็นต้องปฏิบัติงานลับแบบนี้อีกในอนาคต และเหตุผลอีกประการหนึ่งคือ เป็นการเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องที่คนทั่วไปทราบ เพื่อมิให้ฝ่ายตรงข้ามนำความลับไปใช้บิดเบือนประวัติศาสตร์ อันอาจทำให้สหรัฐอเมริกากับแคนาดาหมางใจกับอังกฤษอีกด้วย ผลงานของ “ นายอินทร์ ” และผู้ร่วมงานของเขานั้นมีค่าต่อโลกอย่างยิ่ง หากไม่มีพวก “ นายอินทร์ ” ฮิตเลอร์ (ผู้ปกครองประเทศเยอรมันในสมัยเดียวกัน) อาจจะชนะสงคราม และเมื่อเป็นเช่นนั้น โลกคงไม่เป็นเช่นทุกวันนี้ (อัญชลี ทองเอม และคณะ. 2539 : 561)

เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเรื่องนี้ได้ให้ความรู้เรื่องความเป็นไปของการดำเนินราช – การลับ และยังให้ข้อคิดคมคาย วาทะดีๆ ของนักการเมือง แนวปฏิบัติของนักการทหารผู้ดำเนินงานด้านการรบ และให้แนวคิดในเรื่องของผู้ที่ทำสงครามลับว่าต้องมีพื้นฐานความรู้กว้างขวางละเอียดลึกซึ้ง มีความคิดรอบคอบ ทำงานโดยใช้หลัก รู้ทั้งเขารู้ทั้งเรา และยังให้ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ ข้อเท็จจริงบางอย่างที่เกิดขึ้นในสงครามโลก และทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้ง 2 ฝ่ายด้วย (รังสิตสารสนเทศ 2 (1) : มิถุนายน – ธันวาคม 2539 : 92)

หนังสือพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ” มีสาระสังเขปดังนี้คือได้กล่าวถึงความร่วมมือทางสงครามจารกรรมระหว่างอังกฤษกับสหรัฐ ที่ได้ร่วมกันต่อต้านการขยายอำนาจของเยอรมันยุคนาซี โดยมีนายอินทร์เป็นผู้ประสานระดับสูง เรื่องราวต่างๆ ที่ผู้เขียนเลือกมาเปิดเผยโดยได้รับการตรวจสอบว่าถูกต้องตามข้อเท็จจริงด้วย “ นายอินทร์ ” เอง บางเรื่องน่าทึ่งยิ่งกว่านิยายสายลับที่แต่งขึ้นเสียอีก เช่น ปฏิบัติการขโมยเครื่องใส่-ถอดรหัสลับ “ เอนิกมา ” อันทันสมัยที่สุดของเยอรมัน ซึ่งฮิตเลอร์ภูมิใจมากว่าข่าวต่างๆ ที่ส่งด้วยเครื่อง “ เอนิกมา ” จะไม่มีผู้ใดสามารถแปลความได้ แต่ “ นายอินทร์ ” สามารถวางแผนขโมยเครื่องได้ โดยฝ่ายเยอรมันไม่ระแคะระคายเลย จึงเป็นก้าวแรกที่ทำให้หน่วยจารกรรมของ “ นายอินทร์ ” สามารถสืบข่าวสำคัญๆ ของฝ่ายเยอรมันได้สำเร็จ นอกจากนั้นยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการปฏิบัติอย่างกล้าหาญของ “ มาเดอแลน ” สายลับของ “ นายอินทร์ ” ที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปในแดนข้าศึกแล้วส่งข่าวให้ “ นายอินทร์ ” ตลอดจนการปฏิบัติการของสาว “ ซินเธีย ” สายลับอังกฤษแสนสวยที่ใช้เสน่ห์ของตน ล้วงความลับเกี่ยวกับการถอดรหัสจากนักการทูตฝ่ายข้าศึกได้สำเร็จ

นายอินทร์หรือ Sir Wiliiam Stephenson ซึ่งต่อมาไปเป็นหัวหน้าฝ่ายจารกรรมในสงครามโลกครั้งที่ 2 เจ้าของรหัสลับ Intrepid ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นทหารอาสาสมัครไปแนวหน้าได้รับภัยจากแก๊สพิษในสงครามจนเกือบทุพพลภาพ แต่ด้วยเลือดนักสู้ เขาได้พยายามจนได้กลับไปเป็นทหารนักบินอีกครั้งหนึ่ง เขาได้เขียนรายงานเกี่ยวกับค่ายกักกันของฝ่ายข้าศึกจากประสบการณ์ที่เคยถูกจับ เป็นเหตุให้นายพลเรือเอก บลิงเกอร์ ฮอลล์ เกิดสนใจนายอินทร์ และต่อมาได้เรียกนายอินทร์กลับจากลอนดอนเพื่อมาช่วยปฏิบัติการลับ ซึ่งนายพลฮอลล์แห่งอังกฤษ และบิล โดนโนแวน แห่งอเมริกา ได้ดำเนินการด้านราชการลับต่อ และเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกนาซีเยอรมัน นายอินทร์และพรรคพวกยังคงติดตามพฤติกรรมของฮิตเลอร์ต่อไป

พวกเขาพยายามศึกษาเกี่ยวกับรหัสลับที่เยอรมันใช้ผ่านเครื่องเอนิกมา เพื่อจะได้ตีความข่าวสารที่ดักฟังได้อย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้เตรียมการป้องกันประเทศของตนได้ทันท่วงที ด้วยการประสานงานของนายอินทร์ ทำให้อังกฤษและอเมริกาได้ความร่วมมือกันอย่างลับๆ ในการเตรียมตัวรับสงครามอันจะเกิดขึ้น โดยอเมริกาพยายามหาความลับของเครื่องเอนิกมาแบบญี่ปุ่น อังกฤษก็หาข้อมูลของเอนิกมาแบบต่างๆ ของนาซีเยอรมัน ในขณะที่ฮิตเลอร์ลอบผลิตอาวุธต่างๆ มากมาย โดยใช้โรงงานผลิตเครื่องใช้ที่ทำด้วยเหล็กเป็นแหล่งผลิต การกระทำนี้ไม่รอดพ้นการล่วงรู้ของนายอินทร์และพรรคพวกไปได้

เมื่อเยอรมันประกาศสงครามกับอังกฤษ ในขณะที่อเมริกายังไม่ร่วมสงครามด้วยนั้น นายอินทร์และพรรคพวกได้ติดต่อกับประธานาธิบดีรูสเวลท์ตลอดเวลา และประสานงานระหว่าง FBI ของอเมริกา และ BSC ของอังกฤษ การประสานงานของนายอินทร์และพรรคพวกนี้ก่อให้เกิดความเข้าใจอันดี และทำให้อังกฤษได้รับความช่วยเหลืออย่างไม่เป็นทางการจากสหรัฐอเมริกา วิธีการทำงานของกลุ่มนี้นอกจากการสืบข่าวแล้ว บางครั้งอาจจะต้องมีการปล่อยข่าวลวงศัตรูและบางครั้งจะต้องใช้แบบ “ กลซ้อนกล ”

จากการที่ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ล ฮาเบอร์ ทำให้สหรัฐประกาศสงครามได้อย่างเปิดเผย และจากการที่ฮิตเลอร์ทำพลาดในการประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา ทำให้สหรัฐสามารถจัดการทางด้านยุโรปได้อย่างเต็มที่ และแผนปลุกยุโรปให้ลุกเป็นไฟเพื่อต่อต้านนาซีได้รับความสำเร็จ โดยเฉพาะการต่อต้านนโยบายกลืนชาติของฮิตเลอร์ที่มีหลัก 3 ประการคือ การทำให้ชนชาตินั้นกลายเป็นเยอรมัน ซึ่งจะต้องเลือกเผ่าพันธุ์บริสุทธิ์ การเนรเทศหรือการกำจัดพวกที่ไม่ต้องการ รวมทั้งปัญญาชน และการนำผู้ที่มีเลือดเยอรมันบริสุทธิ์มาตั้งรกรากในที่ที่ว่างเหล่านี้

กล่าวโดยสรุป การทำสงครามมี 2 ด้าน คือการทำสงครามโดยพึ่งพาอาศัยวิทยาการและผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ และในอีกด้านหนึ่ง คือการมีสงครามลับซึ่งต้องอาศัยสัญชาตญาณในการหยั่งรู้และตัวบุคคลเป็นหลัก สันติภาพในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการควบคุมผสมผสานของทั้งสองด้านนี้ หนังสือเล่มนี้ได้เปิดเผยเบื้องหลังปฏิบัติการของหน่วยกล้าตายของ “ นายอินทร์ ” มากมายหลายเรื่อง เช่น เบื้องหลังการช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกะทิออกจากดินแดนยึดครองของนาซี การขัดขวางมิให้เยอรมันคิดค้นระเบิดปรมาณูได้สำเร็จ การวางแผนปฏิบัติการทางยุทธศาสตร์เพื่อต่อต้าน การยึดครองทวีปยุโรป อเมริกาและแอฟริกาของนาซี

“ นายอินทร์ ” เขียนไว้ในคำนำหนังสือเล่มนี้ว่า เหตุผลที่เขายินยอมให้วิลเลียม สตีเวนสัน นำเรื่องราวเหล่านี้มาเปิดเผย ก็เพื่อเป็นการสดุดีผู้ที่ได้ต่อสู้เพื่อชาติเป็นจำนวนมาก แต่น้อยคนที่จะได้รับการกล่าวขวัญถึง นอกจากชื่อที่บันทึกในเอกสารลับ ส่วนใหญ่ที่รอดตายก็กลับมาประกอบอาชีพธรรมดา โดยไม่ได้รับเกียรติหรือรางวัลใดๆ คนที่ได้รับการกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงส่วนน้อยในจำนวนคนเป็นกองทัพมหึมา เรื่องราวของ “ นายอินทร์ ” และผู้ร่วมงานของเขาเป็นตัวอย่างของบุคคลพิเศษที่มีความกล้าหาญ เสียสละ ผู้ยอมอุทิศแม้ชีวิต เพื่อความถูกต้อง ความยุติธรรม เสรีภาพและสันติภาพ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา ทั้งนี้โดยไม่หวังให้ใครรับรู้ หรือหวังลาภยศคำสรรเสริญเยินยอใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาเหล่านี้คือ “ ผู้ปิดทองหลังพระ ” โดยแท้จริง (ชำนาญ รอดเหตุภัย, 2545 : 142 – 143)

วรรณศิลป์ในพระราชนิพนธ์แปล “ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ” ดังได้กล่าวแล้วว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงไว้ซึ่งพระปรีชาสามารถทางด้านการพระราชนิพนธ์ ทั้งภาษาร้อยแก้วและร้อยกรอง เป็นที่ประจักษ์ของพสกนิกรทั่วไป โดยเฉพาะทางด้านวรรณศิลป์อันได้แก่ การเลือกใช้คำ และสำนวนโวหารในหนังสือพระราชนิพนธ์แปลหลายเรื่อง กล่าวเฉพาะเรื่อง “ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ” ม.ล. ทวีสันต์ ลดาวัลย์ กล่าวถึงพระปรีชาสามารถทางด้านการใช้ภาษาของพระองค์ไว้ตอนหนึ่งว่า “… เพียงการตั้งชื่อเรื่องก็จะเห็นพระอัจฉริยภาพในการแปลแล้วว่า ทรงเลือกคำและสำนวนไทยๆ ที่กินความกว้าง และชวนให้ผู้อ่านติดตามมากกว่าจะตั้งชื่อตรงตามภาษาเดิม ถ้าผู้อ่านได้อ่านตลอดเรื่องยิ่งจะได้รู้ซึ่งพระปรีชาญาณในด้านภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ตลอดจนวิธีการถ่ายทอดจากภาษาหนึ่งมาสู่อีกภาษาหนึ่ง เรื่องนี้เป็นสารคดีที่ยาวมาก มีเนื้อหาเป็นวิชาการและสลับซับซ้อนมาก ทรงทำให้เรื่องหนักกลายเป็นเรื่องเบาและน่าสนใจ ด้วยการที่ทรงใช้สำนวนแบบไทยๆ บางครั้งก็แฝงด้วยพระอารมณ์ขัน… ”

คณะกรรมการวิจัยของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ก็ได้กล่าวถึงพระปรีชาสามารถทางด้านการใช้ภาษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไว้คล้ายคลึงกัน ดังข้อความตอนหนึ่งที่ว่า “… คุณค่าทางด้านภาษาและวรรณศิลป์จากพระราชนิพนธ์เรื่อง “ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ” มีมากมายตั้งแต่การตั้งนามเรื่อง … กลวิธีการแปล กลวิธีการถ่ายทอดเนื้อหา ความคิด ตลอดจนการเลือกสรรคำมาใช้ ล้วนประณีตละเอียดละออและรอบคอบ เป็นการผสมผสานหลากหลายลีลา ซึ่งมีปรากฏในพระราชนิพนธ์.. ” (ชำนาญ รอดเหตุภัย, 2545 : 144)

และจากการที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้มอบหมายให้อาจารย์อัญชลี ทองเอม และคณะ วิเคราะห์เรียบเรียงและพิมพ์ในหนังสือเอกกษัตริย์อัจฉริยะ ของทบวงมหาวิทยาลัยฯ ที่จัดพิมพ์เนื่องในมหามงคลสมัยฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี (2539 : 561-582) สามารถสรุปได้ดังนี้

คณะผู้ศึกษาเรื่องนี้ได้ข้อสังเกตว่า พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ ใช้กลวิธีในการแปล 2 ลักษณะ คือ
1. ทรงแปลตามตัวอักษร (Literal translation)
2. ทรงแปลถ่ายทอดเนื้อหา และความหมายด้วยการทำความเข้าใจแล้วปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบไทยๆ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงแปลถ่ายทอดจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยอย่างลึกซึ้งด้วยกลวิธีการแปล เฉพาะพระองค์ ซึ่งปรากฏอย่างเด่นชัด นับตั้งแต่การแปลนามเรื่อง กลวิธีถ่ายทอดของพระองค์ ทรงแปลตามความมากกว่าตามตัวอักษร ทรงเลือกใช้ถ้อยคำที่ผู้อ่านเข้าใจ เกิดภาพ เกิดอารมณ์ และความรู้สึก โดยเฉพาะ การเล่นคำ ทรงแทรกอรรถรสแบบไทยๆ เป็นการผสานวัฒนธรรมได้อย่างแนบเนียน สิ่งที่พิเศษกว่าการแปลโดยทั่วๆ ไป คือ พระองค์ทรงให้ความรู้เพิ่มเติมจากต้นฉบับ ซึ่งไม่ปรากฏในต้นฉบับเดิม ทำให้การแปลบางตอน ชัดเจนยิ่งขึ้น และในบางตอนยังทรงแทรกพระอารมณ์ขันไว้อีกด้วย

พระปรีชาสามารถทางด้านการใช้สำนวนโวหาร
สำนวนในพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ” มีลักษณะโดดเด่นทางด้านต่างๆ ต่อไปนี้

1. 
การใช้สำนวนโวหารสำนวนสละสลวย
หนังสือพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนี้ ในภาพรวมกล่าวได้ว่าเป็นหนังสือที่มีสำนวนภาษาสละสลวย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพิถีพิถันในการเลือกสำนวนภาษาที่เรียบง่าย มีความงดงาม เป็นภาษาที่มีสำนวนแบบไทยๆ น่าอ่าน ชวนให้ติดตามตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงหน้าสุดท้ายดังตัวอย่างเช่น

ตอนเริ่มเรื่อง “ จุดเริ่มเรื่อง ”
“ ในระยะเวลาสองปีที่สหรัฐอเมริกายังมิได้เข้าร่วมสงครามอย่างเป็นทางการนั้นประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดิลาโน รูสเวลท์ ก็ได้สนับสนุนสงครามลับเพื่อต่อสู้อำนาจมืดของความกดขี่อยู่แล้ว. ต่อไปเมื่อถูกโจมตีอย่างกะทันหัน สหรัฐจึงผลัดเครื่องแบบเต็มยศของนักทูตมาสวมเครื่องแบบสนามของทหาร ในที่สุดข้าศึก… คือเยอรมันของนาซี จักรวรรดิญี่ปุ่น อิตาลีของฟาสซิสต์ รวมทั้งรัฐหุ่นอื่นๆ … ได้แสดงตัวออกมาอย่างเปิดเผยแล้ว. แต่ว่าสงครามลับก็ยังต้องดำเนินต่อไปอย่างลับๆ … ” (น.1)

ตอนดำเนินเรื่อง จะมีสำนวนสละสลวยโดยตลอด เช่น
–  “ …เราต้องตั้งความหวังว่า วันหนึ่งข้างหน้าทรชนผู้คิดร้ายจะหมดหนทางที่จะคุกคามเสรีภาพ ของประชาชาวโลกและรัฐบาลของทุกชาติในระบอบการปกครองใดก็ตาม จะปกครองด้วยพระคุณมิใช่พระเดช เพื่อส่งเสริมความอยู่ดีกินดี ไม่ใช่เพื่อกดขี่ควบคุม …ระหว่างรอคอยวันดีที่ปลอดภัยนั้น ประเทศประชาธิปไตยมีทางเลือกอยู่ทางเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะและอาจถึงการถูกทำลายโดยสิ้นเชิง คือต้องรักษากำลังพร้อมรบป้องกันตัวได้… ” (น.8)

–  เมื่อใด ที่สายโทรศัพท์ขาดหมุนอย่างกระทันหัน ขบวนรถไฟถูกสับรางไปผิดเส้นทาง ป้ายชี้ทางถูกทำให้เฉไฉไปหมด โรงงานทั้งหลายชะงักลง เพราะคนงานไม่มาทำงาน ระบบไปรษณีย์ถูกทำให้เชื่อถือไม่ได้ เมื่อนั้น บ้านเมืองก็อยู่ในสภาพไม่มีขื่อไม่มีแป. (น.592)

ตอนจบ “ คำอำลา ” จะเห็นเสน่ห์ของความเรียบง่ายได้อย่างชัดเจน สำนวนสละสลวย เป็นกันเอง เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกถึงความขอบคุณที่เซอร์ วิลเลียม สตีเฟนสัน ผู้เขียนได้ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแปลด้วยสำนวนที่ละเมียดละไม ให้ความรู้สึกที่ดีเช่นเดียวกัน

“… ก่อนจบหนังสือเล่มนี้ ซึ่งผมใช้เวลาส่วนใหญ่เป็นเวลาเกือบสามปี ผมใคร่ขอขอบพระคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือผมเป็นพิเศษในการนี้. ตามที่ผู้อ่านจะทราบดี นายอินทร์ได้บันดาลให้หลายต่อหลายสิ่งเป็นไปได้ และดังนี้จึงทำให้หนังสือเล่มนี้ออกมาได้เช่นเดียวกัน. ในการนี้และนอกเหนือไปกว่านี้อีก ผมขอแสดงความรู้สึกในบุญคุณอันเหลือล้นพ้นคณนาของเขา.

คงเห็นประจักษ์แล้วว่า ผมเป็นหนี้บุญคุณอย่างมากต่อพวกที่ได้กรุณาให้ผม หรือนายอินทร์สัมภาษณ์โดยตรง ทำให้ได้รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับเหตุการณ์บางเรื่องซึ่งผมได้เลือกมา เพื่อแสดงถึงขอบข่ายที่กว้างขวางของสงครามลับ อีกหลายคนได้มอบเอกสารส่วนตัวและเอกสารลับปกปิดให้ผม. ผมได้ออกนามของผู้เอื้อเฟื้อดังนี้ในที่ที่เหมาะสมในท้องเรื่อง ในกรณีที่เป็นไปได้ และโดยที่เจ้าตัวให้อนุญาตเท่านั้น. แต่ในบางครั้ง ชนิดของข้อมูลหรือโครงสร้างของการดำเนินเรื่อง ก็ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยชื่อของหลายคนที่ให้ข้อมูลลับได้อย่างโจ่งแจ้ง. แทนที่จะเอ่ยถึงบางคนและไม่เอ่ยถึงบางคน ผมจึงยกเว้นการให้รายละเอียด ณ ที่นี้ ซึ่งก็คงต้องเป็นรายการใหญ่โตมโหฬารทั้งด้านความยาวและเนื้อหา. ผมได้แสดงความขอบคุณเป็นการส่วนตัวต่อบุคคลที่ไม่ได้เอ่ยนามเหล่านี้มาแล้ว และขอย้ำความขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย . … ” (น.603)

2. การใช้สำนวนเผ็ดร้อน ประชดประชัน
หนังสือที่มีสาระเกี่ยวกับสงครามขับเคี่ยวกัน ทั้งแบบสงครามลับและสงครามเปิดเผยอย่างเช่นหนังสือนี้ ย่อมจะต้องกล่าวถึงความขับเคี่ยวกันทั้งในทางการวางแผนและยุทธนาการ ความโกรธแค้น ชิงชัง ย่อมจะต้องมีแทรกอยู่ในเรื่องโดยตลอด การเขียนหนังสือประเภทนี้จึงจำเป็นต้องใช้สำนวนเผ็ดร้อน ประชดประชันเพื่อเพิ่มรสชาติ และทำให้น่าอ่านมากขึ้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงใช้สำนวนเผ็ดร้อนประชดประชันแบบไทยๆ ในที่ที่จำเป็นและสัมพันธ์กับบริบทของเนื้อเรื่อง ทำให้อ่านได้สนุกสนาน เร้าอารมณ์ กระตุ้นความรู้สึก ชวนขัน ชวนให้ติดตามมากกว่าหนังสือประเภทสารคดีสงครามทั่วๆ ไป ดังตัวอย่างต่อไปนี้

–  หนังสือพิมพ์ “ ชิคาโก ทริบูน ” (Chicago Tribune) ขุดเอาความระแวงนี้ขึ้นมาตักเตือนเคนเนดีมิให้ “ เป็นสุนัขรับใช้จักวรรดินิยม ” (ทรงแปลจากสำนวนอังกฤษว่า “playing the role of office-boy of empire”) (น.123)

– “ ช่างหัวไอ้ระเบิดตอร์ปิโด เดินหน้าเต็มตัว. ” (น.198)

– สงครามประชาชนเริ่มในยูโกสลาเวีย, กองทัพคอมมูนิสต์ของติโต (Tito) ดำเนินศึกกองโจรต่อต้าน และทำให้พวกเยอรมันต้องเสียหน้า พวกเยอรมันที่เชอร์ชิลล์ เรียกว่า “ ฝูงไอ้พวก ทหารฮั่น (Hun) ที่ทึ่มทื่อถูกสนตะพาย ว่านอนสอนง่าย โง่เง่าเต่าตุ่น ที่เดินทัพลากสังขารกันไปเป็นโขยง เสมือนห่าตั๊กแตนที่คลานยุบยับยุ่มย่าม ไปทั่ว. ” (น.269)

– พวก “ รักยิว ” จำนวนหยิบมือเดียวที่ เห่าหอนโวกเวกโวยวาย

– เพราะไม่กี่ปีก่อนหน้านี้กรีนคงจะยอมทำอะไรก็ได้ด้วยหวังที่จะให้ เตะตาพี่เบิ้ม ในกิจการภาพยนตร์เหล่านี้.

– คติแบบ “ ช่างหัวไอ้ห่าระเบิด 

– มีเรื่องเล่ากันว่าชาวแคนาดาหน้าแดงคนหนึ่ง ที่ออกแล่นทดลองเรืออย่างบ้าเห่อ ต้องโวยวายร้องทุกข์ว่า : “ อ้ายกัปตันเรือห่าของพ้ม มันเตะพ้มลงจากหอบังคับการของพ้มเอง. ” (คำว่า “ พ้ม ” ในข้อความนี้คือ “ ผม ” ทรงใช้คำนี้เพื่อให้เห็นว่าออกเสียงเหน่อเพี้ยนไปจากภาษาทั่วไป เพราะผู้พูดเป็นชาวแคนาดา ในต้นฉบับก็ใช้คำที่แสดงเสียงเหน่อแบบคนต่างจังหวัด) (น.327)

3. การใช้สำนวนพูดแบบไทยๆ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ภาษาพูดที่คนธรรมดาสามัญใช้ เพื่อให้เกิดความสมจริง สำนวนที่ทรงแปลจะทรงปรับปรุงให้เข้ากับบรรยากาศและสมจริง บางครั้งจะทรงแปลตามสำนวนเดิม แต่ทรงแทรกสำนวนไทยไว้ด้วย เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดยิ่งขึ้น ก็ทรงคิดหาคำที่ให้อารมณ์ความรู้สึกแบบไทยๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น

– “ ปัจจุบันนี้ หน่วยราชการลับกลาง ซี.ไอ.เอ. กลายเป็นเป้าหมายเอกสำหรับพวกที่ตั้งหน้าตั้งตาที่จะปลดอาวุธ เราโดยสิ้นเชิง และตั้งข้อหา จะจริงหรือเท็จ (ก็เอาทั้งนั้น) ว่ามีการทุจริตคดโกงว่าต้องซักฟอกล้างให้สะอาดแบบ “ ศรีธนญชัยอาบน้ำให้น้อง ” เป็นการทำลายอุปกรณ์สำคัญอันดับแรกที่เราจะใช้ป้องกันตัว ซึ่งเราได้สร้างขึ้นด้วยความลำบากยากเย็นแสนเข็ญ ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง. ” (น.12)

– เขา กระหายที่จะอ่านหนังสือ. (น.25)

– “ แม่เจ้าโว้ย! ช่างมีคนประหลาดพิลึกพิลั่นในหมู่บุคคลที่มาปฏิบัติงานสงครามอันใหญ่ไพศาลและน่าสลดสังเวชนี้… ” (น.34)

– ผู้เป็นนักประพันธ์ได้บรรยายถึงตอนบุคคลทั้งสองพบปะกันเป็นครั้งแรกดังนี้ :
“ เมื่อใครพบสตีเฟนสันเป็นครั้งแรกจะรู้สึกได้ทันทีว่า เขาเป็นคน เล็กพริกขี้หนู. ” (น.39)

–  “ ลิดเดล ฮาร์ต จึงเข้ามาร่วมกลุ่มราชการลับของสตีเฟนสัน และนายทหารอังกฤษตัวอย่างก็ยังคงถูก นักเขียนการ์ตูนหนังสือพิมพ์ล้อเลียนในรูปพันเอก บลิมป์ (Colone Blimp) ที่ ติดหล่ม ล้าสมัย แบบ พวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี. ” (น.66)

–  “ วัตสัน-วัตต์ บอกโดโนแวนว่า : ผมเชื่อตลอดมาว่าจิตใจเหนือวัตถุ. แต่ให้ตายซิ. ก่อนสงครามเราต้องทนทรมานแทบย่ำแย่กับการมีผู้นำที่ไม่รู้เรื่องเลย. ” (น.144)

–  สปิตไฟร์ลำหนึ่งบิน โขยกเขยกกลับฐาน … (น.193)

–  ในระหว่างที่ ท่านขุนศึกให้ปลุกปล้ำ กับเสื้อเชิ้ตที่ติดกระดุมคอไม่ถึง (น.228)

–  ดูเขาเป็น คนประหยัดการเคลื่อนไหว. (น.408)

–  เขา ยับยู่ยี่ไปทั้งตัว ในชุดลำลองที่สวมอยู่ หน้าตาก็มืดมนเป็นกำลัง (น.491)

–  จากบรรดาผู้รับการฝึกเหล่านี้จำนวน เพียงหยิบมือเดียว จะถูกส่งเข้าไปปฏิบัติการบนภูเขาบาร์เรน ยิ่งหน่วยเล็กเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการถูกค้นพบน้อยลงเท่านั้น … (น.544)

–  วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม

–  ลัทธินาซี… ผีนรก … หลักแหลมแกมโกง

–  ยอมให้ บัวช้ำน้ำขุ่น

–  ความ ปรักหักพัง ปรากฏเห็นเด่นชัดในยามเช้า

–  เอา หูไปนาเอาตาไปไร่เสีย

–  มัจจุราชดิ่งลงมาจากฟ้าอย่าง ไม่มีปี่มีขลุ่ย

–  ผู้โดยสารต้อง นั่งงอก่องอขิง ในป้อมปืน

–  นายทหารเรือ หน้าตาบู้หู้บอกบุญ ไม่รับ

พระปรีชาสามารถทางด้านการใช้โวหารภาพพจน์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้โวหารภาพพจน์หรือโวหารลักษณ์สอดแทรกอยู่ในเนื้อความโดยตลอด เป็นลักษณะเด่นหรือเป็นสีสันที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งของพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนี้ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของโวหารลักษณ์ประเภทต่างๆ ที่ยกมาให้เห็นพอสังเขป

1.  โวหารอุปมา ( Simile)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้โวหารอุปมาหรือโวหารความเปรียบตามต้นฉบับ นอกจากบางแห่งทรงใช้ความเปรียบที่มีลักษณะเป็นไทยๆ หรือที่นิยมใช้กันในหมู่คนไทย เช่น

– นายทหารอังกฤษตัวอย่างก็ยังถูกนักเขียนการ์ตูนหนังสือพิมพ์ล้อเลียน ในรูปพันเอกบลิมพ์ (Colonel Blimp) ที่ ติดหล่มล้าสมัยแบบพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี (น.73)

– ดังนั้น ฮิตเลอร์ ผู้รับฟังเฉพาะสิ่งที่ชอบฟังจึงแน่ใจว่า “ เกเนราซตาบ ” ของอเมริกาเชื่อมั่นในชัยชนะสายฟ้าแลบของเยอรมัน และถือว่าอังกฤษน็อคเอ๊าต์แล้ว. การแทรกแซงของอเมริกาไม่เป็นปัญหาแน่. ความช่วยเหลือเล็กน้อยที่อเมริกาให้เป็นเพียงเพื่อ ปิดปากพวก “ รักยิว ” จำนวนหยิบมือเดียวที่เห่าหอนโวกเวกโวยวาย … (น.218)

–  “ ฮูเวอร์ตอบปฏิเสธด้วย ความนุ่มนวลดุจตีนแมว ” (น.224)

–  อันเป็นความแตกต่างอย่าง ฟ้ากับดินกับ เบอร์บิวดาที่ยื่นไกลออกไปในทะเลอันแวดล้อมด้วยปฏิบัติการสงคราม (น.251)

–  เบอร์มิวดา เป็นเสมือนแขนที่ยื่นออกไปเป็นโล่กำบัง ส่วนแคมป์เอกซ์ เป็นกำปั้นที่เตรียมตะบัน ให้ข้าศึกแผ่หราสิ้นฤทธิ์. (น.251)

–  ข้าฯ ยังเห็นภาพมวลทหารฮั่นที่ทึมทื่อถูกสนตะพายว่านอนสอนง่าย โง่เง่าเต่าตุ่นที่เดินทัพลากสังขารไปเป็นโขยง เหมือนเห่าตั๊กแตนที่คลายยุบยับยุ่มย่ามทั่วไป (น.335)

–  เอกอัครราชทูตฮังการี-เฮย์ … ถึงแม้ว่าในยามสงบแล้วเขาคงจะไม่สามารถได้ตำแหน่งสูงกว่าตำแหน่ง กำนันบ้านนอกนั่งเรือหางยาวไปงานวัด (น.421)

–  สตีเฟนสัน กล่าวโดย เลียนแบบวัจนะของลุงเหมา (Mao) ว่า : “ ยังขาดทะเลประชาชนซึ่งเป็นเสมือนน้ำให้พวกกองโจรว่ายได้เหมือนปลา ” (น.504)

– “ การโจมตีก็เหมือนปล่อยลูกโบว์ลิ่งให้กลิ้งไปตามราง โดยปล่อยลูกระเบิดในอึดใจสุดท้าย และยกลำขึ้นในวงเลี้ยวแคบๆ ไปตามถนนด้านข้าง. ” (น.583)

2. การใช้โวหารอุปลักษณ์ (Metaphor)
โวหารอุปลักษณ์ในพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนี้ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเหตุการณ์ในท้องเรื่องได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะความเปรียบที่นำมาใช้แทนคำปกตินั้นเป็นคำที่รู้จักแพร่หลายในหมู่คนไทยทั่วไป ตัวอย่างเช่น

–  “ เรากวาด ระบบราชการเยิ่นเย้อ แข็งกระด้าง ตายตัวจนเป็นอันตรายทั้งหมด เราเทขยะ พวกรับราชการเช้าชามเย็นชาม ตลอดจนพวกทหาร ไดโนเสาร์เต่าล้านปี … กล่าวได้ว่าเราได้สร้างศัตรูจำนวนไม่น้อย … ” (น.142)

–  ไฮดริชเป็นหัวหน้าที่โหดเหี้ยมที่สุดในหน่วยที่เหี้ยมที่สุดของฮิตเลอร์ …เขาเป็นตัว ปิศาจ ที่ร้ายล้ำเกินหน้านายของตนคือ นายพลเรือเอกทาคาริส “ เจ้าแห่งความมืด ” (น.237)

–  จำลองไว้ให้เหมือนที่มั่นสำคัญๆ ของฝ่ายนาซี ซึ่งเป็นเป้าหมายการบุกของพลร่มที่เป็นนักสะสม หนอนบ่อนไส้ นาซี. (น.251)

–  ทางราชนาวีอังกฤษได้ปฏิบัติฝ่าฝืนโบราณประเพณีที่ถือว่ากองทัพเรือ เป็นกองทัพเงียบ ปิดทองหลังพระ และออกข่าวอย่างละเอียดในทุกฝีก้าวของการสู้รบ… ก็ด้วยจุดประสงค์ที่จะปกบังความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น (น.318)

–  เมื่อถึงนิวยอร์ค เดอ โวห์ล ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชลว่าในดวงชะตาของฮิตเลอร์ ดาวเนปจูน (Neptune) อยู่ในเรือนมรณะ … “ ในสี่เดือนข้างหน้านี้จะมีดาวนพเคราะห์สีแดงปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าตะวันออก. คนที่เป็นภัยผู้กระทำชั่วอันทำให้โลกต้องนองเลือดจะชะตาขาด. ” (น.448)

–  รายงานของชาวเยอรมันเกี่ยวกับการต่อต้านฮิตเลอร์ เป็นเพียง เรื่องตลกโคมลอย. (น.467)

–  ทำให้ทางลอนดอนรู้สึกเห็นสมควรว่าต้องปล่อยให้เขา ติดอยู่ในปลัก ที่เขาขุดขึ้นเอง (น.467)

–  โหราจารย์ เดอ โวห์ล ได้เขียนคำตัดสินประหารชีวิตในบทความที่ลงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับแล้ว : “ สุนัขรับใช้ตัวเอก ของฮิตเลอร์ กำลังเคลื่อนเข้าสู่ราศีของความรุนแรง ”

–  บิลล์ สตีเฟนสัน ตกอยู่ระหว่าง เขาควาย ในสถานการณ์นี้ (น.528)

–  แต่ละกลุ่มทำงานโดยเอกเทศและเข้าใจว่าตนเท่านั้นเป็นตัวการในการล้มแผนวี. ของฮิตเลอร์ที่จะทำลาย ลาดื้อ อังกฤษตัวเปี๊ยกๆ ให้แหลกเป็นจุณ. (น.567)

– อีกด้านหนึ่งก็มีสงครามลับซึ่งต้องอาศัยสัญชาตญาณในการหยั่งรู้และตัวบุคคล. ทั้งสองด้านจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับฟัน มารร้าย ให้ล้มลง แต่ราชการลับเป็นกุญแจดอกสำคัญ เป็นระบบประสาทและเป็นสมองแห่งกำลัง … (น.589)

–  เราก็จะมีโอกาสถมเถที่จะหาเรื่องที่จะดึงออกจากการสนทนาที่วกวน เป็นเขาวงกต

–  ถึงกระนั้น ทางเบเกอร์ สุทรีท ยังรบเร้าให้สตีเฟนสันส่งเงินงวดต่อไปให้ทัน จันทร์ข้างแรม ครั้งสุดท้ายของฤดูหนาว (น.574)

– “ ในระดับสูงๆ ของงานราชการลับ มีหลายกรณีที่เหตุการณ์จริงๆ จะเสมอเหมือนในทุกทางกับการคิดฝันฟุ้งที่เพ้อเจ้อที่สุดของ หนังสืออ่านเล่นและละครสิบสตางค์ การพัวพัน การวางแผนทำลาย กับการล้างแผนทำลาย เล่ห์เหลี่ยมกับการทรยศ การหนุนหลังกับการหักหลัง สายจริงกับสายปลอม สายนกสองหัว ทองกับเหล็ก ระเบิด มีด และหมู่สังหาร ทั้งหมดนี้สานเข้าด้วยกันเป็นเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนจนเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นเรื่องจริง. ” (วิลสตัน เอส. เชอร์ชิลล์ ตามที่ เอียน เฟล็มมิง อ้างถึงในจดหมายถึง เชอร์ วิลเลียม สตีเฟนสัน)

3.  โวหารบุคลาธิษฐาน ( Personification)
ในบทพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้โวหารชนิดนี้หลายแห่ง ตัวอย่างเช่น

– มีท่อรูปร่างน่าเกลียด เลื้อยไปตามห้องในเขาวงกต ทำเสียงหวิวๆ หวือๆ ประหลาดๆ ทุกครั้งที่ใช้ส่งสาร … (น.172)

–  เครื่องบิน สอร์ตพิช ที่ รูปร่างเทอะทะอุ้ยอ้าย สิบห้าลำเตรียมอาวุธและเติมเชื้อเพลิงบนเรือบรรทุกเครื่องบิน อาร์ด รอยัล เมื่อเวลาอาหารกลางวัน ทั้งหมดก็ทะยานขึ้นจากลานบิน ที่โคลงเคลงและโซเซหายไป ในฝนหนาเม็ดและเมฆหมอก …(น.321)

–  รถรางพ่วงกำลังแล่นส่งเสียงครืดคราดมาจากเบื้องหลังและรถรางอีกคัน กำลังอุ้ยอ้าย สวนขึ้นจากทิศตรงกันข้าม. (น.461)

–  นายพลทหารอากาศประจำตัวเขาคนหนึ่งรายงานว่า : “ ดูเขายับยู่ยี่ ไปทั้งตัวในชุดลำลองที่สวมอยู่ หน้าตาก็มืดมนเป็นกำลัง คุณรูสเวลท์ก็ดูยู่ยี่พอๆ กัน ” ทั้งคู่ดูจะไม่ค่อยสนใจเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการส่งกำลังบำรุงและก็ไม่น่าแปลกใจ. (น.492)

–  พวกบุรุษพยาบาลพร้อมกับช่างเครื่องวิ่งไปที่ใต้ท้อง ซึ่งปิดแน่นของ เครื่องบินรูปร่างเก้งก้าง ขณะที่แสงสีน้ำเงินของไอเสียพุ่งผ่านความมืดเป็นครั้งสุดท้าย. (น.562)

–  ในสมัยที่ ความยากไร้เลื้อยคลาน อยู่ตามถนนในเมือง (น.571)

4.  การใช้โวหารคำซ้ำ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้โวหารคำซ้ำเพื่อเน้นนำหนักของคำสำคัญ (key words) โดยทรงเลือกโอกาสที่จะสอดแทรกได้จังหวะที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น

–  พวก บ้าๆ บอๆ นอตหลวม

–  ท่ามกลางแสงแดดที่ ผลุบๆ โผล่ๆ แหวกก้อนเมฆที่ผ่านเป็นระลอก

–  ลูกระเบิดตกลงเปรี้ยงๆ ลูกแล้วลูกเล่า

–  แต่ราชการลับ เป็น กุญแจดอกสำคัญ เป็น ระบบประสาท และ เป็น สมองแห่งกำลัง

–  พวก ที่เชอร์ชิลล์เรียกว่า อ้าย พวก สังฆราชปัญญาทราม และคอมมิวนิสต์ พวก ขี้ขลาดตาขาว และ พวก บ้าๆ บอๆ นอตหลวม พวก ขุนนาง และ พวก ธาตุพิการธรรมดาๆ

–  ผม รักทองคำ ผม รักสีความแวววาว … ผม รักสัมผัสของเนื้อทอง… จนทำให้ ผมสามารถกะคะเนความบริสุทธิ์ของทองแท่ง ได้อย่างแม่นยำ …หลอมให้เป็นน้ำเชื่อมทองคำแท้… ที่ ผม รักที่สุดคือ อำนาจ

5. การใช้โวหารสัทพจน์ (Onomatopoeia)
โวหารสัทพจน์ ที่น่าสนใจในบทพระราชนิพนธ์เรื่องนี้มีอยู่ทั่วไป ดังตัวอย่างต่อไปนี้

–  แน่นอนการติดต่อสื่อสารเหล่านี้ใช้เครื่องส่งกำลังต่ำ และส่งเป็นเสียง กร๊อกๆ แกร๊กๆ ที่เปลี่ยนเสียงรูปร่ำไป. ดังนั้นการรับฟัง… จำเป็นต้องใช้ “ หู ” ที่ไวที่สุด (น.79)

–  “ ถอดเสื้อผ้าออก ” เมื่อเขารีรอเธอก็ขู่ ฟ่อ ว่า : “ เขาเข้าใจว่าเรากำลังพลอดรักกัน… ” (น.438)

–  โค้งหักศอกที่กาบชักยืนถือปืนสเต็นคอยอยู่เป็นโค้งหักมุมที่แคบมาก. รถรางที่พ่วงกันมาสองคัน และใช้กำลังจากสายไฟที่ขึงอยู่สูง ส่งเสียง เอี๊ยดอ๊าด เมื่อเลี้ยวโค้งนั้น ถนนสายนั้นจราจรคับคั่ง ในป่าละเมาะใกล้เคียงมีทหารเยอรมันกำลังฝึกอยู่. (น.460)

–  ไม่กี่นาทีต่อมาเกิดเสียงหวีดแผ่วๆ ดังออกมาจากตึกเจ็ดชั้นส่วนกลาง ตามด้วยเสียงครืนทุ้มๆ และเบาๆ. เฮากริดเรียกว่า “ เสียง เปรี้ยง น้อยๆ ที่ไม่มีความหมายเลย ” (น.549)

–  ประตูช่องบรรทุกลูกระเบิดปิดลงเสียงดัง ฉึบ เหมือนฝาหอย … พวกนี้คอยอยู่จนได้ยินเสียงสนั่น ของเครื่องยนต์กำลังเร่งเครื่องและเสียง เอี๊ยด ของห้ามล้อ… (น.560)

–  เครื่องส่งกำลังต่ำและส่งเสียง กร๊อกๆ แกร๊กๆ ที่เปลี่ยนรูปเสียงร่ำไป.

–  สัญญาณมอร์ส ดิ๊ด ดิ๊ด ดิ๊ด ดา …คือตัววี

–  นายทหารรัสเซียที่แต่งกายโก้หรู ประดับประดาเครื่องตราแวววาว ลากกระบี่ โกร่งกร่าง ชิดเท้า ปึงปัง ตบเท้าเข้ามา

6. การใช้โวหารอธิพจน์ (Hyperbole)
โวหารอธิพจน์ เป็นสีสันของภาษา แม้จะรู้ว่าไม่อาจจะเป็นเรื่องจริงได้ตามที่พูด แต่ก็ทำให้รู้สึกถึงความสำคัญ ความจริงจัง หรือน้ำหนักของเหตุการณ์ ส่วนหนึ่งของโวหารอธิพจน์ที่พบในพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนี้ได้แก่

–  แต่ยังมีความหวังอยู่ได้เสมอว่าพวกเผด็จการ อาจถูกจำกัดโดยไม่ต้องมีการ สังหารกันอย่างไม่เลือก หน้าอินทร์หน้าพรหม 

–  ประเทศอังกฤษจะหมดตัวไม่มีอะไรมีค่าเหลืออยู่เลย จะทำให้เราอังกฤษ ถูกขูดจนเหลือแต่กระดูก หลังจากที่เราได้ชัยชนะมาด้วยเลือดของเรา และ…เพื่อให้พร้อมเผชิญเหตุการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นต่อไป (น.212)

–  อุดมการณ์ของเชอร์ชิลล์มีว่า : หากฮิตเลอร์จะ บุกนรก อย่างน้อยผมต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะกล่าวในสภาผู้แทนราษฎร พาดพิงถึง พระยายมอย่างเป็นมิตร (น.273)

7. การใช้โวหารสาธก (Allusion)
โวหารสาธก หรือโวหารท้าวความในเรื่องนี้มีอยู่หลายตอน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมตะวันตก จึงเป็นเรื่องค่อนข้างเข้าใจยากสำหรับผู้อ่านเรื่องแปลที่เป็นคนไทย ดังนั้นบางตอนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระราชนิพนธ์คำอธิบายเอาไว้ด้วย มีอยู่ตอนหนึ่งที่ทรงยกเอานิทานศรีธนญชัย ซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านของไทยมาเป็นนิทานสาธกประกอบเหตุการณ์ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังตัวอย่างข้อความต่อไปนี้

–  ปัจจุบันหน่วยราชการลับกลาง ซี.ไอ.เอ. กลายเป็นเป้าหมายเอกสำหรับพวกที่ตั้งหน้าตั้งตา จะปลดอาวุธเราโดยสิ้นเชิงและตั้งข้อหาจะจริงหรือเท็จ (ก็เอาทั้งนั้น) ว่ามีการทุจริตคดโกงว่าต้อง ซักฟอกล้าง ให้สะอาดแบบ “ ศรีธนญชัยอาบน้ำให้น้อง ” (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยกเรื่อง “ ศรีธนญชัย ” นิทานพื้นบ้านของไทย เป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อๆ กัน “ ศรีธนญชัย ” เป็นคนฉลาดแกมโกง มีใจคอโหดเหี้ยม ขาดคุณธรรม และสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น วันหนึ่งพ่อแม่ของศรีธนญชัยต้องออกไปทำไร่ทำนาจึงสั่งความไว้ว่า ให้ศรีธนญชัยอาบน้ำให้น้องให้สะอาดหมดจด ศรีธนญชัยก็ทำตามด้วยการฆ่าน้องแล้วเอาไส้เอาพุงออกมาล้างจนหมด สร้างความทุกขเวทนาให้กับพ่อแม่เป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยความฉลาดแกมโกงนี้เอง ทำให้ศรีธนญชัยได้เข้ารับราชการ) เป็นการทำลายอุปกรณ์สำคัญอันดับแรกที่เราจะใช้ป้องกัน ซึ่งเราได้สร้างขึ้นด้วยความลำบากยากเย็นแสนเข็ญ ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง (น.11)

– เขาเดินอุ้ยอ้ายกลับไปกลับมาในห้องนั้นเหมือนตัว ฮัมป์ดี ดัมป์ดี (Humpty. Dumpty – ตัวที่มีรูปร่างเป็นไข่ในกลอนสำหรับเด็ก)

– ทุกแห่งทุกหนที่ “ แมรี่ ” ไป “ ลัมภ์ ” (เหมือนในเพลงสำหรับเด็กว่าหนูแมรี่มีแกะตัวเล็ก และทุกหนแห่งที่เธอไป แกะตัวนั้นก็ต้องแกะรอยไปด้วยเสมอ) ก็จะต้องติดตามไปด้วยเสมอ (น.271)

การใช้โวหารปฎิพจน์ (Paradox)
โวหารปฏิพจน์ เป็นการใช้ภาษาขัดความกันที่ทำให้มีรสชาติแปลกไปจากปกติ โวหารประเภทนี้พบอยู่ในพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนี้บ้าง เช่น

–  “ เราทราบว่าข่าของคุณเพิ่งได้รับคนใหม่ชื่อ มาเดอเลน เราค้นหาเธอไม่พบ แต่เราจะพบแน่ ” (น.303)

–  คุณบอนด์ครับ ตลอดชีวิตผมตกอยู่ในห้วงรัก ผมรักทองคำ ผมรักสีความแวววาว น้ำหนักอันน่าเสน่หาของทองคำ ผมรักสัมผัสเนื้อทอง ความละเอียดอ่อนอันนุ่มนวลรื่นมือ จนทำให้ผมสามารถกะคะแนนความบริสุทธิ์ของแท่งทองได้อย่างแม่นยำ … ภายในหนึ่งกะรัต และผมก็รักกลิ่นอันระอุที่กำจายออกมาเมื่อผมหลอมให้เป็นน้ำเชื่อมทองคำแท้. แต่คุณบอนด์ครับ ที่ผมรักที่สุดคือ อำนาจ… (น.416)

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของโวหารภาพพจน์ หรือโวหารลักษณ์ประเภทต่างๆ ได้นำมาเทียบเคียงกับต้นฉบับเดิม เพื่อให้เห็นว่าหลายแห่งใช้คำค่อนข้างธรรมดา แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงใช้โวหารภาพพจน์ จึงทำให้หนังสือน่าอ่านมากยิ่งขึ้น

ตารางเปรียบเทียบสำนวนโวหารในพระราชนิพนธ์แปลกับข้อความในต้นฉบับเดิม

จากการวิเคราะห์พระปรีชาสามารถทางด้านวรรณศิลป์ และการเปรียบเทียบดังกล่าวแล้วข้างต้นจะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงแปลหนังสือโดยได้ทรงทำความเข้าใจกับต้นฉบับอย่างถ่องแท้ แล้วจึงใช้พระปรีชาสามารถทางภาษาไทยของพระองค์ในการทรงเลือกใช้คำ สำนวน โวหาร เพื่อการถ่ายทอดความหมาย ความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกอย่างพิถีพิถัน อย่างถูกต้องตามต้นฉบับและอย่างดีเยี่ยม ยิ่งกว่านั้นที่สำคัญมากคือวรรณศิลป์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีความไพเราะสละสลวย และมีความเหมาะสมกับวัฒนธรรมไทยด้วย (ชำนาญ รอดเหตุภัย, 2545 : 164-177)

หนังสือพระราชนิพนธ์แปลนี้ มีความยาว 600 หน้า มีทั้งหมด 6 ภาค รวม 49 บท แต่ไม่ทำให้เกิดความเบื่อเพราะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเลือกสรรกลวิธีในการถ่ายทอดการแปลได้ดีเยี่ยม (ทบวงมหาวิทยาลัย. 2539 : 565) จากทั้งหมดที่กล่าวมานั้น สะท้อนให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชอัจ ฉริ ยะทั้งภาษาต่างประเทศและภาษาไทยโดยแท้

หนังสือเล่มนี้มีสถิติจำหน่ายสูงสุด คือเกินหนึ่งแสนเล่ม รายได้จากการจำหน่ายได้พระราชทานสมทบมูลนิธิชัยพัฒนา (หนังสือวันขาบมงคลครั้งที่ 8 วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2539 : 1)

2.4.3 พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ”

“ ติโต ” เป็นพระราชนิพนธ์แปลจากเรื่อง “Tito” ของ ฟิลลิส ออตี (Phylis Auty) ทรงแปลเรื่องนี้ เพื่อให้ข้าราชบริพารได้ทราบถึงบุคคลที่น่าสนใจคนหนึ่งของโลก เนื้อหากล่าวถึงประวัติของโยซิป โบรซ หรือที่รู้จักในนามของ ติโต ซึ่งเป็นรหัสเฉพาะตัว ติโตเป็นอดีตผู้นำประเทศยูโกสลาเวีย ได้กล่าวถึงชีวิตในวัยเยาว์ (เกิดเมื่อ ค.ศ. 1892) จนกระทั่งการได้อำนาจจากการกู้ชาติ และจากการที่เขาได้เป็นผู้นำขบวนการกู้ชาติในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ติโตได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากชาวยูโกสลาเวีย ติโตเป็นบุคคลที่ทำให้รัฐยูโกสลาเวีย ซึ่งมีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ มารวมตัวกันเป็นปึกแผ่น รวมตัวเป็นประเทศยูโกสลาเวียได้ หลังจากเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และในยามวิกฤตสามารถแก้ไขให้ผ่านพ้น ทั้งรักษาความสมบูรณ์เพิ่มพูนความเจริญของประเทศตลอดชีวิตของติโต

เมื่อติโตสิ้นชีวิต (เมื่ออายุ 88 ปี ในปี พ.ศ.2523) เกิดการแตกแยกของเผ่าต่างๆ ภายในประเทศ และมีศัตรูจากภายนอกประเทศ ดังเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ว่า การขาดผู้ปกครองอย่างติโตแล้วเป็นอย่างไร ติโตจึงเป็นทั้งรัฐบุรุษ และอัจฉริยะบุคคลที่น่านับถือ เป็นที่ยอมรับนับถือของนานาประเทศ และจากเรื่องนี้เรายังได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ของยุโรป และของโลกรวมทั้งข้อคิดต่างๆ ที่สามารถจะเรียนรู้ได้จากตัวของติโตเองด้วย

วรรณศิลป์ในพระราชนิพนธ์แปล “ ติโต 
นายอานันท์ ปันยารชุน ได้มีความเห็นในเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแปลหนังสือเรื่อง ติโต นี้ ว่า “ เป็นการแปลที่กะทัดรัด เก็บสาระและประเด็นได้อย่างแยบคาย และรักษาเนื้อหาความตื่นเต้นของแนวเรื่องได้อย่างดี ถ้าใครมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ นอกจากจะได้ความรู้และสนุกสนานแล้ว ยังจะได้เห็นว่าติโตนั้น มิใช่เป็นเพียงตัวแสดงที่สำคัญ ในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยตนเอง ประวัติศาสตร์ของการรวมตัวกันด้วยความสมานฉันท์ และเสถียรภาพของชนชาติที่แตกต่างกัน ทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ”

พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” เป็นหนังสือขนาดกลาง มีความหนาไม่มากเพียง 121 หน้าเท่านั้น แต่ก็อุดมด้วยภาษาที่ไพเราะ สละสลวย เรียบง่าย แต่แฝงด้วยเอกลักษณ์ทางด้านการใช้ภาษาที่แสดงถึงพระปรีชาสามารถ ทางด้านวรรณศิลป์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเห็นได้ชัดดังประเด็น ต่างๆ ต่อไปนี้

  • 1. ศิลปะการใช้คำ
    1) การใช้คำภาษาปาก (Vulgarism)
    ภาษาปาก ก่อให้ภาษาเกิดรสชาติ ผู้อ่านรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวา และให้ภาพของ ตัวละครที่ชัดเจนมากกว่าภาษาแบบแผนหรือภาษาที่เป็นทางการ ดังตัวอย่างการใช้คำภาษาปากในข้อความต่อไปนี้

    – มีอีกหลายอย่างที่คาดไม่ถึงในตัวเขา : ความคิดเห็นที่กว้างขวางอย่างประหลาด ความอิสระในความคิดที่เห็นได้ชัด อารมณ์ขันที่มีอยู่เสมอ ความชื่นชมอย่างไม่อับอาย ในความสุขพื้นๆของชีวิตตามธรรมชาติ เป็น คนขี้อาย ในการติดต่อกับผู้อื่น แต่ก็มีใจเป็นมิตรและชอบสังสรรค์ครึกครื้น อารมณ์แรงบางครั้ง โมโหแบบปึงปัง บางครั้งค่อนข้างชอบที่จะแสดงโอ้อวด ความเห็นใจผู้อื่น และใจกว้าง
    (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 1)

–  เขากล่าวถึงตัวเองว่าเมื่อเด็กเขาอ่อนแอ และเขาก็ดู ขี้โรค จริง ๆ เพราะเป็นคนผมสีอ่อน ผอม กะหร่อง และร่างเล็ก
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 8)

– จากรายได้ครั้งแรกที่ได้จากงานช่างซ่อมจักรยาน เขาซื้อเสื้อชุดใหม่ ทันสมัยเปี๊ยบ โดยหมายจะสวมใส่เวลาไปเยี่ยมบ้าน
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 10)

– ตอนปลายปี ( ๑๙๔๔ ) เขาได้รับข่าวว่าเชอร์ชิลล์และสตาลินได้ทำข้อตกลง “ ห้าสิบ – ห้าสิบ ” ซึ่งทำให้ยูโกสลเวียตกเป็นแดนผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างทั้งสองประเทศ – ที่จริงเป็นข้อตกลงชั่วคราวก่อนจะมีการตกลงสันติภาพ แต่ติโตเชื่อว่าเป็นข้อตกลงถาวร (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 100)

– ระยะนั้นเป็นระยะ “ คิดบัญชี ” กับพวกศัตรูทางการเมือง อันเป็น การโหมโรง สำหรับขั้นสุดท้ายของการปฏิบัติ (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 111)

– ครั้งนี้ปฏิบัติการก็ไม่บรรลุผลอีก แม้ว่าติโตถูกปิดล้อมอยู่ในกองบัญชาการตอนเช้าตรู่ของวันที่ ๒๕ พฤษภาคม กระต๊อบ ซึ่งเป็นที่ทำงานและห้องนอนของเขาติดกับถ้ำธรรมชาติในหน้าผาที่อยู่เหนือเมือง (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 85)

2) การใช้คำสำนวนไทย แม้จะเป็นเรื่องแปล แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงใช้สำนวนไทย ทำให้ผู้อ่าน ซึมซับรสชาติของภาษาได้ดียิ่งขึ้น และมิได้ทำให้เสียความเลยแม้แต่น้อย ดังตัวอย่างเช่น

–  เมื่อเริ่มวัยรุ่น – ตั้งแต่อายุสิบสองถึงสิบห้า – เขาก็ต้องทำงานดังนี้ ทีแรกทำงานให้ลุง ที่เลี้ยงเขาและสัญญาจะให้รองเท้าบู๊ทใหม่เอี่ยมเป็นค่าแรง เมื่อถึงอายุสิบห้า เขาชักจะชีพจรลงเท้า (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 8)

ความยุ่งยากที่สุดที่ติโตต้องประสบในตำแหน่งเลขาธิการพรรคเกิดขึ้นเนื่องจากความสัมพันธ์กับคอมินเทอร์น ซึ่งตามความเป็นจริงก็คือความสัมพันธ์กับ จ้าวนาย รัสเซียผู้บงการ โดยผ่านองค์การนั้น (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 32)

– ข้าพเจ้าหวังว่าจะมีทาง ขจัดการเป็นปากเสียง กันระหว่างสองฝ่าย เพราะถ้า เป็นเช่นนั้นก็มีแต่จะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายเยอรมัน
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 101)

– สภาพของพรรค ยิ่งย่ำแย่ ขึ้นอีกเมื่อรัฐบาลโซเวียตยอมรับการที่เยอรมันได้ทำลาย ยูโกสลาเวียว่าเป็นสิ่งเลยตามเลย
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 51)

– ตั้งแต่เริ่มแรกที่ฝ่ายปาร์ติซาน ออกโรงจับศึก ติโตได้รับบทผู้นำทางทหารและทางการเมืองคู่กันไป
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 89)

3) การใช้คำคู่
การเล่นคำแบบที่เรียกว่า “ คำคู่ ” เป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งในพระราชนิพนธ์ทุกเรื่อง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับในเรื่อง ติโต ดังตัวอย่างต่อไปนี้

–  เป็นจุดอ่อนที่ไม่ เป็นพิษเป็นภัย คือนิสัยเห่อเครื่องนุ่งห่มที่โก้หรู ที่เขามีอยู่ตลอดชีวิต
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 10)

–  ภายในสองปี เขาผ่าน งานหลายต่อหลายงาน
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 10)

–  ซาบิชเป็นคนฉลาดน่าคบน่าคุยด้วย เป็นคนที่โยซิปจะคุยและเรียนรู้จากเขาได้
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 21)

– เขาจัดการปลุกระดม อย่างกล้าและบ้าระห่ำ ในโอกาสการฉลองวันกรรมกร ในปี 1928
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 23)

– เขาได้รับนามแฝงหลายชื่อตลอดเวลาที่ทำงานคอมมูนิสต์อันผิดกฎหมาย แต่นามที่ได้รับที่เวียนนาตอนนั้น คือ ติโต อันเป็นชื่อที่เขา เกิดชื่อเกิดเสียง
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 26)

– เขายิ่งตระหนักในความสำคัญข้อนี้ ด้วยได้เห็นอะไรๆ หลายต่อหลายอย่าง
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 38)

– เป็นการจัดระบบงานที่ยังไม่ เข้ารูปเข้ารอย มีข้อขัดข้องเรื่อย เพราะสมาชิกร่อยหรอลง ด้วยเหตุเพราะป่วยหรือถูกจับกุม
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 43)

– พวกปาร์ติซานเตรียมเขตรับในหิมะ และสร้างที่กำบังพายุหิมะ แล้วก็เฝ้าคอยให้เครื่องบินโซเวียตมา คืนแล้วเล่า ซึ่งก็ไม่มาสักที
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 64)

4) การใช้คำซ้อน คำซ้อน เป็นลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของภาษาไทย และพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังตัวอย่างข้อความในเรื่อง ติโต ต่อไปนี้

–  เขาได้เรียนรู้การ ฉกฉวยซอกซอน หาอาหารและการทำตัวให้กลมกลืน ไม่เป็นสายตา เขาได้กลายเป็นผู้ชำนาญการในศิลปะของการ หลบหลีก หลบหนี
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 14)

– กลิ่นอาย ของชัยชนะเริ่มฟุ้งขึ้น และโดยมีหวังความสำเร็จ การสนับสนุนพวกปาร์ติซานก็เพิ่มขึ้นทุกวัน
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 84)

5)  การใช้คำศัพท์
การใช้คำศัพท์ที่สอดคล้องกับบริบทของเรื่อง เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นเพราะทำให้ “ คำ ” กับ “ ความ ” มีความกลมกลืนกัน ดังตัวอย่างในเรื่อง “ ติโต ” ต่อไปนี้

– ต้องหมายว่าการต่อสู้จะนำมาซึ่ง อิสรภาพ เสมอภาค และ ภราดรภาพ สำหรับทุกชนชาติในยูโกสลาเวียอย่างแท้จริง นี่คือ สารัตถะ สำคัญของการต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติ (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 63)

–  หลังจากการจัดตั้งกองพลน้อยชนกรรมาชีพ มีการออกประกาศกฎต่างๆ เป็นแนวทางการจัดตั้งกองทัพ
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 78)

–  ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชายมีกฎบังคับที่เด็ดขาดให้เป็น “ สหาย ” เท่านั้น
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 78)

–  เป็นโอกาสสำหรับฉลองกันอย่างตื่นเต้นมีการแสดง ภราดรภาพ
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 100)

  • 2. ศิลปะการใช้โวหาร
    1)
      โวหารอุปมา
    โวหารอุปมา เป็นโวหารลักษณ์ที่พบในราชนิพนธ์เรื่อง “ ติโต ” หลายแห่ง ล้วนทำให้ภาษามีความสละสลวยมากยิ่งขึ้น เช่น

    – ข้าพเจ้าพบชายผู้หนึ่ง อายุประมาณ ๕๐ ปี รูปร่างแข็งแกร่ง ผมสีเทา ลักษณะใบหน้าคมสัม เด่นชัด แต่อิดโรยและคล้ำด้วยกรำแดด ปากแสดงนิสัยมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ตาสีน้ำเงินอ่อน คม และไว เขามีลักษณะเป็นคนที่มีพลังแรงกล้า พร้อมที่จะปฏิบัติการทันที ดุจเสือโคร่งที่พร้อมกระโจนใส่
    (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 1)

    –  งานนี้มีความสำคัญยิ่งกว่างานอื่นใดที่ติโตจะต้องทำในยูโกสลาเวีย สำหรับติโตเองเหมือนตกนรก เพราะต้องอยู่ในบรรยากาศอันมีภัยและตึงเครียดในมอสโคว์ ทั้งถูกตัดจากปฏิบัติการในประเทศของตนเอง (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 35)

    – เขาเริ่มมีกำลังใจขึ้นเมื่อนึกถึงความสำเร็จที่เห็นรำไร “ ตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายเหมือนเหล็กกล้า และเสียงพูดของเขาสนั่นด้วยความมั่นใจและแน่ใจ ” เขาไม่จำต้องเล่นละคร ว่ามั่นใจในอนาคตเพื่อให้กำลังใจแก่ผู้บังคับบัญชา (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 95)

    2)  โวหารอุปลักษณ์ โวหารอุปลักษณ์ เป็นการใช้ข้อความที่กล่าวเป็นนัยะซึ่งทำให้ผู้อ่านต้องคิดเอาเอง ว่าเนื้อความที่แท้จริงมีลักษณะเป็นอย่างไร โวหารชนิดนี้ปรากฎในเรื่อง “ ติโต ” เป็นอันมาก เช่น

    –  แม้ว่าเกิดแปดปีก่อนเริ่มศตวรรษนี้ ติโตก็เป็นบุคคลแห่งศตวรรษปัจจุบันโดยเนื้อแท้ เหตุการณ์สำคัญที่เปรอะเปื้อนด้วยเลือด – สงครามโลกสองครั้ง การปฏิวัติในรัสเซีย สงครามกลางเมืองในสเปน การขึ้นและตกลงฮิตเลอร์และมุสโสลินี การกวาดล้างขนานหนักของโซเวียตในช่วงปี 1930 – 1940 การลอบสังหารบุคคลสำคัญที่ซาราเยโว (Sarajevo) มาร์เซลย์ (Marseillers) และแดลลัส (Dallas) – ล้วนได้มีส่วนในการสร้างบุคลิกลักษณะของเขา และมีอิทธิพลโดยตรงต่อชีวิตของเขา (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 2)

–  เมื่อมีการฉลองวันครบรอบของการปฏิวัติแห่งเดือนตุลาคม โยซิป โบรซ เป็นผู้ปราศรัยคนหนึ่ง และได้กล่าวถึงการที่คนงานรัสเซียได้ชัยชนะ “ ด้วยอำนาจกระบอกปืน ” (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 18)

–  ภายหลังติโตเคยกล่าวว่า : “ เมื่อข้าพเจ้าไปมอสโคว์ ข้าพเจ้าไม่มีทางทราบเลยว่าอาจต้องถูกปลุกกลางดึกและได้ยิน เสียงเคาะประตูมรณะ 
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 33)

– เขาได้เรียนรู้ว่าผู้นำโซเวียตถือว่าบุคคลนั้นจำหน่ายได้ ว่าผู้นำเหล่านั้นบังคับบัญชาอย่างไม่ปรานีปราศรัย อย่างโหดร้ายทารุณ และไร้มนุษยธรรม โดยบังคับให้ หลับหูหลับตา เชื่อฟัง และทำตามนโยบายซึ่งไม่มีการชี้แจงเลย
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 37)

–  เขาคงจะได้รับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตเป็นแน่ เพราะเหตุว่าการขยายการปฏิวัติเป็นเป้าหมายอันหนึ่ง ของคอมมูนิสต์สากลมิใช่หรือ ? หลักการนี้เขาได้รับการเสี้ยมสอนมาเป็นเวลาแรมปี สงครามจะดำเนินต่อไปอย่างไร ยังเดาไม่ออก และ โอกาสทอง จะมาเมื่อใดก็ยังไม่ทราบ
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 41)

– การประชุมครั้งนั้นเป็นการสาธิตไปในตัวเรื่องความยากลำบากของสิ่งที่เรียกกันว่า “ คอนสปิราชียา ” (conspiracija) หมายถึง ปฏิบัติการลับใต้ดิน
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 45)

– ทหารเยอรมันได้ยึดบ่อน้ำมันในรูเมเนียแล้ว และผู้นำของประเทศยุโรปตะวันออกถูกกดดันอย่างรุนแรงให้เข้าร่วม สนธิสัญญาสามเส้า (Tripartie Pact) ของเยอรมัน – อิตาลี – ญี่ปุ่น (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 45)

–  ทั้งระดมพลเข้ามาเพียงครึ่งเดียว และมีอาวุธที่ไม่เหมาะสม สำหรับต้านยุทธวิธีสงครามแบบสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) และอาวุธที่เหนือกว่าของเยอรมัน
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 48)

– รัฐนี้ก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการปกครองใหม่ภายใต้การนำของ ผู้นำ “ หุ่น ” อันเตปาเวลิช (Ante Pavelic)
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 49)

– แม้ ถูกรัฐเซียมัดมือ ไว้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าติโตมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการเป็น ผู้นำที่อิสระ
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 51)

– การประชุมที่ยัยเซ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในยุทธศาสตร์ทางการเมืองของติโตในระหว่างสงคราม เป็น งานชิ้นโบว์แดง ในการวางแผนล่วงหน้าและได้ปฏิบัติด้วยความองอาจที่เป็นยี่ห้อขององอาจ (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 96)

– “ สามพี่เบิ้ม ” มิได้กล่าวถึงอนาคตทางการเมืองสำหรับยูโกสลาเวีย แต่มาบัดนี้ก็ทราบดีว่าติโต และปาร์ติซานเป็นพลังที่จะต้องนำมาพิจารณาในการตกลงกันหลังสงคราม ” (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 103)

– ติโตไม่พอใจในข้อตกลงนี้ เพราะจำกัดอำนาจและตัดเสรีภาพของเขาที่จะบริหารกิจการ ทางการเมืองในยูโกสลาเวียตามที่เขาได้เคยทำมาพร้อมกับพวกในระยะสามปีที่ผ่านมา สมัยฝันหวาน ของปาร์ติซานในสงครามได้จบลงเสียแล้ว (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 105)

– ท่านอาจนึกว่า เพียงเพราะเราเป็นพันธมิตรกับพวกอังกฤษเราจะลืมเสียแล้วว่าพวกนั้นเป็นใคร และว่าเชอร์ชิลล์เป็นใคร ไม่มีอะไรที่พวกเขาชอบมากยิ่งกว่าการจะเล่นตลกกับพันธมิตรของเขา … และเชอร์ชิลล์ล่ะ เชอร์ชิลล์เป็น คนจำพวกที่จะล้วงกระเป๋า คนแม้จะเป็นเพียงโกเป็ก (Kopeck สตางค์แดง) เดียว ถ้าไม่ระวังตัว ” (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 109)

– ไม่ช้าพวกปาร์ติซานก็เริ่มผิดหวังในพันธมิตรฝ่ายโซเวียต ซึ่งวางตัวเป็น กองทัพ “ ปลดแอก ” ที่ขาดวินัย
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 110)

–  สตาลิน ได้กล่าว : “ ท่านไม่ต้องรับพระราชาธิบดีเป็นการถาวร ให้กลับมาแค่ชั่วคราว แล้วต่อไปจะ เอามีดปักหลัง ในเวลาอันควรก็ได้
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 113)

– ผู้สมัครเลือกตั้งเป็นผู้ใดก็ได้ที่ไม่เป็น “ ศัตรูของประชาชน ” พลเมืองทุกคนทั้งชายหญิงที่อายุเกินสิบแปดปีมีสิทธิเลือกตั้ง และเยาวชนที่อายุต่ำกว่าสิบแปดปี
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 117)

3) โวหารปฏิพจน์
การกล่าวความให้ขัดแย้งกันเป็นความคมคายอย่างหนึ่งของภาษา ทำให้ความธรรมดาดูโดดเด่นมากขึ้น ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของโวหารประเภทนี้ที่ปรากฏเรื่อง “ ติโต ”

–  เมื่อเวลาผ่านไปและได้มีประสบการณ์มาก ความคิดเห็นของติโตก็ยิ่งกว้างออกไปทุกที และความแข็งกระด้างก็ลดน้อยลง เมื่อแยกออกจากการบีบบังคับจากมอสโคว์ (Moscow) เขายิ่งพร้อมที่จะทดลองและยอมเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่นมากขึ้น อารมณ์ขันซึ่งเป็นประโยชน์ ก็ยิ่งทวีขึ้นในฐานะเป็นบุคคล เขารุนแรงน้อยลง นุ่มนวลขึ้น วูบวาบน้อยลง และอารมณ์สม่ำเสมอขึ้น เป็นเผด็จการน้อยลง และเป็นมนุษย์ขึ้น แต่ก็ไม่ทิ้งความแข็งแกร่งและความเฉียบแหลม ไม่ทิ้งคุณสมบัติต่างๆ ซึ่งได้ค้ำจุนเขาในอดีต (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 2)

– แต่แทนที่จะยอมจำนน หรือปล่อยให้ค่อยๆ ถูกกลืนชาติ เขากลับรักษาไว้ในใจซึ่งความเกลียดชังอย่างดุเดือดในระบบสังคม ที่มีอยู่ในเวลานั้น และซึ่งความรู้สึกรักอิสระอย่างรุนแรง (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 5)

– ฮิตเลอร์มิได้คำนึงถึงนิสัยของชาวยูโกสลาเวีย นโยบาย “ แบ่งแยกเพื่อปกครองให้อยู่ ” (“Divide and rule”) กลับทำให้เยอรมันเสียประโยชน์ในที่สุด
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 50)

– คือความพยายามครั้งสุดท้ายในการต่อต้านร่วมระหว่างปาร์ติซานกับเช็ตนิก หลังจากนี้ ความสัมพันธ์เลวร้ายลงอีกอย่างรวดเร็ว
(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 60)

  • 4. โวหารบุคลาธิษฐาน
    โวหารประเภทนี้ทำให้ผู้อ่านนำเอาสิ่งที่เป็นบุคลิกภาพและอารมณ์ความรู้สึกของคน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีแล้ว ไปใช้กับสิ่งที่ไม่มีความรู้สึกคิดหรือจิตใจ เช่น

    – หน้าที่ของเขาคือการจัดระบบงานทางการเมืองของพรรคในยูโกสลาเวีย เพื่อ พยายามให้ฟื้น จากสภาพที่ร่อแร่ปางตาย
    (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 29)

    – แต่อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่า ปล่อยอยู่เดียวดาย โดดเดี่ยวแต่ลำพังจนสามารถดำเนินการปฏิวัติของตัวเอง โดยไม่มีการแทรกแซงจากมหาอำนาจใดๆ นั่นเอง เป็นข้อสำคัญในความสำคัญของการปฏิวิตคอมมูนิสต์ในยูโกสลาเวีย ดังนี้ ติโตจึงเป็นผู้ปั้นลัทธิคอมมูนิวต์ ชาติ – นิยมและเอกราช ให้เป็นรูปปฏิมากรรมที่หาที่เปรียบไม่ได้ รูปการทางการเมือง ดังนี้ ซึ่งเรียกว่า “ ติโตอิซึ่ม ” (Titoism) จึงแข็งแกร่งจนสามารถผ่านการปะทะกับสหภาพโซเวียตในภายหลังได้
    (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 120)
  • 5. โวหารอธิพจน์
    โวหารอธิพจน์ เป็นการกล่าวเกินความจริง ให้ความรู้สึกที่จริงจัง มากมาย ยิ่งใหญ่ ในพระราชนิพนธ์เรื่อง “ ติโต ” มีโวหารอธิพจน์ดังตัวอย่างต่อไปนี้

    – พวกปาร์ติซานทั้งขบวนการรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ในความสำเร็จที่ได้มาอย่างมหัศจรรย์ ทุกคนเห็นว่าไม่มีคำชมเชยใดที่เกินไปสำหรับกองทัพอันนำมาซึ่งความสำเร็จนี้(พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 87)

    – เขาหมายให้ทุกคน ทำงานสุดกำลังวังชาจะขาดใจตาย เหมือนดังที่ตนเองทำ และตอนสงครามทุกคนใต้บังคับบัญชาก็ได้ทำเช่นนั้น
    (พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง “ ติโต ” หน้า 119)

    (ชำนาญ รอดเหตุภัย, 2545 : 183-190)

    ดังนั้นการจะอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ได้ทั้งความรู้ และอรรถรสจะต้องค่อยๆ อ่าน และคิดพิจารณา จะได้ทั้งข้อคิด คติธรรม และความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นอัจฉริยะในด้านอักษรศาสตร์โดยแท้ บทพระราชนิพนธ์ เรื่อง “ ติโต ” มีความยาว 121 หน้า ได้จัดพิมพ์ ไม่ต่ำกว่า 9 ครั้ง (ครั้งที่ 9 พ.ศ.2538 รวมได้ 90,000 เล่ม) รายได้ทั้งหมดได้พระราชทานให้มูลนิธิชัยพัฒนา

2.4.4 พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสดับพระธรรมเทศนา เรื่องพระมหาชนกจาก สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสาโร มหาเถร) วัดราชผาติการาม เมื่อ พ.ศ.2520 และทรงสนพระราชหฤทัย จึงทรงค้นเรื่อง พระมหาชนกในพระไตรปิฎก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงแปลมหาชนกชาดกเสร็จสมบูรณ์ เมื่อ พ.ศ.2531 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์ในโอกาสเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษกแห่งรัชกาล (ครองราชย์ ครบ 50 ปี) ให้เป็นเครื่องพิจารณาประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของสาธุชนทั้งหลาย (คัดลอกจากพระราชปรารภในหนังสือพระราชนิพนธ์พระมหาชนก. 2540 : 6, 8)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์ชาดกพระพุทธศาสนาเรื่อง พระมหาชนก เพื่อเป็นแบบอย่างของความเพียรกระทำความดี หรือเพื่อพาตนให้พ้นทุกข์ ดังมีพระราชดำรัสต่อสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2539 ว่า

“ ความคิดหลักของชาดกนี้ คือ ให้เห็นว่าความเพียรต้องมี สำคัญที่สุด คนเราทำอะไรต้องมีความเพียร แม้จะไม่เห็นฝั่งก็จะต้องว่ายน้ำ และมีคำตอบอยู่ว่ามีประโยชน์อย่างไร เพราะถ้าหากไม่เพียรที่จะว่ายน้ำเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ก็จะไม่ได้พบเทวดา คนอื่นไม่มีความเพียรที่จะว่ายน้ำ ก็จมเป็นอาหารของปลาของเต่า เพราะฉะนั้นความเพียรแม้จะไม่ทราบว่าจะถึงฝั่งเมื่อใด ก็ต้องเพียรว่ายน้ำต่อไป …”

พระมหาชนกเดินทางโดยเรือ ไปค้าขายยังดินแดนสุวรรณภูม
เรืออับปางกลางทะเล

พระมหาชนก เป็นพระราชนิพนธ์ที่ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเองทั้งเล่ม ได้ทรงคิดดัดแปลงในบางส่วนเพื่อให้เข้าใจง่าย และเหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน มีทั้งหมด 37 บท เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระมหาชนกซึ่งเป็นหนึ่งในทศชาติของพระพุทธเจ้า ได้มุ่งเดินทางโดยเรือไปค้าขายยังดินแดนสุวรรณภูมิที่มีความเจริญแต่เรือเกิดอับปางกลางทะเล ลูกเรือที่ไม่มีความเพียรในการว่ายน้ำก็จมน้ำตาย

พระมหาชนกมีความเพียรพยายาม

เหลือแต่พระมหาชนก ที่มีความเพียรพยายามในการว่ายน้ำ นานถึง 7 วัน 7 คืน จนกระทั่งนางมณีเมขลามาพบ และได้ช่วยเหลือจนรอดชีวิต

และพระองค์ท่านยังได้ทรงนิพนธ์เรื่อง การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเกษตรกรรม และการจัดการศึกษาอย่างทั่วถึง เข้าไปในเนื้อเรื่อง

ศิลปะการใช้ภาษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงไว้ซึ่งพระปรีชาสามารถทางด้านการใช้ภาษาอย่างยิ่ง จะเห็นได้จากการทรงมีผลงานพระราชนิพนธ์ที่ใช้ภาษาศิลปะเป็นจำนวนมากหลายเล่ม กล่าวเฉพาะพระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” นับเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถทางด้านการใช้ภาษามากถึง 3 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาเทวนาครี เริ่มจากทรงพระราชนิพนธ์แปลตรงเป็นภาษาอังกฤษขึ้นก่อนจากเรื่องมหาชนกชาดกภาษาไทย เรื่องพระมหาชนกชาดกนี้เป็นเรื่องในพระไตรปิฎกหมวดพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายชาดก เล่มที่ 4 ภาค 2

นายอานันท์ ปันยารชุน ได้กล่าวพระปรีชาสามารถทางด้านภาษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตอนหนึ่งว่า “… ทรงพระมหากรุณาธิคุณพระราชนิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษด้วย ทำให้เราสามารถเทียบเคียงความหมายของทั้งสองภาษา ให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน อีกทั้งใช้เป็นตำราเรียนภาษาก็ได้ และทำให้ผลงานของพระองค์สามารถเผยแพร่ไปได้ทั่วโลก ทรงเป็นนักเขียนที่โลกรู้จัก ผลงานพระราชนิพนธ์ของพระองค์ท่าน จะเป็นประโยชน์ยิ่งแก่การสร้างความสุขความเจริญรุ่งเรือง ที่ยั่งยืนให้แก่ชาวโลกสืบไป ”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงใช้ภาษาในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก อย่างประณีตพิถีพิถัน จะเห็นได้จากพระราชดำรัสของพระองค์เองเมื่อแรกพิมพ์เผยแพร่พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ ครั้งนั้นพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะกรรมการดำเนินการจัดพิมพ์เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อรับพระราชทานเหรียญพระมหาชนกทองคำจำลอง และทรงมีพระราชดำรัสถึงการใช้ภาษาในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก ตอนหนึ่งว่า

“… หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยหลายส่วน คือ ส่วนที่เป็นภาษาไทยมาจากพระไตรปิฎก เป็นการนำคำพูดหรือคำที่อยู่ในนั้นมาตรงๆ ส่วนที่สองดัดแปลงเพื่อให้ตัวหนังสือบางอย่างหรือคำบางอย่าง ที่ไม่ตรงกับความคิดสมัยนี้ หรือมีความคิดบางอย่างที่อาจจะไม่เป็นประโยชน์กับคนในปัจจุบันนี้ ก็ได้ตบแต่งส่วนนี้ให้เป็นประโยชน์กับสังคมปัจจุบัน ส่วนภาษาอังกฤษนั้นได้แปลตรงจากภาษาไทย ที่ได้ปรุงแต่งทั้งของเก่าและของใหม่ … ภาษาที่ดูอาจแปลกไปเพราะจะต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องเก่าโบราณ หรืออาจเป็นปริศนาบ้าง ถ้าใครรู้ภาษาอังกฤษบางทีก็ต้องดูภาษาไทยเพื่อให้เข้าใจว่า ภาษาอังกฤษเขาว่าอย่างไร ส่วนคนที่รู้ภาษาไทยบางทีก็ต้องไปดูภาษาอังกฤษ จะได้รู้ว่าภาษาไทยเขาว่าอย่างไร จะได้เป็นประโยชน์กับผู้ที่ชอบศึกษาภาษา และจะเป็นการขัดเกลาภาษาไทยสำหรับผู้ที่รู้ภาษาไทย นอกจากนี้ก็ได้เขียนเป็นตัวอักษรโบราณ คือ อักษรเทวนาครี ซึ่งเป็นสิ่งที่ลำบากมาก เพราะผู้ที่รู้ภาษานี้มีน้อยคน จะต้องอาศัยความละเอียดจัดให้ถูกต้องและเป็นที่พอใจ … การแก้หนังสือนี้ยังไม่เสร็จ … แต่งานก็ต้องเพียรต่อไป มีการแก้ภาษาไทยซึ่งบางตัวเขียนผิด และภาษาอังกฤษบางตัวที่อาจมีผิดไวยากรณ์ ถกเถียงกัน สมเด็จพระเทพรัตนฯ ก็ทรงช่วยถึง 2 วัน 2 คืนกับเพื่อนๆ …”

เหรียญพระมหาชนกทองคำจำลอง

การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ภาษาอย่างพิถีพิถันดังกล่าวข้างต้นนั้น อาจวิเคราะห์ศิลปะการใช้ถ้อยคำภาษาของพระองค์ได้ดังต่อไปนี้

1. การใช้คำโบราณ 
(Obsolete)
เนื่องจากเรื่องพระมหาชนกเป็นเรื่องโบราณ ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงต้องทรงใช้ภาษาโบราณ โดยเฉพาะในส่วนที่ภาษาสนทนาของตัวละคร
– ขณะนั้นมีพราหมณ์ผู้ เพ่งมนต์ คนหนึ่งชาวกาลจัมปากะเป็น ทิศาปาโมกข์ มาณพ ประมาณห้าร้อยคนแวดล้อมเดินไปเพื่ออาบน้ำ
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 30)

– พอเห็นเท่านั้นก็เกิด สิเนหาราวกะ ว่าเป็นน้องสาวของตน
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 30)

– “ น้องหญิง แม่ เป็นชาวบ้านไหน ” พระเทวีตรัสตอบว่า : “ ข้าแต่ พ่อ ข้าพเจ้าเป็นอัครมเหสีของพระอริฏฐชนกราช กรุงมิถิลา ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 32)

– “ เธอจง กล่าวกะ ข้าพเจ้าว่า “ ท่านเป็นพี่ชาย ” แล้วจับที่เท้าทั้งสองของข้าพเจ้าคร่ำครวญเถิด ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 32)

– “ พ่อ ทั้งหลาย หญิงนี้เป็นน้องสาวฉัน ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 34)

– พระเทวี ขนาน พระนามพระโอรสเหมือนพระอัยกาว่า มหาชนกกุมาร
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 38)

– “ ท่านไม่บอกแก่เรา ตามใจท่าน ยกไว้เถิด 
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 42)

– “ ข้าแต่แม่ แม่จงบอกบิดาแก่ฉัน ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 43)

– “… พราหมณ์นี้ ตั้งแม่ไว้ ในที่เป็นน้องสาว ปฏิบัติดูแลแม่ ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 43)

– กระโดดจากยอดเสากระโดง ล่วงพ้นฝูงปลาและเต่า ไปตกในที่สุด อุสภะหนึ่ง
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 58)

– “ ถ้าพระมหาชนกตาย เราจักไม่ได้เข้า เทวสมาคม 
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 66)

– คิดฉะนี้แล้ว ตกแต่งสรีระ สถิตอยู่ในอากาศไม่ไกล พระมหาสัตว์
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 66)

– “ เราว่ายข้ามมหาสมุทรมาได้เจ็ดวันเช้าวันนี้ ไม่เคนเห็น เพื่อนสอง ของเราเลย นี่ใครหนอมาพูดกะเรา ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 69)

– พระมหากษัตริย์เมื่อจะทำนางมณีเมขลาให้จำนนต่อถ้อยคำ … ดูก่อนเทวดา
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 86)

– “ ท่านทั้งหลายจงมอบราชสมบัติให้แก่ท่านที่สามารถยังวลีเทวี ธิดาของเรา ให้ยินดี
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 102)

– ปุโรหิตกล่าวว่าควรจะปล่อย ผุสสรถ (ราชรถ) เพราะพระราชาที่เชิญเสด็จมาได้ด้วย ผุสสรถเป็นผู้สามารถจะครองราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 108)

– เสนาบดี ได้รับโอกาสเป็นคนแรก เสนาบดี ไม่สามารถให้พระธิดายินดี
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 108)

– ชนทั้งหลายมี อมาตย์และปุโรหิต เป็นต้น ก็ถวายอภิเษกพระมหาสัตว์ ณ สถานที่นั้นเอง
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 108)

– มหาชนชาววิเทหรัฐทั้งสิ้น เอิกเกริก กัน . เฉลิมฉลองด้วยมหกรรมดนตรี .
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 113)

– “ ดูก่อน นายอุทยานบาล เราใคร่จะเห็นอุทยาน ท่านจงตกแต่งไว้ .”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง ” พระมหาชนก ” หน้า 120)

คำโบราณในข้อความดังกล่าวข้างต้น ได้แก่ ผู้เพ่งมนต์ (ผู้เคร่งครัดในการสาธยายมนต์) ทิศาปาโมกข์ (อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ = A master of philosophy) มาณพ (คน) สิเนหา (เสน่หา) ราวกะว่า (ราวกับว่า) แม่ – พ่อ (คำเรียกหญิงชายที่เคารพนับถือ) กล่าวกะ (พูดกับ) ขนานนาม (ตั้งชื่อ) ยกไว้เถิด (ลืมเสียเถิด) อุสภะ (มาตราวัดระยะทางสมัยโบราณ เท่ากับ 1 เส้น 15 วา = 70 เมตร) เทวสมาคม (สมาคมของเทวะ) มหาสัตว์ (พระโพธิสัตว์) เพื่อนสอง (เจตภูต = ขวัญหรือวิญญาณประจำตัวของแต่ละคน) ดูก่อน (คำเรียกขานให้ผู้ฟังรู้สึกตัวก่อนที่จะพูดความต่อไป) ยังให้ยินดี (ทำให้เกิดความพอใจ) ผุสสรถ (ราชรถ) เสนาบดี (นายกรัฐมนตรี = Chief Minister) อมาตย์ (อำมาตย์ – ข้าราชสำนัก = Courtier) ปุโรหิต (องคมนตรี = Privy Councellor) เอิกเกริก (อึกทึกครึกโครม) อุทยานบาล (คนเฝ้าสวน) ฯลฯ คำโบราณเหล่านี้เหมาะกับเนื้อความที่เป็นบริบท ทำให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ในครั้งอดีต

2. การใช้คำภาษาพูดหรือภาษาปาก (Colloquial)
ภาษาพูดหรือภาษาปากให้ช่วยอ่านเรื่องได้อย่างมีชีวิตชีวา ทำให้เกิดความสมจริง เป็นต้นว่าตัวละครที่เป็นคนธรรมดาสามัญย่อมพูดภาษาแบบชาวบ้าน ใช้คำราชาศัพท์ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

– องค์ พี่ …… องค์ น้อง …….
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 1)

– “ ขอเดชะ พระอุปราช เล่นไม่ซื่อ กับพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 4)

– ณ ที่นั้น ประชาชนจำ ท่านได้ ก็บำรุงพระองค์ ตอนนี้พระอริฏฐชนกไม่สามารถจับพระองค์ได้
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 5)

– แม้เป็น กลางวันแสกๆ ไม่มีใครจำพระนางได้
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 14)

– “ ข้าแต่พระมารดา ใครเป็น บิดาของฉัน 
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 42)

คำภาษาพูดหรือภาษาปากในตัวอย่างข้างต้น คือ พี่ … น้อง … (ภาษาแบบแผนคือราชาศัพท์ = เชษฐา – อนุชา) เล่นไม่ซื่อ (คิดคดทรยศ – ก่อการกบฏ) จำท่านได้ (จำพระองค์ได้) กลางวันแสกๆ (กลางวันที่สว่างไสว) บิดาของฉัน (พระบิดาของหม่อมฉัน) แสดงความสมจริงเพราะเป็นการใช้ภาษาที่มีผิดบ้างถูกบ้าง เป็นทางการบ้างไม่เป็นทางการบ้างประสมกันไปโดยตลอด

3. การใช้ราชาศัพท์
เนื่องจากตัวละครหลักในเรื่องเป็นกษัตริย์ เพราะฉะนั้นเพื่อความสมจริง จึงต้องมีการใช้คำราชาศัพท์ดังตัวอย่างต่อไปนี้

– “ ข้าแต่ พระมารดา หม่อมฉัน จะไปเมืองสุวรรณภูมิ ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 51)

– ในวันนั้นเกิด พระโรค ขึ้นใน พระสรีระ ของพระโปลชนกราช บรรทม แล้วเสด็จลุกขึ้นอีกไม่ได้
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 51)

– พราหมณ์ สนองพระราชโองการ ว่า : “ พระราชอาญามิพ้นเกล้า เทวดาน่าจะได้กล่าวว่า “ โพธิยาลัย ” อันเป็นนามของสถาบันฤษีดัดตนที่วัดพระเชตุพนในเทวมหานคร เมืองสุวรรณภูมิ . แต่หากจะเรียกว่า “ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย” ก็น่าจะเหมาะสมเหมือนกัน
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 140)

4. การใช้คำตามแบบสังคมไทย
การใช้ภาษาพูดตามแบบที่ใช้กันในหมู่คนไทยที่มีสอดแทรกอยู่ใน พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ทำให้ได้บรรยากาศที่เป็นแบบสังคมไทย ดังเช่น
– “ ยอดรัก การรบแพ้หรือชนะนั้นอาจไม่รู้ได้ ถ้าพี่มีอันเป็นอันตราย น้องจงรักษาครรภ์ให้ดี ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง ” พระมหาชนก ” หน้า 12)

– “ ข้าแต่พ่อ ข้าพเจ้าจักไป .” ท้าวสักกะตรัสว่า : “ ถ้าเช่นนั้น แม่ จงลุกขึ้นมานั่งบนเกวียนเถิด ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 22)

– ถามว่า “ ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นแก่ท่าน ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 34)

การพูดจากันในหมู่คนไทย มักเรียกขานกันแบบนับญาติ แสดงความมีอัธยาศัยไมตรี หรือแสดงการเคารพนับถือบุคคลสำคัญ ดังเช่นคำว่า ยอดรัก พี่ น้อง (คำเรียกระหว่าง สามีภรรยา) ข้าแต่พ่อ (เรียกแบบนับญาติทั้งๆที่มิได้เป็นญาติ) ท่านอาจารย์ (เพิ่มคำว่า “ ท่าน ” ลงไปหน้าคำ เพื่อแสดงความเคารพนับถือมาก)

5. การใช้ศัพท์บัญญัติ (Technical terms)
นอกจากราชาศัพท์ ในพระราชนิพนธ์เรื่องนี้มีคำศัพท์เกี่ยวกับธรรมะ การบ้านการเมืองและศัพท์บัญญัติเฉพาะกลุ่ม เป็นอันมาก เช่น คำว่า มวลชน (ประชาชนทั้งหลาย = mass population) ยุทโธปกรณ์ (อุปกรณ์ทำสงคราม = military equipment) กองบัญชาการ (head quarters) มหาสัตว์ (พระโพธิสัตว์ = the Great Being) ทิศทักษิณ (ทิศใต้) อันเตวาสิก (สาวก =disciples) นิเวศ (บ้าน) มานะ (ความถือตน) ประทักษิณ (การเวียนขวา) มรณะภัย (ภัยจากความตาย) มหาชน (คนทั้งหลายทั่วๆ ไป = public) ภักษา พระพาหา (แขน) ทิพยสมบัติ เทพสมาคม ปฏิปทา (พฤติกรรม)

อานิสงส์ ธรรมกถา (ข้อความธรรมะ) อานิสงส์ อดิเรกคาถา (คำกล่าวอธิบายเพิ่มเติม) วาจาอันมีปาฏิหารย์ (คำพูดที่ความหมายยิ่ง) อัตภาพ อัตภาพทิพย์ (กายอันเป็นทิพย์) สดับพระวาจา พระสรีระเศร้าหมอง ทิพยสมบัติ แท่นมรณมัญจาอาสน์ (เตียงที่นอนตาย) มนสิการ (คิดใคร่ครวญ) โภคะ (ความมั่งคั่ง = wealth) ปัจเจกพุทธเจ้า (พระอรหันต์ที่ตรัสรู้เฉพาะตน) ยันตกลเก็บเกี่ยว (เครื่องกลสำหรับเก็บเกี่ยวพืช = automatic fruit harvester) ชีวาณูสงเคราะห์ (การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ = culturing the cells in a container) ฯลฯ ในข้อความต่อไปนี้

– แล้วเคลื่อนทัพไปสู่กรุงมิถิลา พร้อมด้วย มวลชน จำนวนมาก
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 8)

– ก็พากันขน ยุทโธปกรณ์ มีพาหนะช้าง เป็นต้น มาที่ กองบัญชาการ ของพระโปลชนก
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 9)

– สัตว์ในครรภ์พระเทวีนั้นมิใช่สัตว์สามัญ แต่เป็น มหาสัตว์ ผู้มีบารมีเต็มแล้วมาบังเกิด
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 20)

– ครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชให้พระเทวีลงจากเกวียน ณ ที่ใกล้ประตู ด้าน ทิศทักษิณ .
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 30)

– ครั้งนั้น เหล่าอันเตวาสิก ได้ยินเสียงของพราหมณ์พากันวิ่งเข้าไปยังศาลา
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 34)

– พราหมณ์ได้ปฏิบัติพระนางใน นิเวศ ของตน
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 38)

– พระองค์มีพระกำลังมาก และด้วยความที่เป็นผู้เข้มงวดเพราะ มานะ โดยที่พระองค์เกิดในตระกูลกษัตริย์ ที่ไม่เจือปน
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 39)

– ทูลลาพระมารดา ถวายบังคมกระทำ ประทักษิณ
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 51)

– มหาชนกลัว มรณภัย ร้องไห้คร่ำครวญ กราบไหว้เทวดาทั้งหลาย
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 58)

– มหาชนเป็น ภักษา แห่งปลาและเต่า
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 58)

– ข้ามมหาสมุทรด้วยกำลัง พระพาหา
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 58)

– พระองค์มีพระกำลังมาก และด้วยความที่เป็นผู้เข้มงวดเพราะ มานะ โดยที่พระองค์เกิดในตระกูลกษัตริย์ที่ไม่เจือปน
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 39)

– ทูลลาพระมารดา ถวายบังคมกระทำ ประทักษิณ
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 51)

– มหาชนกลัว มรณภัย ร้องไห้คร่ำครวญ กราบไหว้เทวดาทั้งหลาย
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 58)

– มหาชนเป็น ภักษา แห่งปลาและเต่า
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 58)

– ข้ามมหาสมุทรด้วยกำลัง พระพาหา
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 58)

– นางเสวย ทิพยสมบัติ เพลินก็เผลอสติมิได้ตรวจตรา บางอาจารย์กล่าวว่านางเทพธิดาไป เทพสมาคมเสีย
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 66)

– “ ดูก่อนเทวดา เราไตร่ตรองเห็น ปฏิปทา แห่งโลก และ อานิสงส์ แห่งความเพียร …”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 69)

– นางมณีเมขลาปรารถนาจะฟัง ธรรมกถา ของพระมหากษัตริย์
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 75)

– เทวดาก็ได้กล่าว อดิเรกคาถา ว่า : ข้าแต่บัณฑิต วาจาอันมีปาฏิหารย์ มิบังควรหายไปในอากาศ ท่านต้องให้สาธุชนได้รับพระแห่งโพธิญาณจากโอษฐ์ของท่าน. ถึงกาลอันสมควร ท่านจงตั้งสถาบันการศึกษาให้ชื่อว่า โพธิยาลัยมหาวิชชาลัย. ในเทศกาลนั้นท่านจึงจะสำเร็จกิจโดยแท้.
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 96)

– ท่านจงดูแลผลแห่งความเพียรของเราแม้นี้ เราไม่เคยเห็นเทวดาโดย อัตภาพ นี้เลย เรานั้นก็ ได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้ๆ เราโดย อัตภาพทิพย์ นี้
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 88)

– เทวดาได้ สดับพระวาจา อันมั่นคงของพระมหาสัตว์
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 94)

– พระมหาสัตว์มีสรีระเศร้าหมองด้วยน้ำเค็มตลอดเจ็ดวัน ได้สัมผัส ทิพยผัสสะ ก็บรรทมหลับ
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 96)

– พระเจ้าโปลชนกราชเมื่อบรรทมอยู่บน แท่นมรณมัญจอาสน์
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 102)

– พระมหาสัตว์ … ก็ทรงอนุสรณ์ถึงความพยายามที่พระองค์ได้ทรงทำในมหาสมุทร ……. จึงทรง มนสิการ ว่า … สิ่งที่มิได้คิดว่า จะมีก็ได้ สิ่งที่คิดไว้จะพินาศไปก็ได้ โภคะ ทั้งหลายของหญิงก็ตามของชายก็ตาม มิได้สำเร็จด้วยเพียงคิดเท่านั้น
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 113)

– พระมหาสัตว์ทรงบำเพ็ญทศพิธราชธรรม ครองราชสมบัติโดยธรรม ทรง บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งหลาย
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 117)

– “… ข้าพระบาทจึงนำเอา “ ยันตกลเก็บเกี่ยว ” มาใช้ มิได้คิดว่าจะทำให้ต้นมะม่วงถอนรากโค่นลงมา …”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 132)

– “… เก้า ทำชีวาณูสงเคราะห์ …”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 132)

– “… บัดนี้เราลังเลสงสัยว่า ถูกต้องหรือไม่. ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์จงเผย มนสิการ. 
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 136)

. การใช้คำศัพท์สูง
พระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก เป็นเรื่องสูง เพราะเป็นเรื่องของกษัตริย์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ และเทพยดา ดังนั้น บางตอนจึงมีคำที่เป็นศัพท์สูง เมื่ออ่านจะรู้สึกถึงความสง่างามของสรรพสิ่งในท้องเรื่อง ดังตัวอย่างเช่น
– พระนางได้ หยั่งลงสู่ที่นิทรา เพราะได้ บรรทมบนพระที่อันเป็นทิพย์
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 23)

– พระเทวีรับคำแล้วเปล่งเสียงดัง ทอดพระองค์ ลงจับเท้าทั้งสองของพราหมณ์ ทั้งสองต่างก็ คร่ำครวญกัน อยู่
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 34)

– ลำดับนั้น นางพราหมณีให้พระนาง สรงสนาน ด้วยน้ำร้อน แล้วแต่ง ที่บรรทม ให้ บรรทม
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 36)

– เป็นผู้ทรง รูปโฉมอันอุดม
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 4)

– แล้วให้ขนขึ้นเรือพร้อมกับ พวกพาณิช ที่จะเดินทางไปสุวรรณภูมิ
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 50)

เป็นที่น่าสังเกตว่า ศัพท์ที่หายากและแปลกต่อไปนี้ ช่วยทำให้ภาษาของวรรณกรรมไพเราะเป็นพิเศษ มิใช่วรรณกรรมดาดๆทั่วไป เช่น หยั่งลงสู่ที่นิทรา (เอนกายลงนอน) บรรทมบนพระที่อันเป็นทิพย์ (นอนบนที่นอนสบาย) ทอดพระองค์ลง คร่ำครวญกัน สรงสนาน ที่บรรทม รูปโฉมอันอุดม (รูปงาม) พวกพาณิช (พวกพ่อค้า)

. การใช้คำอธิบายเรื่องที่เข้าใจยาก
บทสนทนาโต้ตอบกันระหว่างพระมหาชนกกับนางมณีเมขลา เป็นเนื้อความสำคัญ เพราะเป็นข้อความที่แสดงถึงอุดมการณ์สูงสุดอันเป็นเป้าหมายหรือแนวคิดสำคัญ ของพระราชนิพนธ์เรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยกข้อความหลักที่เป็นคำไข (key words) ขึ้นมาประกอบโดยทรงพระราชนิพนธ์คำอธิบายความหมายทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วยเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้

– บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปสฺสนฺตีรํ แปลว่า แลไม่เห็นฝั่งเลย . บทว่า อาหุเห ได้แก่ กระทำด้วยความเพียร
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 68)

– Among these words the word apassantiram means : not a glimpse of the coast.The word ahuhe means : acting with perseverance.
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 70)

– บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิสมฺม วตฺตํ โลกสฺส ความว่า เรานั้นไตร่ตรอง คือ ใคร่ครวญ วัตร คือ ปฏิปทาของโลกอยู่. บทว่า วายมสฺส จ ความว่า พระมหาสัตว์แสดงความว่าเราไตร่ตรอง คือ เห็นอานิสงส์แห่งความเพียรอยู่.
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 69)

– Among these words, the words nisamma vattam lokassa mean : we have reflected upon,i.e.thought out,the duties.i.e. the behaviour of the world. The words vayamassa ca mean : the Great Being exposes his view : we have reflected,i.e.we have seen the merits of perseverance.
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 70)

จะเห็นได้ว่าข้อความดังกล่าวข้างต้นมีสาระสำคัญอันเป็นแก่นของเรื่อง ได้แก่คำว่า อปสฺสนฺตีรํ = แลไม่เห็นฝั่งเลย อาหุเห = การกระทำด้วยความเพียร นิสมฺม วตฺตํ โลกสฺส = การใคร่ครวญวัตรปฏิปทาของโลก และ วายมสฺส จ = การไตร่ตรองเห็นอานิสงส์แห่งความเพียร เป็นต้น

คำเหล่านี้เป็น “ คำหลัก ” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชประสงค์จะเน้นความหมายของคำเป็นพิเศษ จึงได้ยกเอาคาถาภาษาบาลีขึ้นมาก่อน แล้วก็ทรงพระราชนิพนธ์อธิบายความหมายของคำนั้นๆ นอกจากนั้นยังทรงนำเอาอักษรเทวนาครีที่พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์ขึ้นด้วยพระองค์เองโดยใช้เครื่องคณิตกรณ์ (คอมพิวเตอร์) มากำกับเพิ่มเติมด้วย ทำให้มองเห็นการเน้นน้ำหนักของคำสำคัญมากขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย สิ่งเหล่านี้คือลักษณะที่โดดเด่นประการหนึ่งของบทพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

คำว่า โพธิยาลัย หมายความ ที่อาศัยแห่งแสงสว่าง. คำว่ามหาวิชฺชาลย หมายความ ที่อาศัยแห่งความรู้อันยิ่งใหญ่. พระมหาสัตว์มีสรีระเศร้าหมองด้วยน้ำเค็มตลอดเจ็ดวัน ได้สัมผัสทิพยผัสสะ ก็บรรทมหลับ. ลำดับนั้น นางมณีเมขลานำพระมหาสัตว์ถึง มิถิลานคร. ให้บรรทมโดยเบื้องขวาบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคลในสวนมะม่วง มอบให้หมู่เทพเจ้าในสวนคอยอารักขาพระมหาสัตว์แล้วไปสู่ที่อยู่ของตน

อนึ่ง การอ่านพระราชนิพนธ์ภาษาอังกฤษควบคู่ไปด้วย บางครั้งอาจจะทำให้เข้าใจความหมายของคำได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่พระบามสทเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เคยทรงมีพระราชดำรัสไว้ เช่น

อปสฺสนฺตีรํ apassantiram means : not a glimpse of the coast.

อาหุเห ahuhe means : acting with perseverance.

นิสมฺม วตฺตํ โลกสฺส nisamma vattam lokassa mean : we have reflected upon i.e. thought out,the duties,i.e. the behaviour of the world.

วายมสฺส จ vayamassa ca mean : the Great Being exposes his view : we have reflected, i.e. we have seen the merits of perseverance.

. การใช้คำสละสลวย ภาษาในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก มีลักษณะที่ไพเราะ ด้วยวิธีเล่นคำ การใช้คำคู่และใช้คำที่สละสลวยมากกว่าภาษาทั่วไป จะสังเกตเห็นได้จากคำในข้อความต่อไปนี้
– ชาว นครพลเรือน อื่นๆ เข้ามาสวามิภักดิ์ด้วย
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 9)

– การงาน อันใด ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม การงาน อันนั้น ก็ไร้ผล
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 82)

– การทำความพยายามในฐานะ อันไม่สมควรใด จนมัจจุคือความตายนั้นแลปรากฏขึ้น ความพยายามในฐานะ อันไม่สมควร นั้น จะมีประโยชน์อะไร
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 83)

– ท่านใด ถึงพร้อมด้วยความพยายามโดยธรรม ไม่จมลงในห้วงมหรรณพซึ่งประมาณมิได้ เห็นปานนี้ ด้วยกิจคือความเพียรของบุรุษ ท่านนั้น จงไปในสถานที่ ที่ใจของท่านยินดีนั้นเถิด
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 94)

– นับแต่อุปราช จนถึง คนรักษาช้างคนรักษาม้า และ นับแต่ คนรักษาม้า จนถึง อุปราช และ โดยเฉพาะเหล่าอมาตย์ ล้วนจาริกในโมหภูมิทั้งนั้น …”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 140)

จะเห็นได้ว่าการใช้คำ นครพลเรือน ให้ความรู้สึกว่าเป็นคำสละสลวยมากกว่าที่จะใช้คำธรรมดา ที่เคยชินกันอยู่ทั่วไป คือประชาชนพลเมือง

การใช้คำคู่ในข้อความข้างต้นทำให้ภาษาสละสลวยและทำให้ภาษามีสีสันมากขึ้นกว่าธรรมดามาก เช่น ในคำว่า อันใด … อันนั้น อันไม่สมควรใด … อันไม่สมควรนั้น ท่านใด … ท่านนั้น นับแต่ …(ระดับสูง)… จนถึง …(ระดับต่ำและนับแต่ …(ระดับต่ำ)… จนถึง (ระดับสูง)

ศิลปะการใช้โวหาร
การใช้โวหารภาพพจน์ หรือโวหารลักษณ์ เป็นวรรณศิลป์ที่ปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์โดยตลอดทั้งเรื่อง ช่วยให้เกิดความไพเราะ ก่อให้เกิดจินตนาการ และสามารถเข้าใจเรื่องราวได้ชัดเจนและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น โวหารภาพพจน์ที่พบมากในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก มีดังต่อไปนี้

1. การใช้โวหารอุปมา (Simile)
โวหารอุปมาเป็นโวหารความเปรียบ ที่ช่วยให้เกิดภาพที่มีความชัดเจน และเสริมสร้างจินตนาการให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้

– ประสูติพระโอรส มีวรรณะดังทอง.
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 38)

– น้ำโดยรอบมีสีแดงเหมือนโลหิต
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 58)

– พระมหาสัตว์เป็นไปอยู่ในคลื่นซึ่งมีสีดังแก้วมณี เหมือนท่อนต้นกล้วยทอง
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 58)

– นางจึงอุ้มพระมหาสัตว์ขึ้นดุจคนยกกำดอกไม้ ใช้แขนทั้งสองประคองให้นอนแนบทรวงพาเหาะไปในอากาศ เหมือนคนอุ้มลูกรักฉะนั้น
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 96)

– มะม่วงอีกต้นหนึ่งตั้งอยู่งดงาม ดุจภูเขามีพรรณดังแก้วมณี
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 124)

– ทรงดำริว่า : “ ต้นนี้มีวรรณะสดเขียวตั้งอยู่แล้ว เพราะไม่มีผล แต่ต้นนี้ถูกหักโค่นลงเพราะมีผล. แม้ราชสมบัติก็เช่นกับต้นไม้มีผล บรรพชาเช่นกับต้นไม้หาผลมิได้. ภัยย่อมมีแก่ผู้มีความกังวล ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีความกังวล. ก็เราจักไม่เหมือนต้นไม้มีผล จักเหมือนต้นไม้หาผลมิได้ ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 124)

ข้อความที่เป็นเนื้อความหลัก (อุปไมย) และข้อความที่ถูกนำมาเป็นตัวเปรียบเทียบ (อุปมา) มักจะมีความสัมพันธ์และมีลักษณะร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง จากตัวอย่างข้างต้นวิเคราะห์ได้ดังนี้

อุปไมย

– ผิวสีเหลือง 
– น้ำสีแดง  
– สีคลื่น     
– พระมหาสัตว์ 
– ลักษณะการอุ้ม 
– ลักษณะการประคอง 
– ลักษณะตั้งอยู่อย่างสวยงาม 
– ราชสมบัติ  
– การบรรพชา

อุปมา

– เหมือนทอง
– เหมือนโลหิต
– เหมือนแก้วมณี
– เหมือนต้นกล้วยทอง
– ดุจคนยกกำดอกไม้
– เหมือนคนอุ้มลูกรัก
– ดุจภูเขามีพรรณดังแก้วมณี
– เหมือนต้นไม้มีผล
– เหมือนต้นไม้ที่ไร้ผล

2. การใช้โวหารอุปลักษณ์ (Metaphor)
โวหารอุปลักษณ์เป็นสำนวนที่ทำให้ผู้อ่านต้องใช้ความคิดว่าถ้อยคำดังกล่าวนั้น ที่แท้จริงหมายถึงสิ่งใด นับเป็นข้อความที่ช่วยเสริมสร้างจินตนาการให้แก่ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างของโวหารประเภทนี้ที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก เช่น

– “ บางครั้งก็รู้สึกเหมือนเหยียบพื้นทะเลได้คล้ายๆใกล้ถึงฝั่ง ดังเช่นบุคคลที่หกในจำพวกเจ็ดบุคคล (ในอุทกูปมสูตรที่ 5). แต่ที่แท้เป็นปูทะเลยักษ์. ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 136)

– ความสิเนหาของพระอริฏฐชนกราชต่อพระอนุชาทนทานคำอาบพิษอันซากซ้ำไม่ได้
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 4)

– “ ลูกรัก แม่ไม่ได้มามือเปล่า …”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 46)

จากข้อความข้างต้น คำว่า ปูทะเลยักษ์ เป็นอุปลักษณ์ ที่ผู้อ่านต้องอุปมานเอาเองจากข้อความแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เข้าใจได้ว่าหมายถึง พระบุญญาธิการ คำว่า คำอาบพิษ ผู้อ่านย่อมคาดเดาได้ว่าน่าจะต้องหมายถึงคำพูดที่ดูผิวเผินเหมือนจะเป็นคำพูดที่ดีแต่แท้ที่จริงกลับอาบด้วยยาพิษ ไม่ได้มามือเปล่า เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า หมายถึงมีทรัพย์สินเงินทองติดตัวมาด้วย

3. การใช้โวหารบุคลาธิษฐาน (Personification)
โวหารบุคลาธิษฐาน เป็นศิลปะการใช้ภาษาที่ทำให้สิ่งที่เป็นนามธรรมหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ให้ดูประหนึ่งว่าเป็นที่มีบุคลิกภาพเหมือนสิ่งที่มีชีวิต ที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ เช่น

– ผู้ใดรู้แจ้งการงานนี้ว่า แม้ทำความเพียรก็ไม่อาจสำเร็จได้ ไม่ลุล่วงไปได้จริงๆทีเดียวดังนี้ ไม่นำช้างดุร้ายและช้างตกมัน เป็นต้น ออกไปเสีย ชื่อว่าไม่รักษาชีวิตของตน (พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 87)

– ทรงปลอมพระองค์ด้วยภูษาเก่าเศร้าหมอง
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 14)

– เรือแล่นด้วยกำลังคลื่นที่ร้ายกาจ ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 58)

โวหารบุคลาธิษฐานจากตัวอย่างดังกล่าวข้างต้น ใช้คำว่า ช้างดุร้ายและช้างตกมัน เป็นความเปรียบที่นำเอาอารมณ์ความรู้สึกของคนอันได้แก่ โทสะ คือความโกรธ และโมหะ คือความหลงมัวเมา อันเป็นเรื่องนามธรรม มากล่าวเสียใหม่ให้เป็น ช้างดุร้ายและช้างตกมัน เพื่อให้ผู้อ่านมองเห็นความดุร้าย น่ากลัวของคนที่อยู่ภายในอารมณ์ดังกล่าว ภูษาเก่าเศร้าหมอง แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนผู้สวมใส่เสื้อผ้านั้น ในที่นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนำเอาอารมณ์ของคนไปใส่ไว้ให้แก่เสื้อผ้า คำว่า คลื่นที่ร้ายกาจ ก็เป็นการนำเอาอารมณ์ของคนไปให้แก่ธรรมชาติซึ่งมิได้มีชีวิตจิตใจหรืออารมณ์ความรู้สึก เช่นเดียวกัน คนร้ายกาจมีลักษณะและโทษอย่างไร คลื่นร้ายกาจก็มีลักษณะดุจเดียวกันอย่างนั้น

4. การใช้โวหารอธิพจน์ (Hyperbole)
โวหารอธิพจน์ เป็นการพรรณนาที่เห็นได้ชัดว่ากล่าวมากเกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ แต่ทำให้ได้รสชาติของภาษา มิได้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นการกล่าวโกหก ในพระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” มีโวหารอธิพจน์อยู่หลายแห่ง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
– ในอดีตกาลอันพ้นคณนาวิสัยครั้งหนึ่ง Once upon an uncountable time past
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 1)

– ด้วยอานุภาพแห่งพระโอรสของพระองค์ ในกาลที่พระเทวีจะเสด็จขึ้นเกวียน แผ่นดินได้นูนพองขึ้นตั้งจดท้ายเกวียน
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 23)

– บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ชื่อว่า ไม่เป็นหนี้ในระหว่าหมู่ญาติ เทวดา และบิดา มารดา อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง (พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 79)

– พระมหาสัตว์ทรงว่ายข้ามมหาสมุทรอยู่เจ็ดวัน เหมือนว่ายข้ามวันเดียว
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 58)

– เมื่อทีฆาวุราชกุมารทรงเจริญวัย พระราชทานอุปราชาภิเษก แล้วทรงครองราชสมบัติ อยู่เจ็ดพันปี
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 117)

– ไพร่พลของพระอริฏฐชนกถูกทหารของพระโปลชนกตะลุยหั่นแหลก และพระองค์เองต้องเสียพระชนมชีพในที่รบ
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 14)

– ผลนั้นมีรสหวานเหลือเกิน … มะม่วงนั้นพอตั้งอยู่ที่ปลายพระชิวหาของพระมหาสัตว์ปรากฏดุจโอชารสทิพย์
(พระราชนิพนธ์เรื่อง ” พระมหาชนก ” หน้า 121)

รสชาติของภาษาเกิดจากโวหารอธิพจน์ไม่น้อย เช่นคำว่า อดีตกาลพ้นคณนาวิสัยครั้งหนึ่ง ทำให้เกิดความรู้สึกว่านานเหลือเกินจนไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แผ่นดินได้นูนพองขึ้นตั้งจดท้ายเกวียน เป็นลักษณะของอิทธิปาฏิหารย์ แต่แสดงให้เห็นถึงกำลังใจของคนว่าสามารถทำให้งานหนักกลับผ่อนคลายเบาลงได้ เมื่อกระทำความเพียรแม้ตายก็ชื่อว่า ไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติ เทวดา และบิดามารดา แสดงให้เห็นความเพียรพยายามของคนที่ตั้งใจจริง แม้ไม่เห็นประโยชน์ในชาตินี้ ก็ยังคาดหวังว่าจะไม่เป็นหนี้ใครๆ เมื่อตายไปแล้ว ว่ายข้ามมหาสมุทรอยู่เจ็ดวัน เหมือนว่ายข้ามวันเดียว แสดงถึงความเข้มแข็งของพลังใจของคนที่พร้อมด้วยความเพียร ทรงครองราชสมบัติอยู่เจ็ดพันปี แสดงให้เห็นว่าทรงครองราชย์นานมากเท่านั้นมิได้มุ่งหมายว่าจะให้ใครเชื่อตามจำนวนปีที่แท้จริง ตะลุยหั่นแหลก ผู้อ่านย่อมมองเห็นภาพที่แท้จริงได้ว่าเกิดความพ่ายแพ้ย่อยยับเพียงใด คงไม่มีใครนึกถึงความจริงว่าทหารถูกหั่นเป็นชิ้นแหลกละเอียด หวานเหลือเกินดุจโอชารสทิพย์ แสดงถึงความหวานอร่อยวิเศษที่ไม่เหมือนมะม่วงทั่วไป จึงต้องให้แปลกกว่าที่จะเปรียบเทียบกับสิ่งใดๆที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ ดังนั้นคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเปรียบเทียบว่าหวานเหมือนรสทิพย์ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าหวานอย่างไร

5. การใช้โวหารสาธก (Allusion)
โวหารสาธก เป็นศิลปะการใช้เรื่องราว นิทาน หรือ เรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่งมาประกอบจะทำให้สามารถ เข้าใจเหตุการณ์ในท้องเรื่องได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้

– “… นับแต่คราวลงเรือมุ่งสู่สุวรรณภูมินั้น ก่อนคลื่นยักษ์มากระหน่ำนาวา เราได้ยินพาณิชชาวสุวรรณภูมิพูดกัน เป็นภาษาสุวรรณภูมิว่า : “ โน่นปูทะเลยักษ์สู้กับปลาและเต่า. ” และว่าผู้ใดเหยียบปูนั้น จะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ หากมีความเพียรแท้ .”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 136)

การนำเอานิทานที่เคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว มาเล่าเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในท้องเรื่อง เป็นศิลปะการเล่าที่ช่วยสร้างภาพในจินตานาการให้แก่ผู้อ่านได้ไม่น้อย เพราะเป็นการเชื่อมโยงความรู้หรือประสบการณ์เดิมซึ่งมีอยู่แล้ว เข้ากับเรื่องใหม่ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ดังนิทานของชาวสุวรรณภูมิเรื่องปูทะเลยักษ์สู้กับปลาและเต่า ซึ่งนำมาเป็นนิทานเปรียบเทียบถึงความเพียรพยายามของพระมหาชนกที่เมื่อถึงที่สุด ย่อมจะบรรลุผลเพราะมีบุญญาธิการคือผลแห่งความเพียร มาช่วยมิให้จมน้ำเป็นภักษาหารของสัตว์ทะเลเหมือนผู้อื่น

พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” ภาษาอังกฤษ : Mahajanaka
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก (Mahajanaka) ภาคภาษาอังกฤษ ขึ้นก่อนภาคภาษาไทย เมื่อได้เปรียบเทียบพระราชนิพนธ์ทั้งสองภาคโดยตลอดแล้ว อาจกล่าวได้ว่าเนื้อความตรงกันโดยตลอด แม้ลักษณะของการเรียบเรียงสำนวนโวหาร ตลอดจนการเรียบเรียงประโยคก็มีโครงสร้างส่วนใหญ่ตรงกัน ตั้งแต่หน้าแรกกระทั่งหน้าสุดท้าย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

1. ภาษาตอนเปิดเรื่อง
ในอดีตกาลอันพ้นคณนาวิสัยครั้งหนึ่ง พระราชาพระนามว่า มหาชนก ครองราชสมบัติอยู่ใน กรุงมิถิลาแคว้นวิเทหะ . พระเจ้ามหาชนกนั้น มีพระราชโอรสสองพระองค์ พระนามว่าอริฏฐชนก และโปลชนก. พระราชาพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่องค์พี่ และตำแหน่งเสนาบดีแก่องค์น้อง. กาลต่อมาพระมหาชนกราชสวรรคต . พระอริฏฐชนกได้ครองราชสมบัติและทรงตั้งพระโปลชนกเป็นอุปราช
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 1)

Once upon an uncomputable time past, there was a king bearing the name of Mahajanaka who reigned in the city of Mithila in the land of Videha. King Mahajanaka had two sons named respectively Aritthajanaka and Polajanaka. The elder son was invested by the King as Viceroy, and the younger one, Chief Minister. In the course of time, the King passed away to Heaven. Prince Aritthajanaka acceded to the throne and invested his brother as Viceroy.
(The story of Mahajanaka , p.1)

2. ภาษาตอนดำเนินเรื่อง
สำนวนของทั้งสองภาษาได้รสชาติ ชวนให้ติดตามอ่าน โดยเฉพาะการใช้คำและสำนวนภาษาอังกฤษที่ไพเราะแตกต่างไปจากภาษาไทย ดังตัวอย่างที่นำมาเปรียบเทียบในข้อความต่อไปนี้

– ไพร่พลของพระอริฏฐชนกถูกพระโปลชนก ตะลุยหั่นแหลก
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 14)

– In the battle that ensued, Prince Polajanaka’s soldier made mince meat of Aritthajanaka’s and killed him.
(The story of Mahajanaka , p.15)

– สัตว์ที่เกิดในพระครรภ์ของพระเทวีมีบุญมาก
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 20)

– The Being in the royal womb has a great destiny.
(The story of Mahajanaka, p.15)

– ทิศาปาโมกข์ มาณพประมาณห้าร้อยคนแวดล้อม
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 30)

– A master of philosophy’accompanied by aboutt five hundred disciples.
(The story of Mahajanaka, p.30)

– ความที่พระองค์มีพระกำลังมาก และด้วยความที่เป็นผู้เข้มงวดเพราะมานะ โดยที่พระองค์เกิดใน ตระกูลกษัตริย์ที่ไม่เจือปน
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 38-39)

– He was physically quite strong and of a rather strict disposition resulting from a subconscious inborn pride of being of pure royal blood.
(The story of Mahajanaka, p.40)

– ฝั่งมหาสมุทรลึกจนประมาณไม่ได้ ย่อมไม่ปรากฏแก่ท่าน . ความพยายามอย่างลูกผู้ชายของท่านก็เปล่าประโยชน์ ท่านไม่ทันถึงฝั่งก็จักตาย
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 75)

– The coast of the unfathomable ocean is assuredly not visible to you. Your heroic efforts are thus of no avail ; you will be dead before you reach the shores.
(The story of Mahajanaka, p.76)

– “ บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติ เทวดา และบิดา มารดา อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง ” (พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 79)

การใช้สำนวนภาษาที่มีความแตกต่างกันเท่าที่สังเกตเห็นได้มีไม่มากนัก ดังตัวอย่างต่อไปนี้
– “Any individual who practises perseverance, even in the face of death, will not be in any dept to relatiives or gods or father or mother .Furthermore, any individual who does his duty like a man, will enjoy Ultimate Peace in the future.”
(The story of Mahajanaka, p.80)

ภาคภาษาไทย – บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย
ภาคภาษาอังกฤษ – any individual who does his duty like a man

ภาคภาษาไทย – ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง
ภาคภาษาอังกฤษ – will enjoy Ultimate Peace in the future.”

จากตัวอย่างคำว่า ลูกผู้ชาย ซึ่งเป็นค่านิยมแบบไทย ทรงใช้ภาษาอังกฤษว่า like a man ซึ่งเป็นข้อความธรรมดา แต่ในคำว่า ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง ซึ่งเป็นข้อความธรรมดา ทรงใช้คำว่า Ultimate Peace ซึ่งหมายถึง ความสุขอันเป็นที่สุด จะเห็นได้ถึงรสชาติภาษาที่แตกต่างกัน

“ การงานอันใด ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม การงานอันนั้นก็ไร้ผล มีความลำบากเกิดขึ้น . การทำความพยายามในฐานะอันไม่สมควรใด จนความตายปรากฏขึ้น ความพยายามในฐานะอันไม่สมควรนั้นจะมีประโยชน์อะไร ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 82)

– “Any enterprise that is not achieved through perseverance, is fruitlesss ; obstacle will occur .When any enterprise undertaken with such misdirected effort results in Death showing his face, what is the use of such enterprise and misdirect effort ?”
(The story of Mahajanaka, p.82)

ภาคภาษาไทย – การงานอันใด
ภาคภาษาอังกฤษ – Any enterprise

คำว่า งาน เป็นข้อความธรรมดาหมายถึงสิ่งที่ต้องทำทั่วๆไป แต่คำว่า enterprise หมายถึงการลงทุนทำกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีน้ำหนักควรค่าแก่ความเพียรพยายาม ให้ประสบความสำเร็จให้จงได้

“ ดูก่อนเทวดา ผู้ใดรู้แจ้งว่าการงานที่ทำจะไม่ลุล่วงไปได้จริงๆ ชื่อว่าไม่รักษาชีวิตของตน ถ้าผู้นั้นละความเพียรในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะพึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้าน . ดูก่อนเทวดา คนบางพวกในโลกนี้เห็นผลแห่งความประสงค์ของตนจึงประกอบการงานทั้งหลาย การงานเหล่านี้จะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม. ”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” หน้า 86)

“Hark, O Goddess! Anyone who knows for sure that his activities will not meet with success, can be deemed to be doomed; if that one desists from persevrance in that way, he will surely receive the consequence of his indolence.”
(The story of Mahajanaka, p.89)

ภาคภาษาไทย – ดูก่อนเทวดา
ภาคภาษาอังกฤษ – Hark, O Goddess!

คำปฏิสันถาร ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า addressing พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือกใช้คำที่แตกต่างไป จากกันตามวัฒนธรรมของผู้เป็นเจ้าของภาษา

“…. สิ่งที่มิได้คิดไว้ จะมีก็ได้ สิ่งที่คิดไว้ จะพินาศไปก็ได้ โภคะทั้งหลายของหญิงก็ตาม ของชายก็ตาม มิได้สำเร็จด้วยเพียงคิดเท่านั้น …..”
(พระราชนิพนธ์เรื่อง ” พระมหาชนก ” หน้า 113)

“… ….Things that we do not plan may well happen. Things that we do plan may well meet with disaster. Wealth will not come to anybody by just dreaming about it.”
(The story of Mahajanaka, p.115)

ภาคภาษาไทย – โภคะทั้งหลายของหญิงก็ตาม ของชายก็ตาม มิได้สำเร็จด้วยเพียงคิดเท่านั้น
ภาคภาษาอังกฤษ – Wealth will not come to anybody just dreaming about it

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงใช้คำว่า “ โภคะ ” เป็นคำศัพท์ที่เหมาะกับเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะและทรงใช้คำว่า Wealth ช่วยให้เข้าใจคำภาษาไทยได้ง่ายขึ้น

3. ภาษาตอนปิดเรื่อง
นับแต่อุปราชจนถึงคนรักษาช้างคนรักษาม้า และนับตั้งแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอมาตย์ ล้วนจาริกในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการทั้งความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา : พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน. พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง. ” พราหมณ์มหาศาลเห็นพ้องกับพระราชดำริ และกล่าวว่า : “ พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ข้าพระองค์ยังมีศิษย์ที่ดีไว้ใจได้ และจะประดิษฐาน “ ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ” ได้แน่นอน มิถิลายังไม่สิ้นคนดี !” (พระราชนิพนธ์เรื่อง ” พระมหาชนก ” หน้า 140)

From the Viceroy down to the elephant mahouts and the horse handlers, and up from the horse handlers to the Viceroy, and especailly the courtiers are all ignorant. They lack not only technical knowledge but also common knowledg, i.e.common sense : they do not even know what is good for them. They like mangoes, but they destroy the good mango tree” The Brahmin supported the idea; he said : “Wise King, you do not have to worry ; I still have some good dependable disciples and the Pudalay Mahavijalaya will be established. Mithila is not yet at a loss for good people!”
(The story of Mahajanaka , p.141)

จากข้อความตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าสำนวนภาษาและเนื้อหาสาระของพระราชนิพนธ์ทั้งสองภาษา ตลอดจนโครงสร้างของการเรียบเรียงคำและประโยค ส่วนใหญ่มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด และมีรสชาติความไพเราะที่แตกต่างกันไป (ชำนาญ รอดเหตุภัย, 2545 : 206-222)

ในเรื่องพระมหาชนกนี้ทรงเน้นให้เห็นคุณค่า ของความเพียรที่บริสุทธิ์ซึ่งถือเป็นคุณธรรม ที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต นอกจากนี้ผู้อ่านจะได้เห็น แผนที่ฝีพระหัตถ์และรูปเขียนโดยศิลปินผู้ทรงคุณวุฒิ (และเหรียญพระมหาชนกที่ทำพิธีชัยมังคลาภิเษกแล้ว) ศิลปินเหล่านั้น เป็นจิตรกรไทยร่วมสมัย 8 คน คณะทำงานได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อรับพระราชทานแนวพระราชดำริที่จะจัดทำหนังสือ “ พระมหาชนก ” ให้งดงาม มีศิลปะและมีภาพเขียนประกอบที่มีคุณค่า ทรงเป็นแม่กองควบคุมงานเขียนภาพของจิตรกรอย่างใกล้ชิด

ทรงวิจารณ์และทรงแนะนำแก้ไขอย่างที่ทรงรู้เข้าใจในศิลปะอย่างแท้จริง ทำให้งานเขียนในหนังสือ “ พระมหาชนก ” เป็นหนังสือภาพที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นหนังสือที่รวบรวมศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ 9 ไว้ได้ในส่วนหนึ่ง นับเป็นการเสด็จพระราชดำเนินคืนสู่งานจิตรกรรมที่ทรงรักอีกครั้งหนึ่ง หนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” จึง มีความสมบูรณ์ทางด้านภาษา ด้านวิจิตรศิลป์ และด้านศาสนา จริยธรรม ซึ่งทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช นอกจากจะ ทรงมีพระอัจฉริยภาพทั้งทางด้านอักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ สังคมศาสตร์แล้ว ยังมีอีกศาสตร์หนึ่งซึ่งทรงปราดเปรื่องสมกับ ที่ ทรงสืบสายพระโลหิต จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นคือ ทรงมีพระอัจฉริยภาพทางด้านสถิติศาสตร์ และด้านโหราศาสตร์ ดังที่พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์ (8 เมษายน พ.ศ.2541) ได้กล่าวไว้ดังนี้

ศิลปิน 8 ท่าน (เรียงจากซ้ายไปขวา)
จินตนา เปี่ยมศิริ, เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, ประหยัด พงษ์คำ, พิชัย นิรันต์
ธีระวัฒน์ คะนะมะ, ปรีชาเถาทอง, ปัญญา วิจินธนสาร, เนติกร ชินโย

1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว – ความน่าจะเป็นไปได้ (Theory of Probability)
“ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541 เวลา 18.40 น . หลังจากที่พระองค์ท่านได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นักเรียนทุนหลวงฯ แล้วได้รับสั่งเรื่องราวอื่นๆ อยู่อีกนานพอสมควร ผมจึงได้หยิบยกนำคำร่ำลือเรื่อง “ ปี พ.ศ.2543 โลกจะแตกจริงหรือไม่? ” ขึ้นมา กราบบังคมทูลฯ ถาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งตอบเรื่องนี้โดยทันที มีสาระสำคัญว่า ตามทฤษฎีของความน่าจะเป็นไปได้ (Probability Theory) แล้ว เหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว อาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต แต่คงจะไม่ใช่ภายในเวลาอันสั้น จะต้องใช้เวลานานเป็นกัปป์เป็นกัลป์

เช่น กรุงพาราณสีที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อาจจะมาเกิดขึ้นอีกครั้งในอนาคต ตัวอย่างหนึ่งที่อาจยืนยันเรื่องนี้ได้ ก็คือ การอับปางของเรือพระที่นั่งของพระมหาชนกยังได้มาปรากฏ ให้เห็นเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2537 ครั้งนั้น เรือประมงไทยได้ประสบกับพายุไซโคลนจนอับปางในมหาสมุทรอินเดีย ใกล้บังคลาเทศ ทั้งวัน (วันข้างขึ้นข้างแรม) และสถานที่เกิดเหตุก็คล้ายคลึงกัน ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงเขียนรูปดวงชะตาแสดงจุดที่ตั้งของดาวเคราะห์ต่าง ๆ ของวันที่เกิดเหตุนั้นไว้เหนือภาพประกอบในหนังสือพระราชนิพนธ์ “ พระมหาชนก ” แล้ว

นอกจากนี้ เมื่อเรือพระที่นั่งอับปาง พระมหาชนกต้องทรงว่ายน้ำด้วยความเพียรเป็นอย่างสูงเพื่อถึงฝั่งให้ได้อยู่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน จนกระทั่งนางมณีเมขลามาพบ และทดลองทดสอบความเพียรของพระมหาชนกจนเป็นที่ประจักษ์ จึงได้ช่วยเหลือนำไปส่งที่กรุงมิถิลา สำหรับกรณีหลัง ลูกเรือต้องว่ายน้ำอยู่หลายวันเช่นเดียวกันกว่าจะได้รับความเชื่อเหลือ และที่น่าประหลาดอย่างยิ่งคือ เรือของบังคลาเทศ ซึ่งกำลังจะมุ่งหน้าออกมาช่วยลูกเรือเหล่านี้ยังมีชื่อว่า “ เมขลา ” อีกด้วย

หากจะคิดคำนวณระยะเวลาย้อนหลังจากวันที่เรือประมงไทยอับปาง ไปจนถึงวันที่เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกอับปางแล้วคงจะเป็นเวลานาน เป็นหมื่นๆ ปีเป็นอย่างน้อย เพราะเรื่องราวของพระมหาชนกเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชาติภพหนึ่งในสิบชาติของการเป็นพระโพธิสัตว์ (ทศชาติ) ก่อนที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ปฏิสนธิมาเป็นเจ้าชายสิทธิทัตถะแล้วตรัสรู้ในที่สุด หากดาวพระเคราะห์ต่างๆ มีบทบาทมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ สัตว์ พืช สภาพดินฟ้าอากาศ  และธรรมชาติของโลกเราตามหลักวิชาโหราศาสตร์จริง ในวันที่เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกอับปางนั้น น่าจะมีดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่งดวงใดไม่น้อยกว่า 2 ดวง ได้โคจรมาสถิตอยู่ที่จุดเดียวกันกับดาวพระเคราะห์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเขียนบรรจุไว้ในดวงชะตา วันเกิดเหตุที่ปรากฎอยู่ในภาพประกอบของหนังสือพระราชนิพนธ์ “ พระมหาชนก ” ทั้งในเชิงมุมเป็นองศา ลิปดา และมุมการเบี่ยงเบน (Declination) เช่น ดาวเสาร์สถิตราศีกุมภ์ ซึ่งเป็นราศีธาตุลม และหรือดาวพฤหัสบดีสถิตราศีตุลย์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม แล้วทำมุมเบี่ยงเป็นทุกข์โทษ เช่น 90 องศาแก่กันกับดาวอาทิตย์และดาวจันทร์ เป็นต้น

อาจจะมีนักวิทยาศาสตร์บางท่านแย้งว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้น่าจะเป็นเหตุการณ์ประจวบเหมาะ (Coincident) มากกว่า ผมจึงขอยกตัวอย่างซึ่งผมได้ค้นพบด้วยตนเองมาเล่าสู่กันฟังอีกสักเรื่องหนึ่ง ดังนี้

เมื่อ 17 ปีที่แล้ว ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2524 ได้มีเหตุการณ์สำคัญซึ่งได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยเป็นบทเรียนทางการเมือง แก่อนุชนรุ่นหลังไว้อีกวันหนึ่ง วันนี้มีชื่อเรียกติดปากกันในหมู่คนไทยที่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นว่า “ วันกบฏ เมษาฮาวาย ”

เหตุการณ์ “ วันกบฏ เมษาฮาวาย ” นี้ได้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 02.00 น . ของวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2524 เมื่อคณะทหารบกกลุ่มหนึ่งนำโดย พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา รองผู้บัญชาการทหารบก ได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลในขณะนั้นซึ่งมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี คณะปฏิวัติได้ตั้งกองบัญชาการอยู่ที่หอประชุมกองทัพบกแล้วส่งกำลังทหาร เข้ายึดควบคุมสถานที่สำคัญในกรุงเทพมหานครหลายแห่ง รวมทั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยกับได้ทะยอย ออกประกาศแถลงการณ์ และคำสั่งคณะปฏิวัติผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ เป็นระยะๆ

โดยมีสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเป็นแม่ข่าย โดยที่คณะปฏิวัติได้ทำการยึดสถานีวิทยุกระจายเสียง และโทรทัศน์ที่ตั้งในเขตกรุงเทพมหานครไว้ทั้งหมด จึงอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบเพราะประชาชนทั่วไปสามารถรับฟังข่าวจากคณะปฏิวัติได้เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น จึงทำให้หลงเชื่อว่าการปฏิวัติครั้งนี้ได้ประสบความสำเร็จลงแล้วอย่างแน่นอน ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จฯ แปรพระราชฐานไป ป ระทับยังกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 จังหวัดนครราชสีมา ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ผมเองในขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข เมื่อได้ทราบเหตุ จึงได้ตัดสินใจเสี่ยงต่อตำแหน่งหน้าที่เดินทางไปเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จังหวัดนครราชสีมา และได้รับมอบหมายจากพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ให้ดำเนินการทางเทคนิคถ่ายทอดเสียงของสถานีวิทยุกระจายเสียงของกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นสถานีแม่ข่ายของฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้น มาออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงทั้งระบบเอฟเอ็มและเอเอ็มของกรมไปรษณีย์โทรเลข (สถานีวิทยุกระจายเสียง 1 ปณ.) จำนวนหลายสถานีในกรุงเทพมหานครได้อย่างชัดเจนแจ่มใสไม่แพ้สถานีวิทยุกระจายเสียงของฝ่ายปฏิวัติ สงครามทางจิตวิทยาระหว่างสถานีวิทยุกระจายเสียงของทั้งสองฝ่ายจึงเกิดขึ้น และในที่สุด สถานีวิทยุกระจายเสียงต่างๆ ที่ได้ร่วมกันถ่ายทอดเสียงข่าวของฝ่ายปฏิวัติอยู่แต่เดิม จึงเริ่มเข้าใจสถานการณ์ได้กระจ่างชัดขึ้นตามลำดับ และเริ่มทะยอยเปลี่ยนใจมาเข้ากับฝ่ายรัฐบาล ทำการถ่ายทอดเสียงจากสถานีวิทยุกระจายเสียง 1 ปณ. แทน ทั้งกองกำลังทหารฝ่ายปฏิวัติและประชาชนจึงได้หูตาสว่างขึ้น

ดังนั้นเมื่อกองกำลังทหารของฝ่ายรัฐบาลได้เคลื่อนย้ายกำลังจากจังหวัดนครราชสีมา ทางอากาศมาถึงกรุงเทพมหานครในเช้าตรู่วันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2524 จึงสามารถเข้ายึดกรุงเทพมหานครคืนได้โดยไม่มีการปะทะถึงขั้นนองเลือดล้มตาย เป็นอันว่า การปฏิวัติของพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา กับคณะได้ประสบความล้มเหลวพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง

เป็นที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ข้างต้น ปรากฏอยู่ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชาติไทย ตอนปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชด้วยเช่นกัน ดังนี้

“… พระยาสรรค์ได้นำกองทัพพวกกบถ ลงมาที่เมืองธนบุรีในวันแรม 11 ค่ำ เดือน 4 เป็นปลายปี พ.ศ.2324 แล้วเข้าห้อมล้อมกำแพงวังไว้ … ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 พระยาสุริยอภัยก็นำกองทัพไทยลาว 1,000 ยกลงมา จากนครราชสีมา …” (“ การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ”. นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์. ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ)

เหตุการณ์ครั้งนี้ สรุปได้ว่า พระยาสรรค์ ซึ่งเป็นหัวหน้ากบฎกับพวกได้ถูกกองทัพของพระยาสุริยอภัย ที่ยกมาจาก นครราชสีมา ปราบอย่างราบคาบ ขอให้ท่านผู้อ่านสังเกตดูตารางเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ กบถเมษาฮาวาย เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2524 ต่อท้ายบทความนี้ประกอบ จากตารางนี้จะเห็นได้ว่า เหตุการณ์ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นห่างกัน 200 ปีพอดี

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โลกที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งล้วนแต่เป็นการยืนยันทฤษฎีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้รับสั่งแก่ผมดังกล่าวแล้วข้างต้น จะแตกต่างกันเฉพาะตัวแปร (Variables) ที่นำมาคิดคำนวณซึ่งคงจะมิใช่ระยะเวลาการโคจรของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ดังเช่น กรณีข่าวลือโลกจะแตกที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น แต่ผมยังไม่มีโอกาสจะนำมาเล่าสู่กันฟังได้ในโอกาสนี้ จึงไม่ทราบว่า ท่านนักวิทยาศาสตร์จะยังมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องในทำนองลักษณะ Coincident นี้อีกหรือไม่เพียงใด ?

พระราชกระแสที่ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณชี้แจงแก่ผมนั้น แสดงให้เห็นว่า พระปรีชาสามารถ ความเป็นพหูสูตร พระราชอัจฉริยภาพใน วิชาการสถิติศาสตร์ ไม่แพ้สาขาวิชาการอื่ น ๆ ที่พวกเราไม่เคยได้ยินได้ฟังกันมาแต่ก่อน ”
(สุชาติ เผือกส กนธ์ , พลตำรวจตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับทฤษฎีความน่าจะเป็น. 2541 [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://www.dabos.or.th//ro8.html)

2. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับวิชาโหราศาสตร์ 
พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ ได้กล่าวไว้ว่า
“ ในหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง “ พระมหาชนก ” ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์จำหน่ายและได้พบว่าในภาพประกอบการเดินทางทางทะเลของพระมหาชนกนับตั้งแต่วันออกเดินทาง วันที่เรือพระที่นั่งถูกพายุในทะเลจนอับปาง จนถึงวันที่นางมณีเมขลามาช่วย มีรูปดวงชะตาแสดงที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในวันเกิดเหตุไว้ทุกภาพ (หน้า 54-57 ฉบับปกอ่อน)

ผมในฐานะนักศึกษาวิชาโหราศาสตร์คนหนึ่งจึงอดไม่ได้ที่จะพิจารณาดูดวงชะตาเหล่านี้ โดยเฉพาะในวันที่เกิดพายุรุนแรงขึ้นจนเป็นเหตุให้เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกอับปางนั้น ดาวพระเคราะห์ต่างๆ สถิตอยู่ในราศีใดบ้าง เพื่อประกอบการศึกษาค้นคว้าวิชาการนี้ในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับอิทธิพลของดาวพระเคราะห์กับอุบัติภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เรียกว่า Mundane Astrology ในดวงชะตาที่อ้างถึงได้แสดงที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ไว้ ดังนี้

1. ดาวอาทิตย์สถิตในราศีเมษ
2. ดาวจันทร์สถิตในราศีมังกร
3. ดาวอังคารสถิตในราศีมีน
4. ดาวพุธสถิตในราศีเมษ
5. ดาวพฤหัสบดีสถิตในราศีตุลย์
6. ดาวศุกร์สถิตในราศีพฤษภ

7. ดาวเสาร์สถิตในราศีกุมภ์
8. ดาวราหูสถิตในราศีพิจิก
9. ดาวเกตุสถิตในราศีเมษ
10. ดาวมฤตยูสถิตในราศีมังกร
11. ดาวเนปจูนสถิตในราศีธนู
12. ดาวพลูโตสถิตในราศีพิจิก

ในบทพระราชนิพนธ์ได้ทรงระบุวันเดือนที่เกิดเหตุไว้ประกอบดวงชะตาว่า เป็นวันที่ 2 พฤษภาคม ส่วนปีและเวลาที่เกิดเหตุมิได้ทรงระบุไว้เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนพุทธกาล ส่วนวันที่นางมณีเมขลามาช่วยนั้นเป็นวันที่ 9 พฤษภาคม หลังจากวันที่พระมหาชนกได้ทรงพระวิริยะว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรมาแล้วเป็นเวลา 7 วัน

ท่าน B.V. Raman โหราจารย์อินเดียที่มีชื่อเสียงมากท่านหนึ่งได้กล่าวถึงอิทธิพลของดวงดาว ที่มีต่อสภาพดินฟ้าอากาศไว้หลายประการ ซึ่งผมขอประมวลมาเพียงบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับวาตะภัย ดังนี้

“_____South-west winds do result when Jupiter is in Aquarius_______. North-west monsoon winds are ruled by Saturn and South-west by Jupiter. When they are in airy signs the direction of the wind is easily ascertained._____. The air is essentially ruled by the planet which is applying to the Moon after its conjunction, opposition or square with the Sun.____.” (PLANETARY INFLUENCES ON HUMAN AFFAIRS by B.V. Raman)

เมื่อแปลเป็นไทยจะได้สาระสำคัญสรุปได้ว่า ดาวพระเคราะห์ที่มีอิทธิพลแก่ลมพายุทั้งความรุนแรง และทิศทาง ได้แก่ ดาว เสาร์ จะส่งผลต่อลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือ และดาวพฤหัสบดีจะส่งผลต่อลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทั้งนี้จะส่งผลได้เด่นชัดมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อดาวพระเคราะห์ทั้งสองสถิตในราศีเมถุน ราศีตุลย์ และราศีกุมภ์ ซึ่งล้วนแต่เป็นราศีธาตุลม และทำมุมสัมพันธ์เป็นกับดาวจันทร์ ดาวอาทิตย์คือ 0 องศา (ทับกัน) 180 องศา (เล็งกัน) หรือ 90 องศา

เมื่อพิจารณาตามดวงชะตาในวันเกิดเหตุวาตะภัยที่ปรากฏ อยู่ในพระราชนิพนธ์ฯ พายุที่เกิดมีลักษณะเป็นพายุโซนร้อน (Tropical cyclone) เกิดขึ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม จนเป็นเหตุให้เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกต้องอับปางแล้ว จะเห็นได้ว่า
1. “ ดาวเสาร์สถิตราศีกุมภ์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม ดาวพฤหัสบดีสถิตราศีตุลย์ซึ่งเป็นราศี ธาตุลมเช่นกัน นอกจากนี้ดาวพฤหัสบดียังทำมุมเล็งกับดาวอาทิตย์ที่สถิตอยู่ในราศีเมษ และทำมุม 90 องศา กับดาวจันทร์ซึ่งสถิตในราศีมังกร ตรงกับที่ท่านโหราจารย์ B.V. Raman ได้กล่าวไว้

อนึ่งเมื่อพิจารณาตรงจุดที่เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกอับปางนั้นอยู่ในบริเวณลองติจูด 90 องศาเศษ ซึ่งอยู่ในอาณาเขตต่อเนื่องระหว่างประเทศบังคลาเทศกับประเทศพม่า และตามตำรา Mundane Astrology ได้กำหนดให้ลัคนาของดวงเมืองประเทศพม่าไว้ในราศีตุลย์ พายุรุนแรงที่เกิดขึ้นในวันนั้นจึงเกิดจากอิทธิพลของดาวพฤหัสบดีที่ทำมุมเล็งกับดาวอาทิตย์ และทำมุม 90 องศากับดาวจันทร์

เท่านั้นดูจะยังไม่เพียงพอหากไม่ได้พิจารณาถึงจุดที่ตั้งของดาวมฤตยู ซึ่งทางโหราศาสตร์ถือว่าเป็นเจ้าการ ของอุบัติเหตุด้วยดาวมฤตยูในวันที่เกิดเหตุนี้ปรากฏว่า สถิตอยู่ในราศีมังกรราศีเดียวกับดาวจันทร์ จึงทำมุม 90 องศากับดาวพฤหัสบดี ช่วยส่งอิทธิพลในทางทุกข์โทษให้แก่ดาวพฤหัสบดีอีกส่วนหนึ่ง อุบัติภัยดันเกิดจากลมพายุหรือวาตะภัยจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2. ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ “ จุดที่ตั้งของดาวพลูโตซึ่งระบุไว้ในดวงชะตาวันเกิดเหตุนั้น ได้สถิตอยู่ร่วมกับราหูซึ่งเป็นจุดตัดของวงโคจรของดาวอาทิตย์ดับดาวจันทร์ทางเหนือ ในราศีพิจิกซึ่งเป็นราศีธาตุน้ำ ดาวพลูโตมีความหมายในตัวว่า “ เรืออับปาง ” ดังนั้นเมื่อสถิตรวมกับราหูซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในวงการโหรว่า หากเข้ามาประชิดในเชิงมุมกับดาวอาทิตย์และดาวจันทร์ในวันข้างขึ้นหรือข้างแรม 15 ค่ำแล้ว จะเกิดเป็นคราสหรือเงาดำที่มีอิทธิพลส่งผลเป็นทุกข์โทษแก่เจ้าชะตาได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงอาจจะเป็นไปได้เหมือนกันว่า ก่อนหรือหลังวันที่เกิดเหตุไม่นาน ได้เกิดคราสขึ้นและเงาดำที่เกิดจากคราสหรือราหูได้ครอบคลุมมาถึงอาณาบริเวณ ที่ใกล้เคียงกับจุดที่ตั้งของดาวพลูโต จึงส่งผลให้เกิดการอับปางของเรือขึ้น ”

“ . ..ผมเองไม่มีโอกาสทราบเลยว่า พระองค์ท่านได้ทรงศึกษาวิชาการนี้มาจากที่ใดมากน้อยเพียงใด แต่เมื่อผมสังเกตพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอดแล้ว ผมเข้าใจเอาเองว่า

1) ทรงมีพระปรีชาสามารถทาง โหราศาสตร์ อีกแขนงหนึ่ง เพราะจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ที่พระองค์ท่านได้แสดงไว้ในดวงชะตาของวันที่มีเหตุการณ์เกี่ยวกับการเดินทาง ของพระมหาชนกที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพระราชนิพนธ์ “ พระมหาชนก ” นั้นมีที่มาจากรากฐานความเป็นไปได้ซึ่งสามารถพิสูจน์ยืนยันด้วยหลักวิชาโหราศาสตร์ดวงดาวได้

2) ทรงมีความรู้วิชาโหราศาสตร์ไม่น้อย เมื่อวิเคราะห์ดวงชะตาต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของพระมหาชนกดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้ผมมีความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า นอกเหนือพระปรีชาสามารถในวิชาการรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เกษตรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การสื่อสารโทรคมนาคม การจัดการจราจร การชลประทาน การอุตุนิยมวิทยา การดนตรี การกีฬา ฯลฯ แล้ว พระองค์ท่านยังทรงมีพระปรีชาสามารถในวิชาการโหราศาสตร์อีกแขนงหนึ่งด้วย ซึ่งสามารถพิสูจน์ยืนยันด้วยหลักวิชาโหราศาสตร์ดวงดาวได้อย่างจริงๆ และเป็นสิ่งที่พสกนิกรคนไทยควรภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพระองค์ท่านจะทรงมีพระปรีชาสามารถในวิชาการโหราศาสตร์มากน้อยเพียงใด ผมก็เชื่อว่าพระองค์ท่านจะใช้วิชาการแขนงนี้เป็นเพียงส่วนประกอบพระราชวิจารณญาณ ในพระราชกรณียกิจบางเรื่องบางประเด็น เช่นเดียวกับบุรพพระมหากษัตราธิราชเท่านั้น เนื่องจากพระองค์ท่านได้ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสเข้าพระทัยในแก่นแท้ของพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งแท้จริง และทรงถือปฏิบัติตามเคร่งครัดอยู่แล้วตลอดเวลา ” (สุชาติ เผือกสกนธ์, พลตำรวจตรี ม.ป.ป. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://www.dabos.or.th/datail.html)

2.4.5  พระราชนิพนธ์เรื่อง “ ทองแดง 

ทองแดงเป็นพระราชนิพนธ์เล่มล่าสุด ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ โดยทรงมีพระราชดำริว่า ทองแดงเป็นสุนัขธรรมดาที่ไม่ธรรมดา มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันนับว่ากว้างขวาง มีผู้เขียนทองแดงก็หลายเรื่อง แต่น่าเสียดายว่าเรื่องที่เล่ามักมีความคลาดเคลื่อนจากความจริง และขาดข้อมูลสำคัญบางประการโดยเฉพาะเกี่ยวกับความกตัญญู รู้คุณของทองแดงที่มีต่อ “ แม่มะลิ ” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องว่า “ ผิดกับผู้อื่นที่เมื่อกลายมาเป็นคนสำคัญแล้ว มักจะลืมตัวและดูหมิ่นผู้มีพระคุณที่เป็นคนต่ำต้อย 

ดังนั้นในบทพระราชนิพนธ์จะทรงเล่าประวัติความเป็นมา ของทองแดงหนึ่งในสุนัขที่ทรงโปรด ตั้งแต่ที่เกิดของทองแดงที่ซอยศูนย์การแพทย์พัฒนา ทรงเล่าเกี่ยวกับ “ คุณนายทองแดง ” แม่ของทองแดง การเข้ามาสู่วังสวนจิตรลดาของทองแดง ลักษณะของทองแดง ความฉลาด ความจงรักภักดี และความกตัญญูรู้คุณของ “ ทองแดง ” การสอนลูกๆ การมีมารยาทดี ความสามารถพิเศษของทองแดง และเรื่องทองแดงกับทองหลางที่ค่อนข้างจะเป็นคู่แข่งกัน รวมทั้งหมายเหตุเกี่ยวกับ “ คุณนายแดง ” และ “ คุณนายด่าง ”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “ ทองแดง ” ในแง่ของปรัชญา จิตวิทยา ภาษาศาสตร์ และลักษณะนิพนธ์ในแง่ขบขัน (Comedy) ซึ่งให้แง่คิดแก่ผู้อ่าน รวมทั้งจะได้เข้าใจว่าสุนัขนี้มีความรู้สึกนึกคิด ทั้งแง่บวกและแง่ลบ เช่น รู้จักอิจฉากัน แข่งขันกัน มีความโกรธ ฯลฯ อีกทั้งทรงชี้ให้เห็นว่า สุนัขไทยแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสุนัขจรจัดก็มีคุณสมบัติที่น่าปรารถนาสำหรับเป็นสุนัขเลี้ยงในบ้าน ทรงมีพระราชดำริว่าประเทศไทยมีหลายแสนตัวที่จะเลือกได้ ความจริงมีล้น เหลือ แต่ถ้าหากเจ้าหน้าที่ทางราชการจะช่วย ก็จะมีผู้ที่ยินดีในการเปิดบ้านต้อนรับสุนัขเหล่านี้ จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาสุนัขเร่ร่อนซึ่งเป็นอันตราย นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาสัตว์เลี้ยงหรูหราราคาแพง ซึ่งทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ทั้งหันมาพัฒนาสายพันธุ์สุนัขไทยที่ฉลาด น่ารัก และซื่อสัตย์ที่มีอยู่มากมาย

หนังสือเล่มนี้มีลักษณะเหมือนหนังสือพระราชนิพนธ์พระมหาชนกตรงที่มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยในเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ภาษาอังกฤษจะอยู่ด้านซ้าย ส่วนภาษาไทยจะอยู่ด้านขวา ใต้รูปภาพทุกรูปจะเป็นคำบรรยายทั้งสองภาษา มีภาษาไทยอยู่ด้านบน ซึ่งการมีสองภาษานี้เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ และสำหรับคนไทยที่จะอ่านภาษาไทย และอ่านภาษาอังกฤษด้วยเพื่อเป็นการเรียนภาษาอังกฤษไปในตัว

ลักษณะงานพระราชนิพนธ์
1) ทรงใช้ภาษาที่เขียนกระชับสั้นง่าย ไม่เยิ่นเย้อ 
เช่นเดียวกับหนังสือพระราชนิพนธ์เล่มอื่นๆ รวมทั้ง “ ติโต ”
2) ทรงถ่ายทอดพระอารมณ์ขัน เช่น

– “ … มีอยู่ 4 ตัว ซึ่งมีชื่อเรียกกันตามสี และลักษณะของสุนัขคือ
‘ ตัวดำใหญ่ ‘ (สุนัขเจ้าถิ่นจอมเจ้าชู้ ซึ่งต่อมานำไปทำหมัน)
‘ ดำเล็ก ‘ (หายไปเพราะถูกดำใหญ่รังแก) …” (หน้า 15)

– “ … ดำใหญ่ต้องไปทำหมัน เพราะบังอาจลอบไปจีบสาวโกลเด้นรีทรีเวอร์ในหมู่บ้านไปได้ 2 ตัว ทำให้มีลูกสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีเวอร์ออกมาเป็นสีดำทั้งหมด 15 ตัว (9+6) กลายเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ “ ตระกูลดำใหญ่ ” ยังความหงุดหงิดให้แก่เจ้าของบ้านเป็นยิ่งนัก… ” (หน้า 15)

– “… ดังนั้น “ แดง ” และลูกๆ ทั้งหมดจึงเปลี่ยนสภาพจากหมาเทศ (เทศบาล) มาเป็น “ หมาบ้าน ” เต็มตัว … ” (หน้า 23)

– “… ทองแดงมีขนาดตัวใหญ่กว่าบาเซนจิ จึงทรงเรียกว่า “ ไทยซุปเปอร์บาเซนจิ ” … ” (หน้า 32)

– “… พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งกับคณะผู้มาเข้าเฝ้าฯ นานเกินไปหน่อย เลยเวลาที่จะเสด็จขึ้น ทองแดงที่ยืนเฝ้าห่างออกมาจะเดินเข้าไปเฝ้าฯ แล้วเลียพระหัตถ์หลายครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็ทรงทราบ จึงรับสั่งกับผู้ที่เฝ้าอยู่ว่า “ ทองแดงมาตามกลับแล้ว ” …” (หน้า 41)

– “… เมื่อทรงทาแป้งให้ทั่วแล้ว ทองแดงลุกขึ้น เดินสองสามก้าวก็เกาอีก พระบาทสมเด็จพระอยู่หัว จึงรับสั่งว่า “ ทองแดงทาแป้งแล้ว ไม่คันแล้ว ” ทองแดงก็เชื่อและหยุดเกาจริงๆ … ” (หน้า 42)

– “… พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะรับสั่งว่า “ ทองแดงมาจัดการหน่อย ” ทองแดงจะตรงเข้างับขาลูก ลากตัวออกไป แล้วส่งเสียงขู่แล้วงับปากเป็นเชิงปรามจนลูกร้องเอ๋ง ยอมแพ้ จะทำเช่นนี้กับลูกทุกตัวที่แตกแถว …” (หน้า 63)

– “… เมื่อจะแสดงความจงรักภักดี ทองแดงจะเลียพระหัตถ์อย่างหนักหน่วง และเนิ่นนานแบบที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่า “ เลียอย่างเป็นกิจการ ” คือเอาจริงเอาจัง … ” (หน้า 69)

3) ได้พระราชทานคำสอน ที่แม้แต่คนธรรมดาทั่วๆ ไปก็สามารถ นำมาใช้สอนตนให้เป็นคนดีได้ตามแบบอย่างของวัฒนธรรมไทย อาทิ

– “… บางทีแม่มะลิสอนให้ทองแดงไปคาบกิ่งไม้ (เมื่ออายุ 3 เดือน) ต่อมาเมื่อแยกกันอยู่ เมื่อมาพบกัน ทองแดงก็ยังแสดงความเคารพ “ แม่มะลิ ” ผิดกับคนอื่นที่เมื่อกลายเป็นคนสำคัญแล้วมักจะลืมตัว และดูหมิ่นผู้มีพระคุณที่เป็นคนต่ำต้อย … ” – ทรงสอนด้านความกตัญญู (หน้า 57)

– “… การที่ทองแดงเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทำให้ทองแดงพยองหรือเบ่ง ตรงกันข้ามทองแดงกลับมีสัมมาคารวะ ไม่คุกคามผู้ใด… ” – ทรงสอนด้านมารยาทดี (หน้า 71)

4)  พระราชทานความรู้ เกี่ยวกับจิตวิทยาการเลี้ยงสุนัข ทรงเข้าพระทัยจิตวิทยาของบาเซนจิว่าควรจะดูแลอย่างไร ได้ทรงเขียนพระราชทานไว้ในหนังสือหน้า 22, 27, และ 29 และเกี่ยวกับความรู้ด้านสุนัขบาเซนจิ นับว่าทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบาเซนจิมากที่สุดในประเทศไทย ดังปรากฏที่หน้า 24, 25 ทั้งภาคภาษาไทยและภาคภาษาอังกฤษ

5) การอ่านภาษาอังกฤษควบคู่กับภาษาไทย จะได้อรรถรสมาก เช่น

– “… แสดงว่าทองแดงมีส่วนผสมสุนัขหลายพันธุ์เช่นเดียวกับ “ สุนัขพันธุ์ทาง ” ทั้งหลาย …” (หน้า 32)

“…It means that Tongdaeng is a mixture of many breeds of dogs, a truly “ thousand ways mixed mid-road dog ” …”

อีกทั้งจะได้เรียนรู้ประโยคและคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ตรงตามความหมายอย่างแท้จริง ซึ่งจะหาได้ยากมากแม้แต่จากพจนานุกรมทั่วๆ ไป อาทิ

หนังสือเล่มนี้พิมพ์ปกแข็งมี 84 หน้า พร้อมรูปภาพสอดสีงดงามทุกๆ หน้าเป็นหนังสือเล่มที่คนไทยเกือบจะทุกบ้านมีไว้เพื่ออ่าน และเก็บไว้เป็นสิริมงคล เพราะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่หน้าปก และภายในเล่มหลายพระบรมรูป เรื่องทองแดงได้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2545 จำนวน 100,000 เล่ม และได้ตีพิมพ์อีกหลายครั้งๆ ละ 100,000 เล่ม โดยมีผู้สั่งซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศ นับเป็นหนังสือที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในโลกก็ว่าได้ (เทียบจากยอดขายต่อวัน) เพราะว่าบางวันมีผู้มาหาซื้อไม่น้อยกว่าหมื่นเล่ม

3. พระอัจฉริยภาพด้านกีฬา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระ ราชหฤทัย และทรงโปรดกีฬาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ซึ่งต้องใช้ทั้งพละกำลัง เทคนิคไหวพริบ ความละเอียดอ่อนประยุกต์กับความรู้ ความสามารถรอบตัวเข้าช่วย ทรงโปรดกีฬาสกี เรือใบ เรือกรรเชียง พระแสงปืน แบดมินตัน รถเล็ก กอล์ฟเล็ก รวมทั้งวิ่งจ๊อกกิ้ง เดินเร็ว และทรงจักรยาน

ซึ่งทุกครั้งพระองค์ทรงปฏิบัติอย่างถูกต้อง ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์การกีฬา ทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการจดบันทึกพระชีพจร ความดันพระโลหิตทั้งก่อน และหลังทรงออกกำลังพระวรกาย ทรงศึกษาตลอดเวลาว่าจะเริ่มต้นอย่างไร มีการอบอุ่นพระวรกายอย่างไร และผ่อนคลายความตึงเครียด ของกล้ามเนื้อหลัง การออกกำลังพระวรกายอย่างไร จึงกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นแบบฉบับ ของนักกีฬาที่ดีอย่างแท้จริง

ใน การทรงกีฬาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไม่ทรงโปรดซื้ออุปกรณ์ราคาแพง โดยเฉพาะกีฬาเรือใบ ซึ่ งทรงสนพระทัยเป็นพิเศษ พระองค์ทรงต่อเรือด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง ทรงประดิษฐ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน และถูกต้องตามหลักสากล โดยทรงศึกษาแบบแปลนข้อบังคับของเรือแต่ละประเภทจากตำราต่างๆ ทั่วโลก เรือที่พระองค์ทรงต่อขึ้นจึงเป็นเรือที่สมบูรณ์แบบ เรือลำแรกที่ทรงต่อด้วยฝีพระหัตถ์คือ เรือเอนเตอร์ไพรส์ ลำที่สองเป็นเรือเอนเตอร์ไพรส์ที่เล่นได้ 2 คน ทรงตั้งชื่อว่า “ ราชปะแตน ” ลำที่สามเป็นเรือ โอ.เค. ทรงตั้งชื่อว่า “ เวคา ” ซึ่งพระองค์ทรงโปรดเรือลำนี้มาก

ทรงนำเรือ “ ราชปะแตนท์ ” ออกจากพระตำหนัก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระประมุขของประเทศไทย พระองค์แรกที่ได้เสด็จเข้าร่วมแข่งขันกีฬาสากลระดับชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงร่วมการแข่งขันกีฬา ทั้งพระแสงปืน แบดมินตัน และเรือใบ โดยทรงโปรดเรือใบมากกว่ากีฬาชนิดอื่น และในโอกาสที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม พ.ศ.2510 พระองค์ทรงสมัครเข้ารับคัดเลือกเป็นนักกีฬาเรือใบ

และด้วยพระปรีชาสามารถจึงทรงได้รับเลือกเป็นนักกีฬาทีมชาติ ทรงได้รับเบี้ยเลี้ยง และเข้าค่ายฝึกซ้อมตามโปรแกรมเช่นนักกีฬาอื่นๆ และในการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ ทรงแข่งขันเรือใบ ซึ่งการแข่งขันนี้จัดขึ้นที่อ่าวพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เรือใบที่สองพระองค์ทรงใช้ในการแข่งขันสำเร็จด้วยฝีพระหัตถ์ ณ โรงต่อเรือในพระราชวังจิตรลดารโหฐาน ตามปกติแล้วเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงว่างจากพระราชกิจ จะทรงคิดสร้างแบบเรือใบขนาดเล็กขึ้น ได้ พระราชทาน ชื่อ เรือใบนี้ว่า “ ซุปเปอร์มด ” อันเป็นเรือที่เหมาะสำหรับผู้เข้าแข่งขันที่ร่างเล็ก เรือมีน้ำหนักน้อย และทุ่นแรงขนส่ง

ทรงเรือ Super Mod

พล ร . ท . อุดม สุทัศน์ ณ อยุธยา และคณะ เขียนในวารสารของทหารเรือ ฉบับ 1 มีนาคม 2510 ได้อธิบายดังนี้

“ เรือ Mod ความยาวทั้งหมด 11 ฟุต กว้าง 4-5 ฟุต กินน้ำลึก 4-6 นิ้ว มีเนื้อที่ใบ 72-82 ตารางฟุต ใช้ Daggerboard คือ Centerboard ที่เลื่อนขึ้นลงในแนวดิ่ง ทำด้วยไม้หรือโลหะ ขนาดอาจเปลี่ยนแปลงได้ ”

ด้วยพระปรีชาสามารถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ฯ ทรงชนะที่ 1 และในพิธีปิดการแข่งขัน ณ สนามศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งชาติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญชนะเลิศแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชทานเหรียญแก่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ฯ ท่ามกลางความปลื้มปีติของปวงชนชาวไทย และเป็นที่ประจักษ์แก่ชนทั่วโลกในพระปรีชาสามารถ

คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 16 ธันวาคมของทุกปี เป็น วันกีฬาแห่งชาติ และให้การกีฬาแห่งประเทศเป็นศูนย์กลางประสานงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จัดงาน “ วันกีฬาแห่งชาติ ” พร้อมกันทั่วประเทศเป็นประจำทุกปี เพื่อเฉลิมฉลองและน้อมรำลึกถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์และ ดำเนิน ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริอยู่เสมอว่า “ นักกีฬาที่ดีจะต้องอดทน มีวินัย มีแผนการต่าง ๆ และต้องปรับปรุงตัวเองให้สม่ำเสมอ ”

พระมหากรุณาธิคุณต่อการกีฬา
การกีฬาแต่ละประเภทจะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากผู้สนใจและนักกีฬาเป็นที่ตั้งและสืบเนื่องกันตลอดมา ตามที่ปฏิบัติกันทั่วไปคือการคือการตั้งสโมสรหรือสมาคมกีฬาแต่ละประเภทขึ้นควบคุมส่งเสริมกันเอง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงตั้งสโมสรส่วนพระองค์ขึ้นคือ สโมสรจิตรลดายอร์ชสควอดรอน (Royal Chilada Squadron หรือ RCYS) และยังมีสโมสรอื่นๆ อีกที่อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระองค์ เช่น สโมสรราชวรุณ (Royal Waruna Club) ที่อ่าวพัทยา Boat Club ของโรงเรียนนายเรือ สโมสรกองเรือยุทธการ สโมสรนาวิกโยธิน สโมสรสถานีทหารเรือสัตหีบ สโมสรกรมอู่ทหารเรือ เป็นต้น สโมสรต่างๆ ดังกล่าวมีเรือใบประเภทต่างๆ ที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาอยู่หลายประเภท ซึ่งทำให้กีฬาเรือใบได้ก้าวหน้าและพัฒนายิ่งขึ้น และสามารถผลิตนักกีฬาที่สามารถเพื่อการแข่งขัน มิใช่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น ยังสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้อีกด้วย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสละเวลาเพื่อทรงศึกษา และทรงทดลองปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางการกีฬาของชาติด้วยพระองค์เอง เพื่อให้พสกนิกรได้ดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท อีกทั้งยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ รับคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย กับสมาคมกีฬาสมัครเล่น รวม 11 สมาคมกีฬา ไว้ใน พระบรมราชูปถัมภ์ อัน ประกอบด้วย

สมาคมกรีฑาสมัครเล่นแห่งประเทศไทย
สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย
สมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย
สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย
สมาคมยูโดแห่งประเทศไทย
ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย
สมาคมรักบี้ฟุตบอลแห่งประเทศไทย
สมาคมกีฬายิงปืนแห่งประเทศไทย
สมาคมกีฬาไทย
สมาคมแข่งเรือใบแห่งประเทศไทย
สมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเห็นว่ากีฬาเป็นบ่อเกิดแห่งความสามัคคีของคนในชาติ และจะช่วยสร้างความแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งกายใจให้กับพสกนิกร จึงทรงส่งเสริมสนับสนุนการกีฬาของชาติด้วยประการต่างๆ อาทิ

ในการเสด็จฯ ทรงเยี่ยมราษฎรจังหวัดภาคใต้ เมื่อ พ.ศ.2502 ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรการแข่งเรือประเพณี ในงานชักพระของชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี

พ.ศ.2508 เสด็จฯ ทอดพระเนตรการแข่งขันชกมวย เพื่อเก็บเงินรายได้โดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ที่สนามมวยเวทีราชดำเนิน

พ.ศ.2510 เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปทรงเป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 ณ กรีฑาสถานแห่งชาติ และเสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีปิดด้วย

พ.ศ.2513 เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานในการแข่งขันแบดมินตันประเพณีระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมแข่งขัน

ทรงประกอบพิธีจุดไฟพระฤกษ์การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 9-12 ธันวาคม พ.ศ.2513 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต แล้วพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานสหพันธ์สมาคมเอเชี่ยนเกมส์ นำคณะกรรมการและนักกีฬาไทยจำนวน 252 คน เข้าเฝ้ารับพระราชทานพระบรมราโชวาท ณ ศาลาผกาภิรมย์ พระราชวังดุสิต และวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2513 เสด็จฯ ไปเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาฯ

พ.ศ.2514 พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานคณะกรรมการโอลิมปิก แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์นำคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จำนวน 324 คน ซึ่งจะเดินทางไปร่วมการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 6 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สหพันธ์มาเลเซียเข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมลาและรับพระราชทานพระบรมราโชวาท เป็นต้น

พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นที่ประจักษ์แซ่ซ้องไปทั่วโลก ในการประชุมใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล ครั้งที่ 92 ที่เมืองอีสตันบูล ประเทศตุรกี ซึ่งมี นายฮวน อันโตนิโอ ซามารานซ์ เป็นประธาน มีสมาชิกเข้าร่วมประชุม 87 ประเทศ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญดุษฎีกิตติมศักดิ์ของโอลิมปิกสากลคือ อิสริยาภรณ์โอลิมปิกชั้นสูงสุด เหรียญทอง แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2530 ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดา – รโหฐาน นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญดังกล่าว

ต่อมาในการประชุมสภามหาวิทยาลัยมหิดล ครั้งที่ 195 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2534 ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2534

จากพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระประมุขและนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ ที่พสกนิกรปวงชนชาวไทยทั้งประเทศภาคภูมิใจ และน้อมรำลึกเสมอว่าพระองค์คือ มิ่งขวัญและดวงใจของวงการกีฬาไทย (ตัดตอน จาก ศันสนีย์ จันทวงษ์ “ พระมหากษัตริย์นักกีฬา ” หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 5 ธันวาคม พ.ศ.2542 หน้า 17)