พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

บทที่ 15 พระอัจฉริยภาพด้านการเป็นครู

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นครูของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งอาจกล่าวอ้างได้ถึงพระราชกรณียกิจ และพระราชจริยวัตรของพระองค์ที่สนับสนุนความเป็นครู ของพระองค์ท่าน ประมวลประเด็นที่สำคัญ 3 ประการคือ

1. คุณลักษณะของความเป็นครู : พระองค์ทรงเป็นแบบอย่าง เป็นผู้ให้ ทรงเมตตา

2. วิถีการสั่งสอน : พระองค์ทรงเป็นครูที่เป็นเลิศทางด้านการสอน ที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทรงสอนเนื้อหาสาระ มีวิธีการสอน รวมทั้งมีการประเมินผลและการติดตามผล เพื่อตรวจสอบความเข้าใจและความถูกต้องของการปฏิบัติ ตลอดจนสอนซ่อมเสริมโดยขยายความ และยกตัวอย่างเพิ่ม

3. ความเป็นปราชญ์ : ทรงศึกษา ค้นคว้า ทดลอง เพื่อวิจัยองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งทำให้กล่าวได้ว่า พระองค์ทรงเป็นปราชญ์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักปกครอง นักกวี และนักดนตรีที่เป็นเลิศโดยแท้จริง

(จากหนังสือการปฏิรูปอุดมศึกษาไทย สู่การสนองแนวพระราชดำริ “ รายงานการประชุมทางวิชาการประจำปี 2543 ของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ,” 2543 : 25)

รศ.ดร.สุเชษฐ์ สมิตินันทน์ ผู้อำนวยการสถาบันวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เขียนบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร ประมวลงานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ทบวงมหาวิทยาลัย ครั้งที่ 2 : 1-3 ธันวาคม พ.ศ.2542 (2542 : 9-14) หัวข้อ “ พระเจ้าอยู่หัวทรงสอนอะไร ?” หากวิเคราะห์จากพระราชจริยวัตรและพระบรมราโชวาทต่างๆ แล้ว จะเห็นได้ว่าทรงเป็นครูสอนให้ความรู้ ทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งเมื่อนำความรู้เหล่านั้นมาผสมผสานกันแล้ว ย่อมเกิดเป็นคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง และประชาชนทุกหมู่เหล่า ทั้งนี้แสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเล็งเห็นปัญหาอันส่งผลกระทบต่อสังคมไทย 2 ประการคือ

1. วิกฤตการณ์ตัวของปัญหาเอง อันได้แก่ มูลเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความยากจน ปัญหาสิ่งแวดล้อม คุณธรรม และจริยธรรม
2. สาเหตุคุณภาพของคน อันเป็นผลให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจที่ถดถอย การเมืองที่ไม่มั่นคง การบริหาร และการจัดองค์การต่างๆ รวมถึงการศึกษาที่ไม่เสมอภาค และการขาดคุณภาพของการศึกษา ซึ่งเป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้บุคคลไม่เกิดการเรียนรู้ได้เท่าทันโลก เป็นต้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริโดยรวมดังนี้คือ ทางด้านสภาพปัญหาของสังคมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทางด้านคุณภาพของคนนั้นจะสามารถแก้ปัญหาได้โดยการให้การศึกษา โดยการเพิ่มพัฒนาจากพัฒนาตนเอง (Intrinsic type of development) หรือ “ ระเบิดออกไปจากภายใน ” อันเป็นพื้นฐานความคิดที่เริ่มจากเข้าใจตนเอง เรียนรู้ตนเอง อันนำไปสู่การมีความรู้เกี่ยวกับตนเอง (Self-knowledge) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถือว่าเป็นความรู้ที่สำคัญที่สุด

และความรู้ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการควบคุมตนเอง (Self control) การพึ่งพาตนเอง (Self reliance) การปรับสมดุลย์ให้กับตัวเอง (Self adjustment) จะนำไปสู่ความ “ พออยู่พอกิน ” (Self sufficiency) ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง (Self-confidence) และเป็นการปูพื้นฐานไปสู่ “ การกินดีอยู่ดี ” ต่อไปในอนาคต ( รองศาสตราจารย์ธำรงค์ อุดมไพจิตรกุล และคณะ . 2542 : 67)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสอนให้เห็นความกระจ่างควรค่าของ การใฝ่รู้ เป็นอย่างยิ่ง ดังในพระราชดำรัสตอนหนึ่งที่พระราชทานไว้ดังนี้

“ การพัฒนาส่งเสริมกิจการงานใดๆ ให้เจริญก้าวหน้าไปจนบรรลุถึงเป้าหมายที่ประสงค์นั้น จำเป็นต้องเริ่มต้นจากพื้นงานของกิจการนั้นก่อนคือ เริ่มต้นด้วยการพิจารณาสำรวจสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันให้ทราบแน่ชัดถึงพื้นฐานโครงสร้างของงาน จะทำให้ประมาณกำลังแนวทางได้ แล้วก็วางขั้นตอนปฏิบัติให้เป็นไปตามลำดับที่สำคัญนั้น เมื่อกำหนดแนวทางได้แล้ว ก็วางขั้นตอนปฏิบัติให้เป็นไปตามลำดับที่สำคัญ ต่อจากนั้นก็ลงมือปฏิบัติให้จริง ด้วยหนักแน่นต่อเนื่อง เป็นกระบวนการโดยสมควรและพอเหมาะแก่เหตุแก่สภาวะแวดล้อม ก็จะเป็นปัจจัยประกอบกัน ให้งานทุกอย่างก้าวหน้าไปจนบรรลุเป้าหมายโดยสมบูรณ์ทุกประการ ”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่สอนให้ประชาชนตระหนักถึงตนเอง โดยที่พระองค์ได้พระราชทานแนวคิดและ การสาธิต ในการใช้ชีวิตที่ตั้งมั่นอยู่บนรากฐานแห่งความเป็นคนไทย ให้รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีและจะต้องตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท ดังพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทหาร ตำรวจและประชาชนทุกหมู่เหล่าในโอกาสเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2540 ที่จะขออัญเชิญพระราชกระแสในความตอนหนึ่งมีสาระอันน่าประทับใจยิ่ง ความว่า

“ การเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่ พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินหมายความว่า อุ้มชูตัวเองให้ได้พอเพียงกับตัวเอง … อย่างนี้นักเศรษฐกิจต่างๆ ก็มาบอกว่า ล้าสมัย จริงอาจจะล้าสมัยเพราะว่าคนอื่นต้องการเศรษฐกิจที่ต้องการมีแลกเปลี่ยน เรียกว่า เศรษฐกิจการค้า ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง รู้สึกไม่หรูหรา แต่เมืองไทยเป็นประเทศที่มีบุญอยู่ว่าการผลิตที่พอเพียงทำได้ อย่างข้าวที่ปลูก เคยสนับสนุนให้ปลูกข้าวให้พอเพียงกับตัวเองเก็บเอาไว้ในยุ้งเล็กๆ แต่ละครอบครัวเก็บและมีถ้ามีพอก็ขาย แต่คนอื่นกลับบอกว่าไม่สมควร โดยเฉพาะภาคอีสาน เขาบอกว่าต้องปลูกข้าวหอมมะลิเพื่อที่จะขาย อันนี้ถูกต้อง ข้าวหอมมะลิขายได้ดี แต่เมื่อขายแล้วพอตัวเองจะบริโภคต้องซื้อ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของเศรษฐกิจแบบค้าขาย ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า Trade economy ไม่ใช่แบบพอเพียง ซึ่งฝรั่งเรียก Self sufficient economy ถ้าเราทำแบบที่ไหนทำได้คือ เศรษฐกิจแบบพอเพียงกับตัวเอง เราก็อยู่ได้ไม่ต้องเดือดร้อน ”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงปลูกฝังแนวพระราชดำริให้ประชาชนรับ ไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ วงจรการพัฒนาดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติ กล่าวคือ ทรงสร้างความตระหนักแก่ประชาชนให้รับรู้ (Awareness) ในทุกคราเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนในทุกภูมิภาคต่างๆ จะทรงมีพระราชปฏิสันถารให้ประชาชนได้รับทราบถึงสิ่งที่ควรรู้ เช่น การปลูกหญ้าแฝกจะช่วยป้องกันดินพังทลาย และใช้ปุ๋ยธรรมชาติจะช่วยประหยัดและบำรุงดิน การแก้ไขดินเปรี้ยวในภาคใต้สามารถกระทำได้ การตัดไม้ทำลายป่าจะทำให้ฝนแล้ง เป็นต้น ตัวอย่างพระราชดำรัสที่เกี่ยวกับการสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนได้แก่

“ ประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะสมมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาไว้ ไม่ทำให้ประเทศไทยเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทราย ก็ป้องกัน ทำได้ ”

ทรงสร้าง ความสนใจ แก่ประชาชน (Interest) หลายท่านคงได้ยินหรือรับฟังโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่มีนามเรียกขานแปลกหู ชวนฉงนน่าสนใจติดตามอยู่เสมอ เช่น โครงการแก้มลิง โครงการแกล้งดิน โครงการเส้นทางเกลือ โครงการน้ำดีไล่น้ำเสีย หรือโครงการน้ำสามรส ฯลฯ เหล่านี้ เป็นต้น ล้วนเชิญชวนให้ติดตามอย่างใกล้ชิดแต่พระองค์ก็จะมีพระราโชบายแต่ละโครงการอย่างละเอียด เป็นที่เข้าใจง่ายรวดเร็วแก่ประชานชนทั้งประเทศ

ในประการต่อมา ทรงให้เวลาใน การประเมินค่า หรือประเมินผล (Evaluate) ด้วยการศึกษาหาข้อมูล ต่างๆ ว่าโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร สามารถนำไปปฏิบัติได้ในส่วน ของตนเองหรือไม่ ซึ่งยังคงยึดแนวทางที่ให้ประชาชน เลือกการพัฒนาด้วยตนเองที่ว่า

“ ขอให้ถือว่าการงานที่จะทำนั้นต้องการเวลา เป็นงานที่มีผู้ดำเนินการก่อนแล้ว ท่านผู้ที่จะเข้าไปเสริมกำลัง จึงต้องมีความอดทนที่จะเข้าไปร่วมมือกับผู้อื่น ต้องปรองดองกับเขาให้ได้แม้เห็นว่ามีจุดหนึ่งจุดใดต้องแก้ไขปรับปรุงก็ ต้องค่อยพยายามแก้ไข ไปตามที่ถูกที่ควร ”
ใน ขั้นทดลอง (Trial) เพื่อทดสอบว่างานในพระราชดำริที่ทรงแนะนำนั้นจะได้ผลหรือไม่ซึ่งในบางกรณีหากมีการทดลอง ไม่แน่ชัดก็ทรงมักจะมิให้เผยแพร่แก่ประชาชน หากมีผลการทดลองจนแน่พระราชหฤทัยแล้วจึงจะออกไปสู่สาธารณชนได้ เช่น ทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำนั้น ได้มีการค้นคว้าหาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ทั่วประเทศว่าดียิ่ง จึงนำออกเผยแพร่แก่ประชาชน เป็นต้น

ขั้นยอมรับ (Adoption) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น เมื่อผ่านกระบวนการมาหลายขั้นตอน บ่มเวลาการทดลองมาเป็นเวลานาน ตลอดจนทรงเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริและสถานที่อื่นๆ เป็นแหล่งสาธิตที่ประชาชนสามารถเข้าไปศึกษาดูได้ถึงตัวอย่างแห่งความสำเร็จ ดังนั้นแนวพระราชดำริของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ราษฎรสามารถพิสูจน์ได้ว่าจะได้รับผลดีต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของตนอย่างไร

“ การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยเสริมความเจริญ และฐานะเศรษฐกิจที่สูงขึ้นโดยลำพังต่อไป ”

การพัฒนาจำเป็นต้องมีความพร้อมด้านต่างๆ เช่น วิธีการที่มีหลักวิชา มีความตั้งใจดี มีความรู้เกี่ยวกับตนเอง และทำบนพื้นฐานความพอมีพอกิน แล้วพัฒนาให้สูงขึ้นโดยลำดับ

ต่อมาในระหว่าง พ.ศ.2499 นี้ สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ พระสังฆราชเจ้า วัดบวรนิเวศวิหาร (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์ ฉายา สุจิตโต ป.7) ผู้ที่ทรงนิยมนับถือ โดยวิสาสะอันสนิท และทรงถือว่ามีคุณูปการส่วนพระองค์มามากนั้นได้ประชวรลง พระอาการเป็นที่วิตกกันทั่วไป จนแทบไม่มีหวัง แต่เดชะบุญได้หายประชวรมา ได้อย่างน่าอัศจรรย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระราชดำริว่า ถ้าได้ทรงพระผนวชโดยที่สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นพระอุปัชฌาย์แล้ว จะเป็นที่สมพระราชประสงค์ในอันที่จะได้ทรงแสดงพระราชคารวะ และศรัทธาในพระองค์ท่านเป็นอย่างดี

อีกทั้งพระคุณธรรมเปี่ยมด้วยความกตัญญูกตเวที ทรงมีพระราชประสงค์จะสนองพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระบรมชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี อีกส่วนหนึ่งด้วย จึงได้ตกลงพระราชหฤทัยที่จะทรงผนวช (ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ) เพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลสนองพระเดชพระคุณ ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2499 เป็นเวลา 15 วัน ทรงได้รับฉายาว่า “ ภูมิพโลภิกขุ ” และประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ ในระหว่างที่ทรงพระผนวชอยู่นั้น พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญพระราชวัตรดุจพระนวกะทั่วไป ทรงศึกษาพระธรรม และทรงปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด

1. ความเพียร (พระราชทานในงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ทรงครองราชย์ครบ 50 ปี ณ ท้องสนามหลวง วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2539)

“ ความเพียรที่ถูกต้องและเป็นธรรมและพึงประสงค์นั้นคือ ความเพียรที่จะกำจัดความเสื่อมให้หมดไปและระวังป้องกันมิให้เกิดขึ้นใหม่อย่างหนึ่ง กับความเพียรที่จะสร้างสรรค์ความดี ความเจริญให้เกิดขึ้นและระวังรักษามิให้เสื่อมสิ้นไปอย่างหนึ่ง ความเพียรทั้งสองประการนี้เป็นอุปการะอย่างสำคัญแก่การปฏิบัติตนและปฏิบัติงาน ถ้าทุกคนในชาติจะได้ตั้งตน ตั้งใจอยู่ในความเพียรดังกล่าว ประโยชน์และความสุขก็จะบังเกิดขึ้นพร้อมทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม ”

2. ส่งเสริมคนดี (พระราชทานในงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ณ ค่ายวชิราวุธ ชลบุรี วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2512)

“ ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ ”

3. รู้รักสามัคคี (พระราชทานในวโรกาสเสด็จออกมหาสมาคมในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2534)

“ คนไทยเราที่รักษาเอกราชอธิปไตยไว้ได้ก็โดยอาศัยการที่รู้รักสามัคคี และรู้จักหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ให้ประสานส่งเสริมกัน …
รู้คือ ทราบ ทราบความหมายของสามัคคี
รักคือ นิยม นิยมความสามัคคี ”

ในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2530 ทรงพระราชทานเรื่องความสามัคคีเพื่อเชิญไปอ่านในงานประชุมใหญ่ ของสามัคคีสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ดังนี้

“ สามัคคีในความเข้าใจโดยทั่วไป มักจะหมายถึงความยึดเหนี่ยวกันไว้ให้เป็นปึกแผ่นแน่นหนา ถ้าเป็นเพียงเท่านั้น ก็ดูจะไม่มีคุณค่า เพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ความสามัคคีควรจะมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้นอีกด้วย เช่นควรจะหมายถึงความพร้อมเพรียงของทุกฝ่ายทุกคน ที่มีความสำนึกแน่ชัดในความรับผิดชอบที่จะใช้ความรู้ความคิด ความสามารถตลอดจนคุณสมบัติทุกๆ ประการของตนให้ประกอบพร้อมเข้าด้วยกัน และให้เกื้อกูลส่งเสริมกัน เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นสาระแก่นสารและที่เป็นประโยชน์ เป็นความเจริญต่อส่วนรวมและเพื่อนมนุษย์ ”

4. รักษาความเป็นไทย (พระราชทานวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2537)

“ ความเป็นไทยนั้นเป็นสมบัติอย่างหนึ่งที่มีค่าประดับโลกอยู่ ไม่ควรที่จะละเลยทำลายเสีย เพราะจะทำให้สูญเสีย สมบัติมีค่านั้นไป คนที่จะรักษาความเป็นไทยได้มั่นคงที่สุด ดีและเหมาะที่สุดไม่มีใครอื่นนอกจากคนไทย คนไทยมีหน้าที่ต้องรักษาความเป็นไทยเสมอ ทั้งทางวัตถุ ทางจริยธรรมและภูมิปัญญา ”

5. ใช้ปัญญา (พระราชทานวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2541)

“ คำว่าปรึกษากับเถียงต่างกัน คำว่าเถียงใช้แต่อารมณ์ คำว่าปรึกษาใช้ปัญญา ถ้าสามารถใช้ปัญญาปรึกษากันก็จะได้คำตอบ เพราะความจริงอันมีอันเดียว ความเท็จมีหลายหรือทางที่ผิดมีมากมาย แต่ความจริงทางที่ส่วนมากมีทางเดียวที่จะสามารถนำมาสู่ความสำเร็จได

6. ไม่ประมาท (พระราชทาน วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2528)

“ วิถีชีวิตมนุษย์นั้นจะมีให้แต่ความปกติสุขอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมีทุกข์มีภัย มีอุปสรรคผ่านเข้ามาด้วยเสมอ ยากที่จะหลีกเลี่ยงพ้น ข้อสำคัญอยู่ที่ทุกๆ คนจะต้องเตรียมการ เตรียมใจและตรียมให้พร้อมทุกเวลา เมื่อเผชิญและแก้ไขความไม่ปกติเดือดร้อนทั้งนั้นด้วยความไม่ประมาทด้วยเหตุผล ด้วยหลักวิชา และด้วยความสามัคคีธรรม จึงจะผ่อนหนักให้เป็นเบา และกลับร้ายให้กลายเป็นดีได้ ”

7. มีคุณธรรม (พระราชทานแก่สามัคคีสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการเปิดประชุมประจำปี วันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2525)

“ คุณธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจนั้นประการหนึ่งได้แก่ การให้คือให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือกัน ให้อภัยไม่ถือโทษกัน ให้คำแนะนำตักเตือนที่ดีต่อกัน ประการที่สองได้แก่ การมีวาจาดีคือ พูดแต่คำสัจคำจริงต่อกัน พูดให้กำลังใจกัน พูดแนะนำประโยชน์ให้แก่กัน คือประพฤติปฏิบัติตนให้เกิดประโยชน์เกื้อกูล ทั้งแก่กันและแก่หมู่คณะโดยส่วนรวม ประการที่สี่ได้แก่ การวางตนได้สม่ำเสมออย่างเหมาะสม คือ ไม่ทำตัวให้ดีเด่นเกินกว่าผู้อื่นและไม่ด้อย ต่ำทราม ไปจากหมู่คณะ หมู่คณะใดมีคุณธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวไว้ดังกล่าว หมู่คณะนั้นย่อมจะมีความมั่นคง ”

การรักษาอิสรภาพและความเป็นไทยให้ดำรงมั่นคงยืนยาวไป ถือเป็นกรณียกิจอันสำคัญสูงสุด นอกจากต้องอาศัยการบริหารประเทศที่ฉลาด สามารถ และสุจริตเป็นธรรมแล้ว ยังต้องอาศัยความร่วมมือสนับสนุนจากประชาชนทั้งประเทศด้วยคือ ประชาชนแต่ละคนจะต้องขนขวายสร้างสรรค์ประโยชน์ และดำรงอยู่ในคุณธรรมอันสมควรแก่ฐานะของตน คุณธรรมที่ทุกคนควรจะศึกษาและน้อมนำมาปฏิบัติมีอยู่ 4 ประการ คือ

ประการที่แรก คือ การรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตนเองที่ประพฤติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
ประการที่สอง คือ การรู้จักข่มใจตนเอง ฝึกใจตนเอง ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ความสัจความดีนั้น
ประการที่สาม คือ การอดทน อดกลั้นและอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใด
ประการที่สี่ คือ การรู้จักละวางความชั่ว มีความสุจริตและรู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง

คุณธรรม 4 ประการนี้ ถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝัง และบำรุงให้เจริญงอกงามขึ้นโดยทั่วกันแล้ว จะช่วยให้ ประเทศชาติบังเกิดความสุข ความร่มเย็น และมีโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนา ให้มั่นคงก้าวหน้าต่อไปดังประสงค์

“… การจะทำงานให้สัมฤทธิ์ผลตามความปรารถนา คือ ที่ประโยชน์และเป็นธรรมด้วยนั้น จะอาศัยความรู้เพียงอย่างเดียวไม่ได้ จำเป็นต้องอาศัยความสุจริต ความบริสุทธิ์ใจ และความถูกต้องเป็นธรรมประกอบด้วย เพราะเหตุว่าความรู้นั้นเป็นเหมือนเครื่องยนต์ที่ทำให้ยวดยานขับเคลื่อนไปได้ประการเดียว ส่วนคุณธรรมดังกล่าวแล้วเป็นเหมือนหนึ่งพวงมาลัยหรือหางเสือ ซึ่งปัจจัยที่นำพาให้ยวดยานดำเนินไปถูกทางด้วยความสวัสดี คือ ปลอดภัยจนบรรลุถึงจุดหมายที่พึงประสงค์ ดังนั้น การที่จะประกอบการงานเพื่อตน เพื่อส่วนรวมต่อไป ขอให้ทุกคนสำนึกไว้เป็นนิตย์ โดยตระหนักว่า งานสังคมและบ้านเมืองนั้น ถ้าขาดผู้มีความรู้เป็นผู้บริหารดำเนินการ ย่อมเจริญก้าวหน้าไปได้โดยยาก แต่ถ้างานใดสังคมใดและบ้านเมืองใดก็ตาม ขาดบุคคลผู้มีคุณธรรมความสุจริตแล้ว จะดำรงอยู่มิได้เลย …”
(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัย รามคำแหง วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2520)

8. อดออมและประหยัด ( พระราชทานในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจาก สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2521)

“ การประหยัดเป็นสิ่งที่พึงประสงค์อย่างยิ่งในที่ทุกแห่ง และในการทุกเมื่อ ”
“ ความฟุ้งเฟ้อทำให้เกิดความไม่พอ คนเราฟุ้งเฟ้อก็ไม่มีทางที่จะหาทรัพย์มาป้อนความฟุ้งเฟ้อได้ ความฟุ้งเฟ้อเป็นปากที่หิวไม่หยุด เป็นปากที่อ้าอยู่ตลอดเวลา ป้อนเท่าไหร่ไม่พอ หาเท่าไหร่ไม่พอ ฉะนั้น จะต้องหา ทางป้องกันความฟุ้งเฟ้อ และป้องกันวิธีการที่จะนำมาป้อนความฟุ้งเฟ้อ ซึ่งก็คือการทุจริต ”

และพระราชทาน ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2540 ดังนี้
“ ซึ่งเชื่อว่าประเทศไทยนี้ จะสามารถพ้นวิกฤตการณ์ได้ดีกว่าหลายประเทศ เพราะว่าที่ดินภูมิประเทศยังให้ หมายความว่ายังเหมาะสมกับความเป็นอยู่ได้ แต่ความเป็นอยู่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ ต้องประหยัด และต้องไปในทางที่ถูกต้อง ”

9. ซื่อสัตย์สุจริต (พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2528)

“ การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถสองอย่างเป็นสำคัญคือ สามารถในการใช้ชีวิตความรู้อย่างสามารถ ประสานสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองประการนี้ต้องดำเนินการคู่กันไปและจำเป็นต้องทำด้วยความสุจริตกาย สุจริตใจด้วยความคิดเห็นที่เป็นอิสระปราศจากอคติ และด้วยความถูกต้องตามเหตุผลด้วยจึงจะช่วยให้งานบรรลุจุดหมาย และประโยชน์ที่พึงประสงค์โดยครบถ้วนแท้จริง ”
และพระราชทานแก่บัณฑิตในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2499 ดังนี้
“ การที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนั้น นอกจากความรู้ความสามารถแล้วยังต้องเป็นผู้ประกอบด้วย ความซื่อสัตย์ และการตั้งตนไว้ในทางที่ชอบที่ควรสมเกียรติด้วย ”

10. พึ่งตนเอง (จากบทพระราชนิพนธ์ เรื่อง พระมหาชนก หน้า 25)

“ คนบางคนบนโลกนี้เห็นผลแห่งความประสงค์ของตน จึงประกอบการงานทั้งหลายการงานเหล่านั้นจะสำเร็จ หรือไม่ก็ตาม … ท่านก็เห็นผลประจักษ์แก่ตนแล้วมิใช่หรือ คนอื่นๆ จมในมหาสมุทรหมด เราคนเดียวยังว่ายข้ามอยู่ และได้เห็นท่าน … เราจักพยายามตั้งสติกำลัง จักทำความเพียรที่บุรุษควรทำ ไปให้ถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร ”

จากข้อความในบทพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก พระราชนิพนธ์โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ตอนนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ผลของการที่คนเราต้องพึ่งพาตนเองโดยการใช้ความเพียรพยายาม ย่อมจะทำให้มนุษย์อยู่รอดปลอดภัยได้ แม้สภาวะแวดล้อมรอบตัวเราจะมีภยันตรายมากมายก็ตาม แต่ถ้าตัวเรามีความอดทน มานะพยายาม อย่างสุดความสามารถ ไม่ท้อถอย สักวันหนึ่งความสำเร็จก็จะยังรอคอยอยู่ข้างหน้า เป็นการสู้ชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะ ความเป็นมนุษยชาติอย่างสมบูรณ์ด้วย นอกจากคุณธรรม 10 ประการข้างต้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราโชวาทในด้านอื่นๆ ด้วย อาทิ

พระบรมราโชวาทเกี่ยวกับศีลธรรมและจิตใจ
“ ในบ้านเมืองเราทุกวันนี้ มีเสียงกล่าวกันว่า ความคิดจิตใจของคนเปลี่ยนแปลงในทางเสื่อม ความประพฤติที่เป็นความทุจริตหลายอย่าง มีท่าทีที่จะกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปพากันยอมรับและสมยอมให้กระทำกันได้ เป็นธรรมดาสภาพการณ์เช่นนี้ย่อมให้วิถีชีวิตของแต่ละคนมืดมัวลงไป เป็นปัญหาใหญ่ที่เหมือนกระแสคลื่นอันไหลบ่าเข้ามาท่วมทั่วไปหมด จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการช่วยกันฝ่าคลื่นที่กล่าวนั้น

ในการดำเนินชีวิตของเรา เรา ต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดีความถูกต้องและเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากๆ ขึ้น ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป จะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ ”

“ ปัญหายุ่งยากในสังคมทุกวันนี้เกิดจากเหตุหลายอย่าง แต่ เหตุสำคัญที่ก่อปัญหาให้มากคือความขาด หรือความบกพร่องในความเป็นระเบียบและความสะอาด มั่นคงในความประพฤติ และความคิดจิตใจของบุคคล องค์การศาสนาทุกศาสนามีจุดมุ่งหมาย และภารกิจในการขัดเกลาความประพฤติ และจิตใจ ให้บุคคลถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและจริยธรรมตามหลักศาสนา มีจุดมุ่งหมายและภารกิจในการขัดเกลา ความประพฤติและจิตใจ ให้บุคคลถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและจริยธรรมตามหลักศาสนาอยู่แล้ว จึงน่าจะทำหน้าที่ แก้ปัญหาสังคมได้เป็นอย่างดีโดยไม่ยากลำบากในการนี้ ทุกฝ่ายควรได้ร่วมมือกันและส่งเสริมกันอย่างจริงจัง โดยประสานสอดคล้อง และควรมีหลักมีแผนการที่แน่นอนเหมาะสม ในการสั่งสอนเผยแพร่ธรรม สำคัญที่สุด ควรจะได้พยายามปลูกฝังความเชื่อ ความเลื่อมใสในคุณธรรมความดีให้เกิดขึ้นด้วย การประพฤติ ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้คนทั้งหลายได้เห็นประโยชน์และความดีจากแบบแผนการผฏิบัติ และการอธิบายแนะนำ ที่ประกอบด้วยความเมตตาการุณ และควรระมัดระวังอย่างที่สุดที่จะไม่ประกาศสั่งสอน โดยวิธีการที่จะก่อให้เกิด ความคิดโต้แย้งหรือต่อต้านขึ้นในตัวผู้ฟัง เพราะกระทำ ดังนั้นจะไม่ช่วย ให้บังเกิดผลดีขึ้นได้เลย ”

“ ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในท่ามกลางความเจริญรุดหน้าแห่งยุคปัจจุบันอย่างไร เราทอดทิ้งการศึกษาทางด้านจิตใจและศีลธรรมจรรยาไม่ได้ ตรงกันข้ามเราควรจะเอาใจใส่สั่งสอนกันให้หนักแน่นทั่วถึงยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความคิดความเข้าใจถูกต้องสอดคล้องกับสถานการณ์แวดล้อมที่วิวัฒนาการไปไม่หยุดยั้ง ”

“ ระยะนี้บ้านเมืองของเรามีพลเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งมีสัญญาณบางอย่างเกิดขึ้นด้วยว่า พลเมืองของเราบางส่วนเสื่อมทรามไปในความประพฤติและจิตใจ ซึ่งเป็นอาการที่น่าวิตก ว่าถ้าหากยังเป็นอยู่ต่อไป เราอาจเอาตัวไม่รอด ”

“ การทำสิ่งดีงามนั้นไม่ใช่ของที่พ้นสมัยหรือที่น่ากระดากอาย หากเป็นของที่ทุกคนทำได้ไม่ยากและให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า เพราะ ความดีนั้นทรงค่าและทรงผลดีอยู่ตลอดกาล มิได้เปลี่ยนแปลง มีแต่ค่านิยมในความดีเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง ”

“ สรรพสิ่งทั้งหลายดำรงอยู่พร้อมกับเจริญยั่งยืนไปได้ เพราะมีความสมดุลในตัวเอง อย่างชีวิตมนุษย์เรานี้ดำรงอยู่ได้เพราะมีออกซิเจน ไฮโดรเจน และคาร์บอน อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของชีวิต ได้สัดส่วนกัน เมื่อใดส่วนประกอบอันเป็นแก่นแกนของชีวิตส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่องหายไป ไม่อาจแก้ไขให้คงคืนสมดุลได้ เมื่อนั้นชีวิตก็เสื่อมโทรมแตกดับ ธรรมชาติอื่นๆ ตลอดจนสิ่งที่มนุษย์ปรุงแต่งสร้างสรรค์ขึ้น เช่น เครื่องจักร โรงงาน อาคาร บ้านเรือน แม้กระทั่งเศรษฐกิจ กฎหมาย และทฤษฎีต่างๆ ก็เหมือนกัน ล้วนต้องมีส่วนประกอบที่สมดุลทั้งสิ้น เมื่อบัณฑิตทั้งหลายทราบแน่ชัดในความจริงเรื่องความสมดุลของสรรพสิ่งทั้งปวงดังกล่าวแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะต้องพยายามใช้ความรู้ ความคิด วิทยาการ พร้อมทั้งความฉลาดสามารถทุกอย่างในตัวเอง รักษาสมดุลของสิ่งต่างๆ ไว้ให้ได้อย่างมั่นคงแท้จริง เชื่อว่าถ้าทุกคนทุกฝ่ายถือปฏิบัติได้ครบถ้วนทั่วกัน จะทำให้ความเสื่อมโทรมสูญเสีย ตลอดจนอุปสรรคและปัญหาสารพัดที่รุมเร้าอยู่ในทุกวันนี้ ทุเลาเบาบางและคลี่คลายไปด้วยดีได้ ”

นอกจากนี้ได้ทรงกล่าวถึง “ ความสุขความเจริญอันแท้จริง ” ว่า “ หมายถึงความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญ หรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังมาจากผู้อื่น ความเจริญที่แท้นี้มีลักษณะเป็นการสร้างสรรค์ เพราะอำนวยประโยชน์ถึงผู้อื่นและส่วนรวมด้วย ตรงกันข้ามกับความเจริญอย่างเท็จเทียม ที่เกิดขึ้นมาด้วยความประพฤติไม่เป็นธรรมของบุคคล ซึ่งมีลักษณะการทำลายล้าง เพราะให้โทษบ่อนเบียนทำลายผู้อื่นและส่วนรวม การบ่อนเบียนทำลายนั้น ที่สุดก็จะกลับมาทำลายตนด้วย เหตุที่เมื่อส่วนรวมถูกทำลายเสียแล้ว ตนเองก็จะยืนตัวอยู่ไม่ได้ จะต้องล่มจมลงไปเหมือนกัน 

“ กล่าวโดยสรุป ความเจริญทางด้านวัตถุกับความเจริญทางจิตใจต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กัน ต้องรักษาสมดุลของสิ่งต่างๆ ไว้เพื่อความเจริญที่ยั่งยืน ส่วนการแสวงหาความสุขความเจริญต้องเป็นไปด้วยความถูกต้องเป็นธรรม ”

พระบรมราโชวาทเกี่ยวกับศาสนา

“ คนเราต้องมีศาสนาคือ ความคิด หรือสิ่งที่คิดประจำใจอันเป็นแนวทางปฏิบัติในใจประจำตัว และต้องมีการศึกษาคือความรู้ต่างๆ ทั้งในด้านจิตใจ ทั้งในด้านวัตถุ เพื่อประกอบกับตัวเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ได้ ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ ”

“ ประเทศชาติกำลังพัฒนาในทุกด้าน และต้องการความสามัคคี ความสงบเรียบร้อย ผลดีทั้งปวงดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ด้วยประชาชนมีหลักของใจอันมั่นคง มีศรัทธาและปัญญาอันถูกต้อง และปฏิบัติตนอยู่ในทางที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม กรณียกิจอันสำคัญคือการส่งเสริมประชาชนให้มีรัตนตรัยและธรรมในพุทธศาสนา เป็นหลักของใจและความประพฤติด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง ”

“ ศาสนาชี้ทางดำเนินชีวิตที่ปราศจากโทษ ทำให้มีความเจริญร่มเย็น คนจึงเชื่อถือและประพฤติปฏิบัติตาม ทั้งอุดหนุนค้ำชูศาสนาเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ความสวัสดี พระพุทธศาสนานั้นมีลักษณะพิเศษประเสริฐ ในการที่อาศัยเหตุผล อันเที่ยงแท้ตามเป็นจริง เป็นพื้นฐานแสดงคำสั่งสอนที่บุคคลสามารถใช้ปัญญาไตร่ตรอง และหยิบยกขึ้นปฏิบัติ เพื่อความสุขความเจริญและความบริสุทธิ์ได้ตามวิสัยของตน จึงเป็นศาสนา ที่เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ และเป็นประโยชน์ได้แท้จริงแก่ทุกคนที่จะพอใจหันเข้ามาศึกษา เลือกสรรหัวข้อธรรมะที่เหมาะสมไปปฏิบัติ ”

“ การทำนุบำรุงและส่งเสริมพระศาสนานั้นไม่มีทางใดจะดีจะตรง จะสำคัญยิ่งไปกว่าการ ธำรงรักษา ความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระธรรมวินัย ทั้งในด้านปริยัติและในด้านปฏิบัติ การส่งเสริมศีลธรรม จรรยาของประชาชนควรจะคำนึงถึงพื้นฐานความรู้ จิตใจและอัธยาศัย ของบุคคลแต่ละบุคคล แต่ละหมู่เหล่าเป็นพิเศษ ต้องฉลาดเลือกข้อธรรมะที่เหมาะสมแก่พื้นฐานดังกล่าว และที่จะช่วยเขาให้ได้รับประโยชน์จริงๆ นำมาอธิบายแนะนำให้ปฏิบัติเพื่อผลที่รับนั้น จะทำให้เขาบังเกิดศรัทธาและพอใจในความดี และน้อมนำมาปฏิบัติให้ยิ่งขึ้น หนักแน่นขึ้นด้วยตนเอง”

“ พระพุทธศาสนาคือ ศาสนาแห่งประโยชน์ ไม่ว่าผู้ใด ถ้าเข้ามาศึกษาและปฏิบัติตามคำสั่งสอน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมได้รับประโยชน์ตามวิสัยแห่งการศึกษาปฏิบัติของเขา การธำรงความเจริญมั่นคงของพระศาสนาจึงน่าจะเน้นที่ การแนะนำให้เห็นประโยชน์ ของการศึกษาปฏิบัติธรรม เป็นสำคัญ เมื่อมีผู้ศึกษาปฏิบัติธรรมและได้รับประโยชน์จากการ ปฏิบัติธรรมมากขึ้น พระศาสนาก็จะเจริญแพร่หลายไปพร้อมกัน ข้อสำคัญควรจะถือ ปฏิบัติให้เคร่งครัด หนักแน่นว่าต้อง แสดงธรรมะให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ อย่าให้วิปริตแปรผัน และควรพยายามเน้นการศึกษา ปฏิบัติธรรมขั้นพื้นฐานให้ยิ่งกว่าอื่น เพราะคนทั่วไปต้องการ ที่จะเรียนรู้ได้ง่ายเข้าใจได้ชัดปฏิบัติได้สะดวก เมื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นแล้ว เขาก็จะพึงพอใจและจะขวนขวายศึกษาปฏิบัติให้สูงขึ้นไปเอง และเมื่อชาวพุทธรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะกันอย่างถูกต้องทั่วถึงมากขึ้นดังนี้ การบ่อนเบียนพระศาสนาก็จะน้อยลง พระศาสนาก็จะเจริญมั่นคงตามที่ท่านทั้งหลายปรารถนา ”

“ จุดหมายโดยตรงของศาสนาทั้งปวง และโดยเฉพาะของพระพุทธศาสนา มุ่งจะให้บุคคลศึกษาพิจารณาหลักการและแนวคิดในศาสนธรรม แล้วน้อมนำมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวและปฏิบัติด้วยตนเอง ตามความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการครองชีวิตคือ ให้เกิดความผาสุกร่มเย็นและความเจริญในแต่ละบุคคลในส่วนรวม และให้เกิดความบริสุทธิ์ หลุดพ้นอันเป็นปรมัตถประโยชน์ ดังนั้นการบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาจึงควรจะได้กระทำให้ถูกเป้าหมาย

วิธีการศึกษาพิจารณาหลักการและแนวคิดแห่งศาสนาเพื่อให้เกิดประโยชน์ดังกล่าวนั้น ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ พิจารณาด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยหลักเหตุผล การพิจารณาด้วยความบริสุทธิ์ใจหมายความถึงศึกษาพิจารณาและปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม เพื่อประโยชน์ที่จะพึงเกิดมีได้ ไม่ใช่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์อย่างอื่นนอกจากนั้น หรือเพื่อประโยชน์ที่จะกลับเป็นโทษในภายหลัง ส่วนการพิจารณาด้วยเหตุผลนั้นหมายความถึงพิจารณาตามเหตุที่แท้ ผลที่แท้มิใช่เหตุอันสับปลับ รวมทั้งพิจารณาด้วยหลักวิชาตรรกศาสตร์ จิตวิทยา และหลักการอื่นๆ ด้วย ”

“ ศาสนานั้น จะเป็นศาสนาใดก็ตาม ขั้นสูงเรียกว่าขั้นปรมัตถ์ หมายถึง หลักของศาสนาที่เป็นปรัชญาและโดยมากปรัชญานั้นก็เป็นความคิด ความเชื่อของบุคคลแต่ละบุคคลว่า โลกนี้มาอย่างไรและจะไปอย่างไรจะมีความสุขสุดยอดอย่างไร แต่ละศาสนามีวิธีการปฏิบัติต่างๆ กัน ซึ่งสรุปแล้ว ก็คือวิธีหาความสุขความร่มเย็นให้แก่ตัว การขึ้นสวรรค์หรือการสำเร็จก็คือ การบรรลุความสุขสุดยอดนั่นเอง … จิตใจ คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความกระหายอำนาจก็เป็นสิ่งที่ยากที่จะควบคุม เราจะต้องสอนทั้งสองอย่าง สอนวิทยาการเพื่อให้ทำมาหาเลี้ยงชีพ นี่หมายความว่ามีอาชีพมีความรู้ทางวัตถุ และต้องรู้จักควบคุมจิตใจ

ควบคุมสติของตัวให้สามารถใช้ความรู้ทางวัตถุเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ประโยชน์ของสังคมด้วย เพราะเราอยู่ในสังคมถ้าไม่อยู่ในสังคม ถ้าไม่รู้จักควบคุมความรู้ที่มีในวัตถุ ก็อาจเกิดความเดือดร้อนต่อผู้อื่น ในที่สุดก็เป็นความเดือดร้อนต่อตนเอง ”

“ ศาสนาใดๆ ที่มีชื่อว่าอะไรก็ตาม ต้องส่งเสริมสนับสนุนกันเพื่อความเป็นปึกแผ่นของสังคม ฉะนั้นการที่ศาสนาต่างๆ ในประเทศไทยปรองดองกันดีพอสมควรมาเป็นเวลาช้านาน จึงทำให้บ้านเมืองของเราอยู่เย็นเป็นสุขได้ ”

พระบรมราโชวาทเกี่ยวกับสัจธรรม
“ พุทธศาสนาศึกษาเรื่องอะไร ก็ศึกษาความทุกข์นี่เอง ความทุกข์เป็นสิ่งที่คนไม่ชอบ จึงต้องการพ้นทุกข์ พ้นทุกข์สำหรับตัวเองแต่ละคนๆ แต่ว่าการพ้นทุกข์นี้ยากมาก เพราะว่ามีความรู้สึกว่าไม่เป็นทุกข์ มีความรู้สึกว่าเป็นสุข อยากได้อยากมีความสุข แต่หากน้อยลงไปก็ทำให้เราโกรธ ทำให้เราไม่พอใจ แล้วก็เดือดร้อนฟุ้งซ่าน แล้วก็ไม่มีความสุข แล้วก็มีความทุกข์ฉะนั้น การศึกษาพระพุทธศาสนาก็คือการศึกษาว่าทุกข์นี้มาจากไหน ทำไมเราไม่ชอบความทุกข์ เราเป็นทุกข์ในทุกข์เราจะต้องดูทุกข์นี้เป็นอะไร ให้เข้าใจว่าเป็นอะไร แล้วเราก็จะต้องเห็นว่าทุกข์นี้มีเหตุผล มีต้นเหตุ เมื่อพบต้นเหตุแล้วก็ต้องดูว่าเราระงับทุกข์ได้ตรงไหน บอกว่ามีทุกข์ต้องบรรเทาทุกข์ ความจริงทุกข์นั้นบรรเทาไม่ได้ ต้องปล่อยให้ไปตามเรื่องของมัน แล้วก็เสร็จแล้วมันก็หายไป เพราะว่ามีทุกข์ มันก็ไม่มี มันก็หมดไปได้ สุขมี สุขก็หมดไปได้ เหตุนี้การที่พระพุทธศาสนาหรือพระพุทธเจ้าให้เราศึกษา ก็คือศึกษาให้เห็นว่าทุกข์นั้นมันมาจากไหน ให้รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร เป็นอะไร แล้วทุกข์มาจากไหน จะเห็นว่า มีทุกข์ก็ต้องการไม่ทุกข์ได้ เมื่อมีการไม่ทุกข์ก็มีการหมดทุกข์ได้ มีการหมดทุกข์ได้แล้ว ก็เห็นได้ว่ามีทางจะหมดทุกข์ อันนี้ท่านก็เรียกว่า              “อริยสัจ ” ฉะนั้น การศึกษาพระพุทธศาสนาก็คือ การศึกษาอริยสัจนั้นเอง …”
( พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะผู้แทนพุทธสมาคมทั่วประเทศที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2523)

พระบรมราโชวาทเกี่ยวกับอริยสัจ มีปรากฏดังนี้

1. “ แล้วก็ ทุกข์ อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ความทุกข์ที่อดอยากเท่านั้นเอง ทุกข์ของคนที่มีเงินมากร่ำรวย ก็มีความทุกข์มากเหมือนกัน บางคนนะร่ำรวยมากก็มีความทุกข์มากกว่าคนที่ไม่มีเงิน ต้นเหตุของความทุกข์อยู่ที่ใจ เราสามารถที่สร้างทุกข์ขึ้นมาได้ ให้มันเกิดเหมือนว่าเราสามารถที่จะเลือกว่าจะเอาทุกข์หรือเอาสุข ”

2. “ ทุกข์ ที่ยังไม่มีอย่าให้เกิด ถ้าเราไม่ยอมให้เกิดขึ้น หมายความว่าทำจิตใจให้ผ่องใสตลอดเวลา ทำอะไรที่สุจริตตลอดเวลา ความทุกข์เกิดยาก เมื่อเกิดยากแล้วทุกข์เก่าที่มีอยู่มันก็ค่อยๆ หายไป ก็ตามที่พระท่านบอกว่า ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกข์ก็เป็นอนิจจัง ”

3. “ จิตใจที่เป็นทุกข์ ก็เพราะรู้สึกว่าเป็นทุกข์ ถ้าเราดูติดตามว่า ความรู้สึกว่าเป็นทุกข์เป็นอย่างไรแล้ว ก็ต่างกันนะคือ ทุกข์แล้วเดี๋ยวก็หายทุกข์ มันก็จะทำให้ความทุกข์ในใจมันลดลง สบายเข้า ”

4. “ สมุทัย คือ ต้นเหตุของทุกข์ เราต้องดูอะไร เราต้องดูใจ ใจเราเป็นอย่างไร จิตใจเราเป็นทุกข์เป็นสุข จะสมมติว่าเรากำลังหิว เราเห็นอาหารที่น่ารับประทาน เห็นเฉยๆ ก็มีความรู้สึกแล้วเป็นสุข เห็นน่ะเป็นสุข มันก็เกิดอยากแล้ว เราหิวเราก็ควรรับประทานเพื่อประทังเพื่อแก้ความหิว นั้นเป็นของธรรมดาของโลก แล้วร่างกายเราทุกคนถ้าไม่มีอาหารล่ะก็ จะรักษาร่างกายเอาไว้ไม่ได้ จำเป็นต้องมีอาหารบริโภค แต่ถ้าเห็นแล้วเกิดความอยากรับประทานเพื่อที่จะพอประทังชีวิตก็ยังไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าเห็นว่าน่ารับประทาน แล้วลงมือรับประทานเพราะมันอยากนี้ ก็เกิดเป็นทุกข์แล้ว ”

5. “ ทุกข์ธรรมดาที่มีอยู่นั้นก็มีไป เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป แต่ว่าทุกข์ที่เราสร้างขึ้น เราสามารถควบคุมได้ ถึงเรียกว่าตัดทุกข์ เพราะว่าทุกข์นั้นไม่เกิด ”

6. “ พุทธศาสนาศึกษาอะไร ก็ศึกษาความทุกข์นี่เอง ความทุกข์ เป็นสิ่งที่คนไม่ชอบจึงต้องการให้พ้นทุกข์ พ้นทุกข์สำหรับตัวเองแต่ละคนๆ แต่ว่าการพ้นทุกข์นี้ยากมาก เพราะว่ามีความรู้สึกว่าไม่เป็นทุกข์ มีความรู้สึกว่าเป็นสุข ครั้นใครมาทำให้เราเป็นทุกข์หรือแม้แต่มีความสุขน้อยลงไป ก็ทำให้เราโกรธ ทำให้เราไม่พอใจ แล้วก็เดือดร้อนฟุ้งซ่าน ไม่มีความสุข แล้วก็มีความสุข ”

7. “ ท่านสอนว่ามีศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็หมายความว่า เราต้องระมัดระวังไม่ให้ทำอะไรผิดไป เป็นเกณฑ์ที่ช่วยเราไม่ให้ผิดพลาดเสียหาย ไม่ใช่ขังเราในกรง ศีลนั้นนะเหมือนกรง เราอยู่ในกรง ทำนี้ก็ไม่ได้ ทำโน่นก็ไม่ได้ เพราะว่าท่านบอกไม่ให้ทำ … เราเหมือนว่าอยู่ในกรง เราออกมาไม่ได้ แต่ถ้านึกดูสมมติว่าเราอยู่ในที่ที่มีสัตว์ร้ายเต็มอย่างที่เห็นเคยเห็นในภาพยนตร์ เขาหย่อนคนที่ใส่เครื่องประดาน้ำลงในน้ำที่มีปลาฉลามเยอะๆ เขาเอาฉลามใส่กรงไม่ได้ ก็เอาตัวผู้ประดาน้ำลงไปในกรงเพื่อไม่ให้ปลาฉลามกัด ศีลนี้ก็กลายเป็นกรงเพื่อไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีมาแตะต้องเราได้ ก็เป็นกฎเกณฑ์เหมือนกันในเวลานั้น ตอนแรกเราต้องให้ศีลมาควบคุมตัวเรา แล้วทีหลังศีลนั้นจะเป็นเกราะป้องกันตัวเราไม่ให้เดือดร้อน เพราะว่าถ้าไปทำผิดศีลนั้นนะเดือดร้อน เป็นการกระทำที่เดือดร้อน ก็เป็นอกุศลกรรม เป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้รับกุศลที่ไม่ดี ก็หมายความว่าศีลนี้ เป็นส่วนที่ท่านตั้งเอาไว้เพื่อที่จะป้องกันเรา ”

8. “ สมาธิ ก็เพื่อจะให้จิตใจเราเข้มแข็ง สามารถที่จะมีสติสัมปชัญญะแล้ว เราเห็นอะไรได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็เกิดผล จะเกิดผลอะไร เรารู้อะไร อะไรที่ถูกต้องเราก็รู้ อะไรที่ไม่ถูกต้องเราก็รู้ … รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็เกิดความรู้ซึ่งมีผลเป็นปัญญา รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ”

9. “ ความโง่ คือ ความไม่รู้จริง มันปิดบังใจและปิดบังความจริง ฉะนั้นต้องหาทางที่จะเปิด เปิดม่านนั้น การเปิดม่านนั้นก็ต้องพยายามที่จะทำให้ใจนี้สงบ วันนี้ก็มาถึงที่เรียกว่า สมถะ หรือสมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้น่ากลัว บางคนบอกว่าการนั่งสมาธินี้ ระวังให้ดี อาจจะเป็นบ้าได้ … แต่ว่าสมาธินี้ต้องเริ่มอย่างเบาๆ ก่อน … จะต้องเริ่มต้นด้วยการปัดกวาดสิ่งที่เป็นม่าน … การที่จะให้เกิดความสงบคือสมาธินี้

ต้องพยายามดูให้เห็นว่ามีอะไรมาปิดบัง เมื่อถอนสิ่งที่ปิดบังนั้นทันใดก็ได้สมาธิ … สมมติว่าจะเดินไปออกประตู ถ้าเราบอกว่าเราดูผนังบ้าง ดูเพดานบ้าง ดูม่านบ้าง เราก็ไม่มีทางที่จะดูประตู แต่ถ้าเราตัดสินใจว่า ตอนนี้ไม่ใช่ภาระของเราที่จะดูเพดาน ดูฝาผนัง หรือดูอะไร แต่เป็นภาระที่จะไปหาประตู เราก็ถอนออกมาจากสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ ส่วนมากเรามีความชอบอะไรที่เรียกว่า มีกามราคะ มีโทสะคือ พยาบาท และบางทีก็ไม่ใช่โทสะหรือราคะอะไร มีความฟุ้งซ่านแกว่งไกวไปที่โน่นที่นี่ … ไม่มีทางที่จะมีความสงบ หรือบางทีเราก็พยายามหาความสงบ แต่ถ้าเราไม่มีความเพียงพอ เรามันง่วงมันหาว …. บางทีก็ไม่เชื่อว่ามีประตูด้วยซ้ำ ต้องปัดกวาดความลังเลสงสัยอะไรต่างๆ เหล่านี้

… แต่ถ้าเราพยามที่จะดูว่ามีสิ่งใดที่ปิดบัง และก็บอกว่าตอนนี้มันไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่เวลาที่จะเอาอะไรมาปิดบัง ถอนสิ่งปิดบังเหล่านี้ เราก็ได้สมาธิทันทีเลย นี้เรียกว่าสมาธิ … เราทำสมาธิให้นิ่ง จิตใจให้นิ่ง ก็จะมาเห็นใจของเรา ใจจะไม่เป็นสิ่งลึกลับ ใจจะเป็นสิ่งเปิดเผยคือ เราเปิดเผยกับตัวเอง … วันนี้ใช้สมาธิทำให้ใจนี้นิ่งเสียก่อน แล้วเมื่อมีอารมณ์ ซึ่งอารมณ์เข้ามาทุกเมื่อตลอดเวลา เมื่ออารมณ์เข้ามา เราก็กั้นอารมณ์นั้นไว้เท่าที่มีความสามารถ ด้วยการระงับนิวรณ์เหมือนระงับน้ำไม่ใช้กระเพื่อม เราก็ดู ดูใจก็เป็น การดูปฏิกิริยาของใจ ความเคลื่อนใจของใจ … และก็ใจนี้ทำให้เรามีความสุขหรือมีความทุกข์ ใจนี้เองเมื่อมีความสุขบางทีก็ลิงโลดดีใจมาก อาจจะทำให้เสียหายก็ได้ ”

10. “ ถ้าเราทำบุญด้วยประการทั้งปวง คือ ทำดีด้วยความตั้งใจดี แล้วก็มีปิติขึ้นมา ได้รับผลบุญแล้วเราทำสูงขึ้นไป ทำต่อไป คิดให้ดีๆ จะเกิดที่เรียกว่า ปัญญา หรือความรู้ ปัญญานี้ไม่ได้หมายความว่า ไปเรียนกลับมา ได้ดอกต้ง ดอกเตอร์ ไม่ใช่ นั่นเป็นปัญญาความรู้ทางโลกเขาใช้ แต่ปัญญาจริงๆ เห็นอะไรจริงๆ ที่ใจจริงๆ ถ้าเราทำบุญไปก็จะค่อยๆ เห็นความจริง เป็นปัญญา เราจะสามารถที่จะควบคุมการเกิดทุกข์ที่ใจ ”

11. “ ที่ว่าทำบุญนั้นนะ ก็อยู่ในข้อที่เรียกว่า ทำทาน แล้วที่ถูก ทำบุญแล้วก็พยายามทำอะไรที่ดีที่ถูกต้อง สวยงาม ที่สุจริต ที่ไม่ทำให้เดือดร้อนก็เป็นศีลแล้ว ก็เมื่อมีศีลแล้วเราก็สามารถที่จะทำพิจารณาอะไรก็เป็นการภาวนา

การภาวนาทำไปทำมาก็เป็นสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้ว ก็ภาวนาอยู่ตลอดทุกวันติดต่อไป มันก็เกิดปัญญา พระท่านสรุปเสมอว่า ศีล สมาธิ ปัญญานี้ก็คือ การสรุปของมรรครวมกัน เราก็ได้อริยสัจ 4 เมื่อเราได้อริยสัจที่ 4 แล้ว เราก็จะได้อริยสัจที่ 3 เพราะว่าถ้ามีปัญญาแล้วก็หลุดพ้น ”

พระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ตามพระราชปณิธานนั้น ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานความรู้ ความคิดกับพสกนิกรอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด ตลอดจนทรง ปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างให้ประชาชนโดยถ้วนหน้า ได้ศึกษาจนเกิดการเรียนรู้ เป็นแนวคิดแนวปฏิบัติ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต อันจะเป็นประโยชน์ทั้งบุคคล สังคมและประเทศชาติ

ดังนั้นพระบรมราโชวาทที่ทรงสั่งสอน ถ้าน้อมนำไปปฏิบัติย่อมทำให้ชาวไทยทุกหมู่เหล่ามีคุณภาพชีวิตที่ดี ในส่วนของพสกนิกรไทยทั่วรัฐสีมามณฑลได้ประจักษ์ถึงอัตหิตคุณและปรหิตคุณในพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเปี่ยมล้นเช่นนี้แล้ว ก็สมควรที่จะได้ถวายความจงรักภักดี เทิดพระเกียรติและถวายชัยมงคลด้วยการเชิญพระราชดำริ

พระราชกระแสและพระราชดำรัสน้อมนำมาใส่เกล้าใส่กระหม่อมนำมาเป็นแนวปฏิบัติสำหรับวิถีชีวิตของทุกๆ คนอย่างเป็นรูปธรรม อันจะเป็นการตอบสนองความรักความห่วงใย ที่พระองค์ทรงมีต่อราษฎรอย่างถูกต้องเหมาะสม ขณะเดียวกับที่วิถีชีวิตของคนไทยบางคน หรือบางกลุ่มในปัจจุบันยังนิยมความประมาท ฟุ่มเฟือย มัวเมาไร้สาระอยู่กับอบายมุข ไม่ได้อนุวัตตามแนวทางที่พระองค์ทรงสอนอันเป็นแบบอย่างที่ดีงาม ดังนั้นด้วยเหตุผลนี้เองในคำสอน ทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญเรื่องการ “ ปฏิบัติบูชา ” มากกว่า “ อามิสบูชา ”