พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

บทที่ 22 พระราชดำรัส และพรปีใหม่

1. พระราชดำรัสล้วนปรีชาชาญ ปวงราษฎร์สราญชื่นบานกมล

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระปรีชาสามารถ ในการพระราชทานกระแสพระราชดำรัส เพราะทรงเพียบพร้อมด้วยพระปฏิภาณและพระอารมณ์ขัน อีกทั้งทรงมีพระราชวินิจฉัยด้วยเหตุและผล เหมาะสมสอดคล้องทั้งทางคติโลกและคติธรรม พระองค์ทรงทำให้ความเครียดทั้งหลายคลายลงได้เสมอ ทำให้ทุกคนที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าสบายใจได้ทุกครั้ง ดังเรื่องที่คัดลอกมาต่อไปนี้

เรื่องที่ 1
วันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จเยี่ยมพสกนิกรของพระองค์ ตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราคนหนึ่งได้ก้มกราบแทบพระบาท แล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวงแล้วก็พูดว่า ยายดีใจเหลือเกิน ที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดยายอย่างโน้นอย่างนี้ อีกตั้งมากมาย แต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริพารก็มองหน้ากันใหญ่ไม่แน่ใจว่าพระองค์ทรงพอพระราชหฤทัยหรือไม่ แต่พอพวกเขาได้ยินพระองค์รับสั่งตอบหญิงชราคนนั้นก็ทำให้พวกเขาถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ตรัสว่า “ เรียกว่ายายได้อย่างไรอายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก ”

เรื่องที่ 2
พระองค์เสด็จฯ ไปที่จังหวัดสกลนคร เพื่อทรงเยี่ยมเยียนชาวบ้าน และพระองค์ได้ตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้า เพราะเจ็บเข้าเฝือก ในหลวงมีรับสั่งถามว่า “ แขนเจ็บไปโดนอะไรมา ” ชายคนนั้นตอบว่า “ ตกสะพาน ” แล้วในหลวงทรงรับสั่งกลับมาอีกว่า “ แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วย ตกข้างเดียว ” ในหลวงของเราก็ทรงพระสรวล

เรื่องที่ 3
พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ทางภาคใต้ คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดินเป็นกรด มีความเค็ม พระองค์รับสั่งถามชาวบ้านที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า “ ดินหลังบ้านเป็นอย่างไรเค็มไหม ” ชาวบ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง ก่อนกราบบังคมทูลตอบกลับมาว่า “ ไม่เคยชิมซักที ” ในหลวงก็รับสั่งกับข้าราชบริพารที่ตามเสด็จว่า “ ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ ”

เรื่องที่ 4
ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้วพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับ พระฉวีมีอาการคันมีหมอโรคผิวหนัง คณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอคนหนึ่งเป็นผู้เชียวชาญทางโรคผิวหนัง แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ก็กราบบังคมทูลว่า “ เอ้อ – ทรง … อ้าทรงพระคัน ( พระครรภ์ ) มานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ ” พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระสรวล ตรัสว่า “ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะท้องได้ยังไง ” แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า “ เอ้า พูดภาษาอังกฤษกันเถอะ ” เป็นอันว่าได้กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษ

อีกครั้งหนึ่ง หลายปีมาแล้วเหมือนกันตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังโปรดพระโอสถมวนอยู่และในวันนั้นกำลังจะทรงพระโอสถมวน แต่ยังไม่ได้จุด ท่านผู้หนึ่งที่เผอิญได้เข้าเฝ้าอยู่ในขณะนั้น จะเป็นใครผมก็ไม่ทราบลืมไปแล้ว ก็ปราดเข้าไปคุกเข่า จุดไฟแช็คถวาย และแถมกราบบังคมทูลเสียด้วยว่า “ ขอถวายพระเพลิงพะย่ะค่ะ ” พระเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวลเสียงดัง และตรัสด้วยพระอารมณ์สนุกว่า “ ยัง … ยัง … ฉันยังไม่ตาย ….”
[เรื่องที่ 1 – 4 จากคุณ : varada 15 พ.ย. 44 23:23:41]
http://pantip.inet.co.th/caf?/rajdumnern/topic/P1186435.html

เรื่องที่ 5
ครั้งหนึ่งได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็รับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า “ ฉันได้เป็นหมอความแล้ว ” ต่อมาได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการแพทย์ ก็รับสั่งว่า “ คราวนี้ฉันได้เป็นหมอยา ” ต่อมาอีกไม่นาน ได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการดนตรี ก็รับสั่งว่า “ คราวนี้เป็นหมอลำ ” ( วิลาศ มณีวัต. 2543 : 10)

เรื่องที่ 6
พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ ได้เล่าเกี่ยวกับพระราชอัจฉริยภาพในด้านการสื่อสารดังนี้ เย็นวันหนึ่งได้ปรากฏว่า ข่ายการสื่อสารร่วมของกรมตำรวจที่รู้จักกันทั่วไปในวงการมีความแรงมาก จนไม่สามารถติดต่อกับสถานีวิทยุลูกข่ายทั้งที่เป็นสถานีประจำที่ และเคลื่อนที่ได้เป็นเวลานานและต่อเนื่อง การสื่อสารในข่ายนี้ต้องหยุดชะงัก โดยสิ้นเชิงสร้างความโกลาหลให้แก่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างยิ่ง เมื่อความทราบถึงพระกรรณ การปฏิบัติการตรวจสอบและหาทิศวิทยุลูกทุ่งจึงเริ่มขึ้นเมื่อเวลาใกล้ค่ำ

จากการตรวจสอบหาทิศวิทยุของสถานีประจำที่ทั้งสองสถานี ซึ่งต้องใช้เป็นเวลานานพอสมควร จึงได้พบจุดพิกัดโดยประมาณว่า สถานีส่งคลื่นวิทยุมารบกวนข่ายตำรวจ “ ปทุมวัน ” อยู่ในทิศทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพมหานคร สัญญาณที่วัดได้มีความแรงสูง จึงคาดคะเนว่า จุดที่ตั้งของสถานีวิทยุแห่งนี้ไม่น่าจะอยู่ไกลมากนัก เมื่อได้พิจารณาในแผนที่ตรงจุดตัดระหว่างเส้น

ทิศทางที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงวัดจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน กับเส้นทิศทางที่ผมวัด จากบ้านพักในกองสื่อสาร กรมตำรวจ บางเขน คาดว่าจะอยู่แถวอำเภอบางพลี สมุทรปราการนี้เอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงรับสั่งให้ผมนำเครื่องอุปกรณ์ที่จำเป็น ติดตัวไปด้วยและมีภรรยานั่งไปเป็นเพื่อน ขณะเดินทางรู้สึกกระหยิ่มและมั่นใจว่าภารกิจนี้จะต้อง ประสบความสำเร็จ โดยง่าย และผมได้มีการตรวจสอบ พิกัดกับพระองค์ท่านเป็นระยะๆ ไปเพื่อให้เกิด ความแน่ใจว่า ได้เดินทางมาตามเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ผมไปถึงตลาดบางพลีเมื่อเวลาประมาณใกล้เที่ยงคืน ขณะนั้นเป็นคืนข้างแรมมืดสนิท และในบริเวณนี้ได้เป็น ที่ยอมรับ กันโดยทั่วไปว่า ยุงชุมที่สุด เขาจะบินเกาะกลุ่ม กันมาเป็นฝูงๆ เมื่อถึงจุดที่เหมาะสมได้มีพระราชกระแส ให้ผมตรวจสอบ ความแรงของสัญญาณ และใช้สายอากาศหาทิศที่นำติดตัวไปด้วยตรวจสอบทิศทางด้วย

เนื่องจากการนั่งอยู่ในรถซึ่งปิดกระจกมิดชิด และเปิดเครื่องปรับอากาศไม่สะดวกในทางปฏิบัติ ผมจึงนำ เครื่องอุปกรณ์ออกไปตรวจสอบนอกรถ ตามพระราชกระแสด้วยความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ต่อการรบกวนของ กลุ่มยุง ที่เฝ้าเวียนสับเปลี่ยนกัน เข้ามามะรุมมะตุ้มผมเป็นระยะๆ ขณะที่ผมต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่นอกรถ การติดต่อสื่อสารทางวิทยุระหว่างผม กับพระองค์ท่านต้องใช้เครื่องรับ – ส่งวิทยุมือถือ หรือ แฮนดี้ทอล์กกี้ (Handie Talkie) ต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างการติดต่อระหว่างพระองค์ท่านกับผม
“ กส 1 จาก กส 9 ว 2”
“ กส 1 ว 2 อุ๊บ !”
“ กส 1 จาก กส 9 มีอะไรเกิดขึ้น ?”
“ กส 9 จาก กส 1 ยุงเข้าไปในปากหลายตัว ”
“( เสียงพระสรวล ) กส 1 จาก กส 9 อนุญาตให้เข้าไป ว 4 ในรถได้ ” ฯลฯ
แต่โดยที่ขณะนั้นเวลาล่วงเลยไปจนใกล้รุ่งแล้ว พระองค์ท่านจึงรับสั่งให้ระงับการค้นหา ไว้ชั่วคราวโดยได้รับสั่งว่า ”… หากจะ ว 4 ( ปฏิบัติการ ) ให้ได้ผล จำเป็นต้องเปิดสถานีประจำที่ที่บางเขน ( ที่บ้านพักของผม ) ทำงานร่วมอีกสถานหนึ่ง จุดตัดของสถานีที่ปฏิบัติการร่วมกันจึงจะแน่นอนยิ่งขึ้น …”
จากบทความเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชอัจฉริยภาพในด้านการสื่อสาร ( เทคนิคการหาทิศวิทยุ ) ( http://www.dabos.or.th/ro5.html : 28 พฤศจิกายน 2544 : 7-8)

เรื่องที่ 7 : พระราชดำรัสที่อเมริกา
ม.จ.วิภาวดี รังสิต ( พระยศในขณะนั้น ) ทรงพระนิพนธ์ไว้ใน “ เสด็จพระราชดำเนินสหรัฐอเมริกา พ.ศ.2503” ดังนี้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสตอบใจความว่า
“… การที่เจ้าของงานกล่าวว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่น่าเที่ยวนั้นทรงยอมรับ และที่ว่าทรงมีสิทธิที่จะรับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาเพราะประสูติที่เคมบริจ มัสสะชุเซตส์นั้นก็ทรงยอมรับอีก แต่สิทธินั้นเป็นโมฆะแล้วเพราะทรงครองราชสมบัติเมืองไทยอยู่ …”
“… ไม่เข้าพระทัยว่าเหตุใดจึงว่าเลิกการตื่นทองกันแล้ว (Gold rush) ในซานฟรานซิสโก ในเมื่อได้ทรงพบสะพานโกลเด้นเกด ทองในใจคน ทองสีดำในดิน (น้ำมัน) แล้วยังทองในธนาคาร (เมืองซานฟรานซิสโกมีชื่อว่าเป็นเมืองธนาคาร) อีกเล่า …”
พระราชดำรัสในครั้งนี้ยาวกว่าที่เคย 5 นาที คนฟังก็ตบมือหัวเราะชอบใจ (วิภาวดี รังสิต, ม.จ. 2503 : 138)

เรื่องที่ 8 : พระราชดำรัสเรื่องนกกระทุง
“… เมื่อห้าปี (พ.ศ.2535) แจ้งว่าในสวนจิตรลดา มีนกกระทุงอยู่ตัวหนึ่ง แล้วซื้อมาใหม่อีก 3 ตัว เป็นสี่ นกพวกนี้เขามีลูกเต้า แล้วก็ไปเชิญชวนเพื่อนฝูงมา วันหนึ่งนับได้ 15 ตัว ก็หมายความว่า เขาคงมีความสุข แต่วันนี้ในสระนี้ เหลือลอยอยู่ตัวเดียว เพราะตัวอื่นคงไปเยี่ยมญาติ หรืออาจจะตั้งครอบครัวขึ้นมาใหม่ ก็ต้องดูแลครอบครัว ตัวที่เหลืออยู่นี้ เราให้ชื่อว่าคุณสมิทธฯ และในที่ประชุมทราบว่าอากาศทางอุตุนิยมฯ จะเป็นอย่างไร แล้วคุณสมิทธฯ เองก็เคยฉงนว่าทำไมพยากรณ์ได้แม่นยำนัก เราไม่ได้บอกคุณสมิทธฯ ตัวจริง ว่ามีคุณสมิทธฯนกกระทุง เพราะว่าไม่กล้า แต่เดี๋ยวนี้คุณสมิทธฯ ตัวจริง พ้นหน้าที่อธิบดีกรมอุตุนิยมฯ แล้วจึงพูดได้ว่าคุณสมิทธฯ ที่เหลือตัวเดียวเป็นผู้พยากรณ์อากาศ … ” (พระผู้ทรงเอื้ออาทรต่อสรรพชีวิต. 2544 : 34)

นกกระทุง (Spot-billed Pelican)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Pelecanus philippensis

เรื่องที่ 9
ม.จ.ภีสเดช รัชนี ทรงเล่าเรื่องการใช้ภาษาพูดกับชาวเขา ดังนี้

“… ควรจะให้เหตุผลว่าทำไมเจ้าหน้าที่ผู้มีรับสั่งถึงจึงใช้คำง่ายๆ กับชาวเขา เมื่อเขาเริ่มบรรยายนั้น เขาว่า “ สุกรนั้นต้องได้รับประทานอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ”… ส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นชะรอยจะทรงเกรงว่าชาวเขาจะนึกว่าสุกรนั้นไซร้คือหมาน้อยธรรมดา จึงรับสั่งกับแม้วซึ่งอ้าปากหวอว่า “ หมูน่ะ ต้องให้มันกินอิ่ม ” ทรงเป็นล่ามแปลไทยเป็นไทยอยู่สามสี่เที่ยว อาจารย์สังเวียนจึงบรรยายโดยใช้ถ้อยคำง่ายๆ เช่นจะว่าหมูท้องเสีย ก็จะใช้คำที่สามัญยิ่งกว่านั้นอีก ”…

ผู้เขียนได้กราบบังคมทูลว่า “ น่าจะเอาหมูตัวผู้เลือด 50% ไปพระราชทานชาวเขา เพื่อให้ได้เสียกับหมูที่ท้องลากดินทั้งที่ยังไม่ท้อง ” … “ ความคิดเรื่องหมูนี้ความจริงก็ดี แต่ก็ดีน้อยเกินไปจนไม่เอาไหน เพราะหมูเลือดฝรั่งถ้าไม่ขุนอาหารให้พอเพียง “ ต่อความต้องการของร่างกาย ” แล้วก็จะผอมโซเหมือนกัน และกลับซ้ำร้ายที่เมื่อขาดโปรตีน ก็จะช่วยตัวเองโดยไล่งับไก่เขากิน จนชาวเขากลัว นึกว่าเป็นหมูผี ”

เรื่องที่ 10 : ฎีกาแม้ว
ม.จ.ภีสเดช รัชนี ทรงเล่าเรื่องฎีกาแม้ว (2531 : 80) ไว้ดังนี้

ม.จ . ภีสเดช รัชนี

เมื่อเสด็จพระราชดำเนินให้ชาวเขาเฝ้านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับฎีกาเสมอ แต่ที่แปลกที่สุดเห็นจะเป็นฎีกาจากสาวแม้วชื่อ อีหั้ว (อีเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของชื่อ) เริ่มต้นอีหั้วบ่นกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จฯ ทรงผ่านคดีไปสู่ศาลสูงสุด คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 

อีหั้วมีลูกแล้วหนึ่งคน แต่สามีไปอยู่กับหญิงอื่น แล้วไม่ให้ข้าวคือไม่เลี้ยงดู นางอยากจะเลิกกับสามี        “ เฮาจะได้ไปเอาผัวใหม่ ” แต่สามีไม่ยอมให้เลิก

ศาลเรียกสามีมาสืบคดี ได้ความว่าสามีซื้ออีหั้วโดยผ่อนส่งเอาไว้คือ จ่ายหมูแล้วหนึ่งตัว ขาดไก่ราวสองตัวและเงินแถบ ( เหรียญเงินจากพม่า ) อีกเล็กน้อย ถ้าหย่าไปก็เสียหมูเปล่า เคยเจรจาจะเอาหมูคืน พ่อเจ้าสาวก็เสียดายหมู ไม่ยอมรับลูกสาวแลกเปลี่ยน

อันศาลธรรมดาๆ นั้น ย่อมมีอำนาจที่จะปรับไหมได้ แต่ศาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กลับพระราชทานเงินทดแทนแก่จำเลย คือสามีอีหั้วซึ่งแปลกมาก

เรื่องพิศดารยังมีต่ออีกซึ่งผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเป็นการสมควรจะเอามาเล่าหรือไม่ แต่หนังสือ “ สวัสดี ” ของการบินไทยได้เอาเรื่องไปลงแล้วแต่ลงอย่างคลาดเคลื่อน จึงขอถือโอกาสนี้ต่อว่าการบินไทยด้วย โดยเฉพาะในเมื่อเรื่องๆ จริงของผู้เขียนสนุกกว่า

ตามความสัตย์จริงนั้น ต่อไปเมื่อผู้เขียนไปเยี่ยมหมู่บ้านแม้ว เขาถามผู้เขียนว่า “ พระเจ้าๆ พระเจ้าอยู่หัวเอาเมียแม้วเหรอ ” เรื่องนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาก็รับสั่งยืนยันเมื่อเร็วๆ นี้ว่าระบาดเข้าไปถึงแม้วในลาว

ดังนั้น ผู้เขียนก็จำต้องถวายรายงาน มีรับสั่งว่าที่ทรงซื้ออีหั้วไว้นั้น “ ฉันให้ท่านภี ”

ตั้งแต่นั้นมาเมื่อผู้เขียนไปหมู่บ้านของอีหั้ว คือขุนวาง ผู้เขียนก็จะคลี่ถุงนอนปูที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ผู้เขียนจะเอากับข้าวมอบให้แม้วทำแล้วก็ตั้งวงรับประทานด้วยกัน อีหั้วซึ่งอยู่คนละบ้านจะต้องเอาอาหารอร่อยๆ เช่นอีเก้งต้มเป็นต้นมาให้ในฐานะภรรยาที่ดี เรื่องนี้ไม่ลงเอยหวานฉ่ำเหมือนเรื่องอ่านเล่น เพราะเมื่อผู้เขียนไม่ไปขุนวางนานหน่อย อีหั้วก็ไป “ เอาผัวใหม่ ” โดยไม่ได้คืนหมูให้ผู้เขียนซึ่งเป็นเรื่องเศร้ามาก แต่ก็บ่เป็นอันหยัง เพราะมีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นซึ่งให้ความชุ่มชื่นแก่หัวใจผู้เขียนไม่น้อย

วันหนึ่งที่ดอยอินทนนท์ ผู้เขียนแบกเป้หนัก บรรจุอาหาร หม้อ เสื้อผ้า ถุงนอน ฯลฯ เดินจากบ้านกะเหรี่ยงท่าฝั่ง ข้ามเขาไปบ้านขุนแม้วกลาง แล้วก็ปีนเขาไปทางทิศตะวันออก ไปถึงจุดมุ่งหมาย คือบ้านแม้วแม่ยะน้อยเวลากลางคืน ที่บ้านผู้ใหญ่ซึ่งผู้เขียนไม่เคยรู้จักมาก่อน ผู้เขียนเอาอาหารมอบให้เขาทำ แล้วคลี่ถุงนอน ค่าที่เหนื่อยจึงหลับไปทันทีที่หัวถึงเสื้อที่ใช้หนุนแทนหมอน แล้วรู้ตัวอีกทีเมื่อเขาปลุกให้รับประทานอาหาร

คืนนั้นผู้ใหญ่บ้านบอกผู้เขียนว่า “ พะเจ้า พะเจ้า เฮาจะให้สาวแม้วพะเจ้า เวลาพะเจ้าขึ้นดอย สาวแม้วจะเป้อะของให้ เวลาจะกินสาวแม้วจะทำข้าวให้ เวลานอนพะเจ้าไม่ต้องนอนหนาว ” ซึ่งเป็นการแสดงความมีน้ำใจอย่างรุนแรง จนผู้เขียนเสียใจมากที่ต้องปฏิเสธ

ผู้เขียนบอกเขาว่า “ เฮาต้องไปหลายดอย ไปเยี่ยมลั้วะ กะเหรี่ยง มูเซอ ลีซอ อีก้อ คะฉิ่น ถ้าเฮาไปบ้านมูเซอ แล้วเอาสาวแม้วไป มูเซอจะเสียใจ ไปไหนเฮาต้องเอาเมียไป 6-7 คน เปลืองเงินมาก พระเจ้าอยู่หัวจะว่าเฮา ” อันเป็นการแอบอ้างที่ดีมาก และเขาไม่เสียน้ำใจ

เรื่องที่ 11
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ AIT และทอดพระเนตรการตัดสินผลการประกวดภาพเขียน เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจที่ AIT ได้จัดขึ้น สุวิชา (2535 : 107) เล่าไว้ในหนังสือตะวันส่องหล้าตอนหนึ่งว่า

ตอนหนึ่งฉันได้ยินดร . สุวิทย์ ยอดมณี กราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ว่าชอบภาพที่ได้รางวัลที่ 2 มากกว่า ซึ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงเห็นด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็ทรงหันมารับสั่งว่า “ อยู่บนที่สูง ปากเลยเบี้ยวไปหน่อย ”

มาถึงภาพที่ 3 ซึ่งเป็นภาพ “ พระองค์ท่าน ” มีแผนที่ประเทศไทยอยู่บนพระหัตถ์ซึ่งผู้วาดคงจะหมายความว่าทรงแบกภาระของประเทศไว้ทั้งประเทศ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทูลถาม “ พระองค์ท่าน ” ว่า “ หนักไหม ” ทรงทำพระพักตร์เครียดแล้วทรงตอบว่า “ หนักมาก ” อีกภาพหนึ่งมีคนมากมายอยู่ในภาพ ตรงมุมภาพมีคนตัวเล็กๆ อยู่ในครอบครัว “ พระองค์ท่าน ” ทรงสะกิดให้พระราชธิดาทอดพระเนตร แล้วรับสั่งว่า “ นี่คนเล็กอยู่ที่นี่ ” ทรงชี้ที่องค์พระราชธิดาและคนเล็กๆ ที่อยู่ในภาพ มาถึงภาพที่มีคนวิจารณ์ว่า พระเสโท ( เหงื่อ ) มากก็รับสั่งว่า “ ฝนตก ” มีอยู่ภาพหนึ่งเป็นภาพ “ พระองค์ท่าน ” ทรงช้าง ท่านแย้มพระสรวลแล้วรับสั่งว่า “ เคยขี่หนเดียวที่ภูกระดึง ”

รูปวาดฝีมือเด็กอีกรูปหนึ่งเป็นภาพดอย มีผีอยู่บนดอย และพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านอยู่เหนือเมฆเหนือผีอีกทีหนึ่ง “ พระองค์ท่าน ” รับสั่งว่า “ ชาวเขาเขาว่าพระเจ้าอยู่หัวต้องอยู่เหนือผี ”

เรื่องที่ 12
เมื่อน้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี พ.ศ.2526 สุวิชา (2539 : 29) เขียนไว้ดังนี้

“ ไปที่บางขุนเทียน รถไปจอดเทียบท่า แล้วก็ลงไปยืนที่ท่าแคบๆ ไม่กว้างหรอกนะ ท่านี่น่ะ ยืนดูอะไรๆ อยู่ ได้ยินเสียงปู้นๆ มาแล้ว เราเพิ่งรู้ว่าไปจอดรถบนทางรถไฟ เลยต้องเลื่อนรถให้รถไฟเข้าเทียบท่าแทน คนก็ขึ้นลงกัน คนเขากำลังจะกลับบ้าน โดยสารรถไฟกลับ บางคนมัวแต่มอง คงจะคิดว่าเคยเห็นหน้า มองไปมองมาก็จำได้ว่าเป็น ในหลวงมายืนอยู่ เลยมองใหญ่ มองจนลืมขึ้นรถไฟ รถไฟเลยไปก่อน ก็เลยตกรถไฟ … ลองถามดูว่าแล้วจะกลับบ้านอย่างไรนี่ ก็ตอบว่าคงจะต้องเดินกลับ ท่องน้ำแย่เลย …”

“ ที่บางจากแต่ไม่จากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนๆ ดูแผนที่เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแดงๆ ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมกัน สามร้อยพอดี ยุงร้ายมากจริงๆ นี่ก็ใช้แผนที่ของคุณ … นั่นแหละปัดยุง โบกที่ขา แต่ก็ไม่วายโดนกัด ”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัส เล่าเรื่องเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรน้ำท่วม เพื่อจะพระราชทานพระราชดำริในการแก้ไข

เรื่องที่ 13
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินในพระราชพิธีเปิดสวนหลวง ร 9 มีเรื่องเล่าว่า

“… เมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาถึงสวนนี้ (สวนรมณีย์ทำเป็นสวนน้ำ มีการปลูกต้นไม้น้ำ ปล่อยให้ต้นไม้ขึ้นตามธรรมชาติให้มากที่สุด ให้นกน้ำได้มาอยู่มาอาศัย) ก็ได้มีพระราชกระแสกับท่านองคมนตรีกำธนว่า “ ก็ทำได้ดีนี่ แต่อย่าให้ตื้นเกินไปจนกลายเป็นแหล่งเพาะยุงไปก็แล้วกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นให้เลี้ยงยุง ” ทรงพระสรวลด้วยพระอารมณ์ขัน ” (สุวิชา. 2539 : 97)

เรื่องที่ 14
วิลาส มณีวัตร (2541 : 31-35) เขียนไว้ดังนี้

เรื่องราชาศัพท์นั้น อย่าว่าแต่ชาวบ้านแถวร้อยเอ็ดหรือทุ่งสงเลย ขนาดอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ยังประหม่า ใช้ถูกใช้ผิดเพราะไม่เคยชิน ก็เลยต้องอึกๆ อักๆ แต่มีอยู่คราวหนึ่ง มีพระราชกระแสรับสั่งกับราษฎรในชนบทกลุ่มหนึ่ง และมีผู้ชายอายุขนาดกลางคนผู้หนี่ง กราบบังคมทูลชี้แจงชัดถ้อยชัดคำ ใช้ศัพท์แสงอย่างสูงพอดู พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงรับสั่งถามเป็นทำนองว่า เคยเข้ารั้วเข้าวังที่ไหนอยู่หรือจึงพูดจาใช้ราชาศัพท์คล่องแคล่ว

ชายผู้นั้นกราบบังคมทูลตอบว่า “ ขอเดชะ … พระบารมีปกเกล้าฯ เกล้ากระหม่อมเคยเป็นตัวเอกลิเกมาก่อน พะยะค่ะ ”

ความลับแตกดังโพละออกมาเลย … ทำเอาขบวนตามเสด็จหัวเราะกันครืนไป

เรื่องที่พระราชอารมณ์ขันนี้ ม.ล.ปิ่น มาลากุล เคยเล่าให้ฟังว่า ที่มหาวิทยาลัยประสานมิตรปีหนึ่ง เมื่อพระราชทานปริญญาบัตรเสร็จแล้ว มีพระราชดำรัสแก่ ม.ล.ปิ่นว่า “ วันนี้ฉันได้ให้ปริญญาบัตรไปกี่โล ”

ม.ล.ปิ่น มาลากุล อึกอัก จนด้วยเกล้าฯ เพราะมิได้ให้ปลัดกระทรวงหรืออธิบดีชั่งน้ำหนักปริญญาบัตรไว้ก่อน เพื่อกราบบังคมทูล แต่ในปีต่อมา ในโอกาสเช่นเดียวกันเผื่อเหนียว … อธิการบดีของมหาวิทยาลัย ได้เตรียมพร้อมชั่งน้ำหนักใบปริญญาบัตรจำนวนทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วล่วงหน้า ม.ล.ปิ่น มาลากุล จึงกราบบังคมทูลเสียงดังว่า “ วันนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปริญญาบัตรไปจำนวนทั้งหมด 230 กิโลกรัม ” ในทันทีนั้น ก็มีพระราชดำรัสถาม ม.ล.ปิ่นว่า “ ฉันจะต้องได้อาหารสักกี่แคลอรี่ จึงพอจะชดเชยกับแรงงานที่ได้เสียไป ”

มีอยู่คราวหนึ่ง หลังจากปีนเขาขึ้นไปบนสันเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่ง มีผู้กราบบังคมทูลถามในหลวงว่า ภูเขาลูกใหญ่ที่ปีนเมื่อบ่ายวานซืนกับลูกนี้ลูกไหนจะสูงกว่ากัน

ในหลวงทรงตรัสตอบว่า “ ลูกวานซืนสูงกว่า เพราะฉันเคี้ยวมะขามป้อมถึงห้าลูก กว่าจะถึงยอด … แต่วันนี้เพียงสามมะขามป้อมเท่านั้น ” นี่คือตัวอย่างบางพระอารมณ์ขันของพระองค์

มะขามป้อม (Malccea Tree)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phyllanthus emblica Linn.

แม้แต่ในยามทรงพระประชวร เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม พ . ศ . 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระอาการไข้สูง พระหทัยเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ยังทรงมีพระอารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา
ในฐานะที่เป็นนักดนตรี ได้รับสั่งกับหมอว่าจังหวะการเต้นของพระหทัยนี้ คล้ายๆ กับจังหวะห้าสี่ในทางดนตรี และหลังจากทรงหายประชวรแล้ว ก็ทรงแต่งเพลงแจ๊ส จังหวะห้าสี่ขึ้น เพลงหนึ่ง … ให้ชื่อว่า High Fever!

ในระหว่างถวายการรักษานั้น คณะแพทย์ต้องเจาะพระโลหิตกันเกือบทุกวัน วันละ 50 ถึง 100 ซี.ซี. ขณะที่ทรงพระประชวรนั้น มีพระทัยตั้งสมาธิแน่วแน่ พระอารมณ์แจ่มใสได้ทรงล้อเลียนคณะแพทย์เมื่อพระอาการทุเลาลงแล้ว โดยทรงรับสั่งว่า คณะกรรมการแพทย์ชุดนี้ รักษาพระอาการแบบโบราณโดยที่ไม่ถวายพระโอสถเลย … แต่ใช้วิธีสูบเลือดออก

พระราชอารมณ์ขันจงเจริญ

2. แม้เป็นเรื่องเล่าขานมานานช้า แต่ปวงข้าฯ คะนึงนิตย์จิตแจ่มใส

เรื่องที่ 1

พระโคในงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในปี พ.ศ.2503 ซึ่งเป็นปีแรกที่ ได้โปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าจักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ พระยศสมัยนั้น ( ปัจจุบันได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธุ์เพ็ญศิริ ) เป็นอธิบดีกรมการข้าวและเป็นพระยาแรกนา และกรมการข้าวเป็นแม่งาน ทางกรมปศุสัตว์ได้จัดพระโคคู่พันธุ์ขาวลำพูนซึ่งเป็นโคพื้นเมืองสีขาว เมื่อเริ่มพิธี บรรดาช่างภาพได้แห่กันเข้ามาถ่ายรูประยะใกล้ และใช้แฟรชกันจำนวนมาก ทำให้พระโคทั้งสองซึ่งไม่ได้รับการฝึกเทียมคันไถมาก่อน ตื่นตระหนกวิ่งหลุดจากคันไถ ทำให้เจ้าพนักงานต้องทำหน้าที่ลากไถแทนจนจบพิธีครบทั้ง 9 รอบ ในปีต่อมา กรมปศุสัตว์จึงนำพระโคที่จะเข้าพระราชพิธีไปเลี้ยงบำรุงอย่างดี และฝึกไถนาจนคล่องและยังได้ฝึกพระโคอีกคู่หนึ่ง เพื่อเป็นพระโคสำรองสำหรับพระราชพิธีดังกล่าว

พระราชพิธีพืชมงคล
จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

จากหนังสือ “ พระผู้ทรงเอื้ออาทรต่อสรรพชีวิต ” มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาสัตวแพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2544 บรรยายโดย ฯพณฯองคมนตรี นายอำพล เสนาณรงค์ พ.ศ.2543 (2544 : 18)

เรื่องที่ 2 : เมื่อเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกา
ม.จ.หญิงวิภาวดี รังสิต ( พระยศในขณะนั้น ) ทรงพระนิพนธ์เกี่ยวกับการเสด็จฯเยือนรัฐฮาวายดังนี้
เมื่อเสวยเสร็จ มิสเตอร์คิลลิงฮำก็ลุกขึ้นกราบบังคมทูลที่โต๊ะ ทูลยังไม่ทันจบก็เดินไปยืนคาประตูพูดต่อไป แล้วไปไงมาไงเลยเดินออกไปพูดที่เฉลียง สักครู่กลับเข้ามาพูดต่อในห้อง คำกราบบังคมทูลก็เลยขาดเป็นตอนๆ แต่ก็พอจะสรุปได้ว่าท่านเศรษฐีพูดถึงการเมืองและโลกมนุษย์ว่าร้ายเลวลงทุกที พระราชดำรัสตอบปลอบแกว่าอย่านึกถึงแต่สิ่งร้ายๆ เลย สิ่งดีๆ คนดีๆ ในโลกมีถมเถไป แล้วทรงดื่มพระราชทานพรท่านเศรษฐีและภริยา ภริยาท่านเศรษฐีฟังพระราชดำรัสแล้วซาบซึ้งมาก แต่ท่านเศรษฐีดูเหมือนหูจะตึง ไม่ค่อยได้ยิน เลยก้มลงไปบ่นพึมพำกับหมาตัวใหญ่ของแก เจ้าหมาก็อุตส่าห์เงยหน้าขึ้นทำท่าฟัง หญิงเป็นคนที่เส้นตื้น เกิดเห็นขันขึ้นมาต้องกลั้นหัวเราะแทบแย่ (วิภาวดี รังสิต , ม.จ. 2503 : 2)

เรื่องที่ 3
ม.จ.วิภาวดี รังสิต ทรงพระนิพนธ์เรื่องพระองค์รับช่อดอกไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงรับมาจากผู้เข้าเฝ้า

“ ดอกไม้ที่เมืองนี้เขาถวายกันช่อใหญ่ๆ อย่างคืนนั้นก็มีใครคนหนึ่งถวายกุหลาบ ( แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ) กี่โหลไม่ทราบเป็นช่อใหญ่ยาวเฟื้อยหนักอึ้งทีเดียว รับจากพระหัตถ์แล้วมองไม่เห็นทาง ยิ่งมีตั้ง 3 ช่อ ดูผาดๆ คงเหมือนต้นกุหลาบมีดอกเต็มเดินได้ ” ( วิภาวดี รังสิต, ม.จ. 2503 : 24)

เรื่องที่ 4
ม . จ . ภีศเดช รัชนี ทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือ “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และโครงการหลวง ” เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเนื่องในพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เรื่องปลากระโห้ที่พระตำหนักจิตรลดา

“ วันหนึ่งทรงไมโครมดลำสีเขียวในคลอง ติดกับทุ่งเลี้ยงวัวของสวนจิตร เมื่อเรือแล่นไปทางฝั่ง มีวัวมายืนอออยู่หลายตัว มีรับสั่งว่าวัวนึกว่าเรือสีเขียวเป็นหญ้าจะมากิน

อีกตอนหนึ่งมีปลามาชนไมโครมดพระที่นั่งกระเทือนไปทั้งลำ ทรงคิดว่าถึงแม้เรือจะเล็กก็ตาม ( ยาวไม่ถึง 8 ฟุต ) แต่ปลาจะต้องใหญ่มาก จึงรับสั่งกับคุณปรีดา กรรณสูตร อธิบดีกรมประมงสมัยนั้น อธิบดีจัดการลงแหจับได้ปลากะโห้ซึ่งแทบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว จึงเป็นที่ตื่นเต้นกันมากในวงการปลา และคุณปรีดาได้รับพระราชทานทินนามเป็นการภายในว่า ปลัดกะโห้ เมื่อเลื่อนเป็นปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ” (2531 : 23)

เรื่องที่ 5 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับคุณ ๆ ขา เรื่องนี้ยาวหลายตอนจบ เล่าโดยนายสัตวแพทย์

ภายในบริเวณพระราชวัง พระตำหนักสวนจิตรลดาฯ นอกจากจะเป็นที่ก่อกำเนิด โครงการในพระราชดำริซึ่งเอื้ออำนวยประโยชน์สุขให้กับคนไทยทั้งประเทศอย่างมากมายแล้ว พระราชวังแห่งนี้ยังเป็นที่พำนักของบรรดา “ คุณ ” ทั้ง 34 ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างความเกษมสำราญให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9

เรื่องราวของแต่ละ “ คุณ ” ล้วนแต่ช่วยให้ทราบถึงน้ำพระทัยเมตตาและพระอารมณ์ขัน รวมทั้งพระอัจฉริยภาพทางภาษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นที่เคารพรักของปวงชนชาวไทยให้เด่นชัดขึ้น

ตอนที่ 1 เช้าวันใหม่ที่สดใส … ของ “ คุณมะลิ ”
แต่เดิมนั้นภายในพระตำหนักสวนจิตรลดาฯ เคยมี “ คุณๆ ” เพียงแค่ 4 คือ “ คุณสุดหล่อ ” “ คุณหมามุ่ย ” สุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยน กับ “ คุณซูซี่ ” และ “ คุณคุ้กกี้ ” ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ค้อกเกอร์ สแปเนียล

วันหนึ่ง … หมาขี้เรื้อนขนยาวสีขาวข้างถนน ซึ่งเคยเรียกว่า “ อีมะลิ ” ก็มุดหลุดลอดเข้ามาภายในบริเวณกรงของ “ คุณๆ ” ในช่วงระยะที่กำลังเป็นสัด พร้อมที่จะผสมพันธุ์ “ คุณสุดหล่อ ” กับ “ คุณหมามุ่ย ” ก็เลยขึ้นไปผสม

กระทั่งเจ้าหน้าที่ภายในวังมาเห็น “ อีมะลิ ” เข้าจึงจับไปส่งให้กทม .
เมื่อความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรับเมียของ “ คุณสุดหล่อ ” กับ “ คุณหมามุ่ย ” กลับมาเลี้ยงดู มะลิก็เลยได้รับการเลื่อนฐานะ จากที่เคยเรียกกันว่า “ อีมะลิ ” หมาจรจัดข้างถนน กลายเป็น “ คุณมะลิ ”

ในช่วงระยะที่นำ “ คุณมะลิ ” กลับมาเลี้ยงดูฟูมฟักเพื่อให้หายจากการเป็นขี้เรื้อน โดยฝากไว้ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ “ คุณมะลิ ” ก็เริ่มเปล่งปลั่งขึ้น ขี้เรื้อนหายไปและปรากฏว่า “ คุณมะลิ ” ตั้งท้องและได้คลอดลูกออกมาทั้งหมด 9 ตัว ซึ่งเป็นลูกของ “ คุณสุดหล่อ ” กับ “ คุณหมามุ่ย ” ( เนื่องจาก “ คุณสุดหล่อ ” กับ “ คุณหมามุ่ย ” เป็นสุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยนทั้งคู่ และยังผลัดกันผสม ก็เลยดูไม่ออกว่าเป็นลูกใคร )

คุณหมอนพกฤษณ์ จันทิก นายสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นนายแพทย์ซึ่งร่วมดูแลสุนัขของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับทีมนายสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เล่าว่า

หลังจาก “ คุณมะลิ ” คลอดลูกได้ครบ 1 อาทิตย์ โรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ส่ง “ คุณมะลิ ” และลูกๆ กลับเข้าวัง ซึ่งครอบครัวของ “ คุณมะลิ ” ก็ได้สร้างความเกษมสำราญให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างมาก

นายสัตวแพทย์นพกฤษณ์ เล่าว่า “… พอมีลูกสุนัข 9 ตัวเข้ามาอยู่ในวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็คงจะทรงพระเกษมสำราญขึ้นมาก เสด็จพระราชดำเนินมาทรงถ่ายรูปลูกสุนัขทั้ง 9 ด้วยพระองค์เองทุกวัน

… ตอนช่วงที่ลูกหมาคลอด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงละเอียดมาก มีรับสั่งให้จดวันที่และเวลา เป็นนาทีนะครับ รวมทั้งชั่งน้ำหนักแรกคลอด ถวายรายงานให้พระองค์ท่านทราบ

… หลังจากนั้นก็ต้องชั่งน้ำหนักถวายรายงานพระองค์ท่านทุกวัน ”

แม้กระทั่งภายหลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานลูกๆ ของ “ คุณมะลิ ” ให้กับข้าราชบริพาร ที่ทรงเลือกสรรว่ารักสุนัขจริงๆ ไปแล้ว ก็ยังมีรับสั่งด้วยความเป็นห่วงให้ถ่ายรูปลูกหมาส่งมา และให้ชั่งน้ำหนักลูกหมามาถวายรายงานให้พระองค์ท่านทราบอย่างน้อยเดือนละครั้ง

ตอนที่ 2 “ คุณทองแดง ” … สุนัขประจำรัชกาล
หลังจากที่ “ คุณมะลิ ” มีลูกเล็กๆ ได้ไม่นาน “ คุณทองแดง ” ลูกสุนัขเทศ ( ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงย่อมาจากคำว่า “ เทศบาล ”) ก็ได้เข้ามาอยู่ในพระราชวัง พระตำหนักสวนจิตรลดาฯ บ้าง

แต่เดิม “ คุณทองแดง ” เป็นลูกของ “ นังแดง ” สุนัขจรจัดบริเวณถนนพระราม 9 โดยมีนายแพทย์คนหนึ่งนำ “ ทองแดง ” มาทูลเกล้าฯ ถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทอดพระเนตร เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดศูนย์การแพทย์พระราม 9

เมื่อทอดพระเนตร “ ทองแดง ” แล้วก็มีรับสั่งว่า ให้นำเข้ามาเลี้ยงเพราะ “ นังแดง ” แม่ของ “ ทองแดง ” ในเวลานั้นมีสภาพโทรมมาก ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงยก “ คุณทองแดง ” ให้เป็นลูกเลี้ยงของ “ คุณมะลิ ” เพราะ “ คุณทองแดง ” ในเวลานั้นอายุน้อยกว่าลูกๆ ของ “ คุณมะลิ ” แค่วันเดียว ซึ่ง “ คุณมะลิ ” ก็ต้อนรับลูกใหม่เป็นอย่างดี ไม่มีความรังเกียจ และรัก “ คุณทองแดง ” เหมือนลูกของตัวเอง

จากที่เคยมีลูกสุนัข 9 ตัว “ คุณมะลิ ” จึงต้องให้นมลูกถึง 10 ตัว เนื่องจาก “ คุณมะลิ ” แข็งแรง มีอาหารการกินดี จึงทำให้มีน้ำนมเพียงพอสำหรับการเลี้ยงลูกทั้ง 10 ได้ ”

นายแพทย์นพกฤษณ์เล่าว่า “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงชื่นชม “ คุณมะลิ ” ในฐานะที่เป็นแม่หมาตัวอย่างอยู่บ่อยๆ เพราะไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์ลูกหมาอย่าง “ คุณทองแดง ” ซึ่งไม่ใช่ลูกของตัวเองเลย ”

… ในบางครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงใช้เรื่องของ “ คุณมะลิ ” มาเป็นคติสอนคนหลายๆ คน

จากที่เคยเป็นลูกหมาจรจัด พี่น้องถูกรถทับตายไปวันละตัวสองตัว “ คุณทองแดง ” ก็เข้ามาอยู่ในวัง ส่วน “ นังแดง ” แม่ของคุณ “ ทองแดง ” ต่อมาก็มีผู้รับไปเลี้ยงดูฟูมฟัก

เมื่อเข้ามาอยู่ในวัง “ คุณทองแดง ” ก็เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องจากเป็นสุนัขที่ชาญฉลาดมาก

นายแพทย์นพกฤษณ์เล่าต่อว่า “ ความฉลาดของ “ คุณทองแดง ” ก็เช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรียกให้คุณทองแดงขึ้นเฝ้า เพื่อที่จะทรงชั่งน้ำหนัก แค่เพียงรับสั่งว่าทองแดงไปชั่งน้ำหนัก “ คุณทองแดง ” ก็จะเดินขึ้นตาชั่ง หากตัวของ “ คุณทองแดง ” บังอยู่ “ คุณทองแดง ” ก็จะเบี่ยงตัวให้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงก้มลงทอดพระเนตรสเกลได้สะดวก ”

… หรืออย่างเวลาที่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่พระตำหนักเปี่ยมสุข พระราชวังไกลกังวล และนำคุณๆ ไปด้วย

… เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงมาเพื่อทรงออกกำลัง ตรงถนนบริเวณชายหาดซึ่งมีต้นมะพร้าวอยู่ เพียงรับสั่งว่าอ้อมต้นมะพร้าว “ คุณทองแดง ” ก็จะวิ่งอ้อมต้นมะพร้าวทันที โดยไม่ต้องมีการสอน ในขณะที่คุณอื่นๆ จะวิ่งเล่นสนุกสนานตามประสา

… และเมื่อวิ่งอ้อมต้นมะพร้าวไปสักครึ่งต้น คุณทองแดงก็จะหยุดหันมามอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหมือนจะถามว่าถูกไหมเพคะ ทำนองนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9  ทรงพยักพระพักตร์ หลังจากนั้นคุณทองแดงก็จะเดินหรือวิ่งต่อ

… แล้วคุณทองแดงเป็นสุนัขที่ไม่เข้ามาเคลียคลอพระองค์ท่าน เวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนิน คุณทองแดงจะนำเสด็จอยู่หน้าพระองค์ท่าน … เวลาพระองค์ท่านประทับนั่ง คุณทองแดงก็จะนั่งหมอบอยู่ด้านหน้า ใช้สองขาหน้าเกยกันเหมือนคนกำลังหมอบคลาน เป็นท่านี้ตลอด แล้วหันหน้าออกไปด้านนอก คอยระแวดระวังด้านนอกอย่างเดียว

“ คุณทองแดง ” จึงได้รับการตั้งฉายาว่าเป็น “ สุนัขประจำรัชกาล ”

ตอนที่ 3 คุณทองแท้ คู่ของ คุณทองแดง
เมื่อทรงได้คุณทองแดงมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงเกิดความสนพระทัยสุนัขพันธุ์บาเซนจิ (Basenji) ซึ่งมีหน้าตาละม้ายเหมือนกับ ” คุณทองแดง

สุนัขพันธุ์บาเซนจินี้มีต้นตระกูลเดิมอยู่ในแอฟริกากลาง ต่อมาจึงมีผู้นำข้ามน้ำข้ามทะเลเข้าไปในยุโรปและอเมริกา คาดกันว่าสุนัขพันธุ์นี้น่าจะเป็นสุนัขที่มีมาแต่ยุคอียิปต์โบราณ (เราจะเห็นรูปบาเซนจิได้จากรูปสลักที่ปรากฏอยู่บนผนังปิรามิด ที่มีหัวเป็นสุนัขและตัวเป็นคน หัวสุนัขนั่นแหละคือสุนัขพันธุ์บาเซนจิ)

นายสัตวแพทย์นพกฤษณ์ กล่าว ว่า “ วันหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปิดหนังสือ แล้วพบว่าสุนัขพันธุ์บาเซนจิ นี่หน้าตาเหมือนคุณทองแดง ทรงเห็นว่าน่าจะมีความใกล้เคียงของสายพันธุ์ ”

… แต่คุณทองแดงนี่เป็นสุนัขพันธุ์โตหน่อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานชื่อพันธุ์ให้จากที่เคยมีการรับสั่งเล่นๆ ว่าเป็นพันธุ์ธาวซันด์เวย์ (Thousand ways) แปลตรงๆ ว่า พันธุ์ทางบ้าง พันธุ์มิดเดิ้ลโรด (Middle Road) พันธุ์กลางถนนบ้าง ก็กลายเป็นสุนัขไทยพันธุ์ซุปเปอร์บาเซนจิ

… และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระทัยเรื่องอะไรแล้ว พระองค์จะทรงค้นคว้าอย่างจริงจังมาก อย่างเรื่องบาเซนจินี่ทรงสนพระทัยจนแทบจะทรงเขียนซีดีรอมได้เรื่องหนึ่งแล้ว

… วันหนึ่งผมก็ไปเจอสุนัขพันธุ์บาเซนจิที่ประเทศเยอรมัน ก็เลยนำมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานชื่อว่า “ คุณทองแท้ ”

แต่เนื่องจาก “ คุณทองแท้ ” เข้าเมืองไทยมาเมื่ออายุ 8 เดือน เป็นสุนัขที่โตแล้ว “ คุณทองแท้ ” จึงค่อนข้างเป็นสุนัขขี้ตื่น เวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกให้เข้าเฝ้า ก็จะหลบตื่นกลัวมาก ชอบหลบไปมุดอยู่ตามใต้โต๊ะใต้เก้าอี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีรับสั่งว่า ตอนนี้เปลี่ยนชื่อแล้วจาก “ คุณทองแท้ ” เป็น “ คุณไอ้มุด ”

จากนั้นมา “ คุณทองแดง ” เลยมีคู่หมายใหม่ จากแต่เดิมเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยกให้เป็นคู่หมายกับ “ คุณทองดำ ” ลูกของคุณมะลิ เมื่อมี “ คุณทองแท้ ” เข้ามา “ คุณทองแดง ” จึงกลายเป็นคู่หมายของ “ คุณทองแท้ ” แทน “ คุณทองดำ ” ลูกของ “ คุณมะลิ ”

ตอนที่ 4 เรื่องของ …… “ คุณหลวงแจ่ม ภักดี ”
ครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จ แปรพระราชฐานไปประทับที่พระตำหนัก เปี่ยมสุข พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน เจ้าหน้าที่ก็นำชาวบ้านในละแวกนั้นพร้อมกับ สุนัขพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดตัวหนึ่งมาเข้าเฝ้า

เจ้าของสุนัขพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ด ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถวายสุนัขเซนต์เบอร์นาร์ดตัวนั้น แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เพราะเจ้าเซนต์เบอร์นาร์ดซึ่งมีชื่อว่า “ เซอร์เจมส์ ” ตัวนี้ ชอบหนีเข้ามาแอบนอนในพระตำหนัก และทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่ในวังเห็นก็จะพากลับไปส่งเจ้าของซึ่งอยู่ใกล้ๆ พระราชวัง แต่ไม่ช้าไม่นานเจ้าเซอร์เจมส์ก็จะแอบเข้ามานอนในพระตำหนักที่เย็นสบายอีก

เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่ 3-4 ครั้ง จนในที่สุดเจ้าของ “ เซอร์เจมส์ ” จึงตัดสินใจนำ “ เซอร์เจมส์ ” ซึ่งดูท่าจะมีความจงรักภักดีต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นแน่แล้ว มาทูลเกล้าฯ ถวาย

กิตติพันธ์ ศรีสวัสดิ์ (2547 : 322-323) ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารพลอยแกมเพชร ฉบับที่ 310 เดือนธันวาคม 2547 ถึงที่สุดแห่งความปลาบปลื้มของครอบครัว “ ศรีสวัสดิ์ ” เรื่องหลวงแจ่มภักดี ว่า “ …เมื่อก่อนที่บ้านมีหมา พันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดชื่อ เจ้าเจมส์ แม่ไปซื้อมาด้วยความไม่รู้ว่าเซนต์เบอร์นาร์ดพอโตแล้วจะขนาดไหน ตอนไปซื้อเห็นเป็นลูกหมาน่ารักดี …. เสร็จแล้วเอามาเลี้ยง เจ้าเจมส์ก็จะซนมาก จะวิ่งเข้าวิ่งออกกหัวซอยท้ายซอย แล้วรั้ววังไกลกังวลจะอยู่หน้าบ้านพอดี เป็นรั้วลวดหนามธรรมดา แล้วมีช่องเปิดอยู่ เจ้าเจมส์ก็จะมุดเข้าไป แล้วไปทำความรู้จักกับพวกทหารยามหมดเลย เขาก็ชอบว่ามันน่ารัก … แล้วเจ้าเจมส์ก็ค่อยๆ เข้าไปอยู่ในครัวไปรู้จักพ่อครัว เขาก็จะให้มันกินสเต็ก พอไปเจอในครัวมีทุกอย่าง มันก็ชอบ ก็ไปทุกวันเลย

…ทีนี้ในหลวงท่านทรงเลี้ยงตัวเล็กๆ เอาไว้ประมาณ 10 กว่าตัว เจ้าเจมส์ก็จะไปวิ่งเล่นกับเขา แล้วกลายเป็นหัวโจกไปเลยเพราะตัวใหญ่กว่าเพื่อน พวกตัวเล็กๆ ก็จะกระโดดงับหูงับหางบ้าง เสร็จแล้วมันก็ไม่โกรธ ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดี …. ในหลวงท่านทรงเห็น ก็เอ็นดู มันก็ได้เข้าไปวิ่งเล่นอยู่ในตำหนักด้วย …ทีนี้วันหนึ่งมหาดเล็กเขาก็มาบอกที่บ้านว่า “ ป้า — เดี๋ยวช่วยเก็บเจมส์ไว้ที่บ้านหน่อยได้มั๊ย วันนี้ท่านไม่ค่อยสบาย กลัวเจมส์วิ่งขึ้นตำหนักแล้วจะรบกวน ท่านจะบรรทมไม่ได้ ”

… แม่ก็เลยเก็บใส่กรงไว้ ไม่ให้ออก พอซักพักหนึ่ง มหาดเล็กก็วิ่งกลับมาบอกว่า “ ป้าครับ ขอยืมคุณเจมส์หน่อยครับ ” แม่ก็ถามว่า ทำไมเหรอ … เขาบอกว่า “ วันนี้ท่านรับสั่งถามหา ว่าวันนี้หมาตัวใหญ่ไปไหน ” …แม่เลยบอกว่าจะเอาตัวไปถวาย …มหาดเล็กไปแล้ว ก็กลับมาบอกว่า เดี๋ยว 5 โมงนี่เข้าเฝ้าเลยนะครับ … ก็ได้ถวายวันนั้นเลย …ตอนนั้นเจมส์ซักขวบหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นหลวงแจ่มภักดีไปแล้ว มีลูกหลาน 12 ตัว… ”

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับไว้ และพระราชทานชื่อให้เซอร์เจมส์ใหม่ ทรงมีรับสั่งว่า “ เมื่อเข้ามาเป็นสุนัขของพระมหากษัตริย์ไทย ก็น่าจะมีชื่อเป็นไทยๆ ”

จากที่เคยเป็น เซอร์ ( ชื่อยศขุนนางอังกฤษ ) ก็ทรงเปลี่ยนเป็น “ คุณหลวง ” และจาก “ เจมส์ ” ก็ทรงเปลี่ยนกลายเป็น “ แจ่ม ” เซอร์เจมส์จึงเข้ามาอยู่ในวัง พร้อมกับได้ชื่อพระราชทานใหม่ว่า “ คุณหลวงแจ่ม ” และได้พระราชทานนามสกุลให้ด้วยว่า “ ภักดี ”

นอกจาก “ คุณหลวงแจ่ม ” มีนามสกุลแล้ว “ คุณทองแดง ” ก็มีนามสกุลเหมือนกัน นามสกุลของ “ คุณทองแดง ” นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้ว่า “ สุวรรณชาด ” ( สุวรรณแปลว่าทอง ส่วนชาด แปลว่าแดง )

ชื่อของคุณๆ จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความมีพระอัจฉริยภาพทางภาษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

อย่างลูกของ “ คุณทองกวาว ” กับ “ คุณทองแท้ ” ซึ่งมีลูกด้วยกันทั้งหมด 9 ตัวนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อให้เป็นชื่อต้นไม้ ที่มีคำว่า “ ทอง ” ผสมอยู่ทั้งหมด และยังทรงสังเกตลักษณะพิเศษของลูกหมาแต่ละตัวเพื่อทรงนำมาใช้ในการตั้งชื่อด้วย เช่น

“ คุณทองมีดขูด ” เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อนี้ให้ เพราะคุณทองมีดขูดเป็นลูกหมาตัวแรกในท้องคุณทองกวาวที่ต้องใช้มีดผ่าออกมา ในขณะที่พี่ๆ อีก 2 ตัวคือ “ คุณทองพันดุลย์ ” กับ “ คุณทองพันช่าง ” นั้นคลอดเองตามธรรมชาติ

หรืออย่างคุณ “ สร้อยทอง ” หรือ “ คุณทองเปี๊ยก ” นั้นก็ได้ชื่อพระราชทานนี้มา เพราะมีขนาดตัวเล็กที่สุดกว่าบรรดาพี่น้องในท้องเดียวกัน

ส่วนลูกหมาตัวสุดท้องในครอกนี้ ได้ชื่อพระราชทานว่า “ คุณทองเจิม ” เพราะมีขีดขาวๆ ที่จมูก ต่อขึ้นมาถึงหน้าผาก เป็นรูปลิ่ม และมีจุดสีดำอยู่บนหัวเหมือนมีใครมาเจิมไว้

สำหรับลูกของ “ คุณทองแดง ” กับ “ คุณทองแท้ ” ซึ่งคลอดออกมาทั้งหมด 9 ตัว เป็นครอกที่สามนั้น ได้พระราชทานชื่อให้เป็นชื่อของขนมซึ่งมีคำว่า ทอง ผสมอยู่ด้วยทั้งหมดเช่นกัน คือ คุณทองชมพูนุช คุณทองเอก คุณทองม้วน คุณทองทัด คุณทองพลุ คุณทองหยิบ คุณทองหยอด คุณทองอัฐและคุณทองนพคุณ

หากจะพระราชทานสุนัขตัวใดกับใครไป ก็มิได้พระราชทานโดยง่าย จะทรงคัดสรรเป็นอย่างดีว่าผู้ที่ได้รับพระราชทานสุนัขไปจะสามารถเลี้ยงดูสุนัขได้เป็นอย่างดี

และคำว่าเป็นอย่างดีในความหมายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ดีอย่างพอเพียง ดังนั้นความเป็นอยู่ของบรรดาคุณๆ ในวังแม้จะสะดวกสะบาย กินอิ่ม มีสุขภาพพลานามัยดี มีครูฝึกของกองทัพอากาศมาฝึกอบรมให้จนบรรดาคุณๆ สามารถ ยืน นั่ง หมอบ คอย และสวัสดีสองขาได้

แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็ไม่โปรดให้คุณๆ ใช้ของแพง หรือว่าหรูหราแต่อย่างใด คงใช้ของใช้เช่นเดียวกับสุนัขทั่วๆ ไป

นายสัตวแพทย์นพกฤษณ์กล่าวว่า “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งเสมอในเรื่องของความพอเพียง กระทั่งเรื่องของการเลี้ยงดูสุนัขก็รับสั่งว่าต้องเลี้ยงอย่างพอเพียงเช่นกัน ”

3. พรปีใหม่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จะพระราชทานพรปีใหม่แก่พสกนิกรชาวไทยทางวิทยุและโทรทัศน์เป็นประจำอยู่ทุกปี ส.ค.ส. พระราชทานแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2529 ซึ่งเป็น ส.ค.ส. พระราชทานสำหรับปี 2530 ดังที่ได้รวบรวมเสนอตั้งแต่ปี พ.ศ.2531 ถึงปัจจุบันดังนี้

ส.ค.ส. ฉบับแรกบริเวณรอบ ๆ ส.ค.ส. ไม่มีการตกแต่งลวดลายใด ๆ ข้อความที่ปรากฏอยู่ มีใจความสั้น กระชับ โดยแรกเริ่ม ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ ได้พระราชทานให้แก่เฉพาะหน่วยงาน เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องที่ทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท โดยทรงพิมพ์ ออกจากคอมพิวเตอร์ และแฟกซ์พระราชทานไปยังหน่วยงานต่างๆ

นับแต่นั้นมาพระองค์ก็ได้พระราชทาน ส.ค.ส. เรื่อยมาทุกปีโดยทุกข้อความที่ปรากฏอยู่ใน ส.ค.ส. พระราชทานแต่ละปี จะประมวลขึ้นจากสภาพเหตุการณ์บ้านเมือง โดยมุมหนึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ที่ประเทศชาติต้องประสบในรอบระยะ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถึงแม้ว่าคำอวยพรดังกล่าวจะเป็นเพียงถ้อยคำสั้น ๆ แต่ก็มากด้วยคุณค่า ความหมายและคติเตือนใจ ที่มุ่งเน้นในการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนชาวไทยมีขวัญ กำลังใจ ต่อสู้ และฝ่าฟันอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าอย่างไม่ย่อท้อ รูปแบบของ ส.ค.ส. พระราชทาน จากปีแรกซึ่งยังไม่มีการตกแต่งลวดลายใด ๆ เรื่อยมาจนถึงช่วงระหว่างปี 2532-2537 ได้เริ่มมีการประดับประดาเป็นรูปทรง ส.ค.ส. มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลายเส้นตรง เส้นเฉียง รูปดาวต่าง ๆ เก๋ไก๋ จนกระทั่งปี 2538 เป็นต้นมา ลวดลายที่ปรากฏจะยากขึ้นตามลำดับ มีภาพเครื่องดนตรีหลากชนิด ภาพหัวใจ ภาพประกอบในพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากฝีพระหัตถ์แห่ง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทั้งสิ้น

เป็นที่ทราบกันดีว่า ส.ค.ส. พระราชทานทุกปี ล้วนมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นโดยตรงจากข้อความ จากลวดลาย หรือแม้กระทั่งสีสันที่ปรากฏ ซึ่งเราสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ส.ค.ส. ที่พระองค์พระราชทานในแต่ละปี ล้วนเป็นสีขาว – ดำ ซึ่ง เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการสะท้อนให้คนไทย ได้เห็นถึงตัวอย่างของความประหยัด มัธยัสถ์ สิ่งของหลาย ๆ สิ่งแม้จะไม่มีสีสันดึงดูดตา แต่ก็มากมายด้วยความหมาย พระองค์พยายามทำทุกสิ่ง ให้เกิดประโยชน์ตลอดเวลา ทรงรักความเรียบง่าย ยึดมั่นในความหมาย และคุณค่าของสรรพสิ่งเป็นที่ตั้ง มากกว่าจะมองกันที่ความสวยงาม ฟุ้งเฟ้อ