พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
บทที่ 14 พระราชกรณียกิจด้านสาธารณสุข ด้านสมุนไพร และพระราชจริยวัตรทางด้านพละศึกษา และนันทนาการ
1. พระราชกรณียกิจด้านสาธารณสุข
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชสมภพในพระราชวงศ์ที่ทรงผูกพันกับการสาธารณสุขโดยแท้ เพราะพระบรมราชชนกทรงเป็นแพทย์ และพระบรมราชชนนีทรงเป็นพยาบาล ที่สำคัญคือพระบรมราชชนกนั้นได้ทรงอุทิศพระองค์เพื่อการพัฒนาการแพทย์ของไทยจนมีความเจริญก้าวหน้า และมีรากฐานมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้ จนทรงได้รับพระสมัญญาว่าเป็น “ พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย ”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับสมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี ด้วยทรงเห็นว่า “… ประชากรเป็นทรัพยากรที่สำคัญยิ่งของชาติ… ” จะเห็นได้ว่าพระราชกรณียกิจอันก่อให้เกิดโครงการต่างๆ มากมายนั้น ทรงเน้นและมุ่งมั่นอยู่ 2 ประการเสมอมาคือ “ ความผาสุกของประชาชน และความมั่นคงของประเทศชาติ ” ได้พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์และทรงให้ความสนับสนุนอย่างจริงจัง

หน่วยแพทย์พระราชทาน
เช่นทรงโปรดเกล้าให้จัดตั้งหน่วยแพทย์พระราชทาน ให้บริการรักษาพยาบาลประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดาร การพระราชทานทุนศึกษาวิจัยทางการแพทย์ และในเรื่องของยารักษาโรคนั้นได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ในโครงการต่างๆ เป็นเงินจำนวนมหาศาล ด้วยความห่วงใยในพสกนิกร หลักฐานที่ยืนยันในความห่วงใยนี้มีปรากฏ เช่น เมื่อปี พ.ศ.2493 ได้มีพระราชดำรัสกับหลวงพยุงเวชศาสตร์ อธิบดีกรมสาธารณสุข ในคราวที่วัณโรคมีอุบัติการสูงว่า “… คุณหลวง วัณโรคสมัยนี้มียารักษากัน ได้เด็ดขาดหรือยัง ยาอะไรขาดถ้าต้องการ ฉันจะหาให้อีก ฉันอยากเห็นกิจการแพทย์ ของเมืองไทยเจริญมากๆ … ”
นอกจากนี้ยังทรงเห็นความสำคัญ ของการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตยา และเวชภัณฑ์ได้เองในประเทศ ตัวอย่างพระราชกรณียกิจได้แก่ ในปี พ.ศ.2496 ได้พระราชทานทรัพย์ ส่วนพระองค์แก่สภากาชาดไทยเพื่อสร้างอาคารศูนย์ผลิตวัคซีนบีซีจี ซึ่งก่อนหน้านั้นยังต้องสั่งจากต่างประเทศ กิจการผลิตวัคซีนนี้ได้เจริญก้าวหน้าจนส่งออกจำหน่าย ยังต่างประเทศได้ในเวลาต่อมา
ดังนั้นพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 คือ ทรงมุ่งหวังจะให้ประชาชนของพระองค์อยู่ดีมีสุข มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ ดังคำบรรยายที่ตัดตอนมาจากหนังสือในหลวงกับประชาชน : 45 ปี สถานีวิทยุ อ.ส.พระราชวังดุสิต ซึ่งคุณขวัญแก้ว วัชโรทัยได้บรรยาย (2542 : 859-862) ไว้ดังนี้
“… โรคโปลิโอ
ในปี พ.ศ.2495 เกิดโรคโปลิโอระบาด ภาษาไทยเรียกว่าไข้ไขสันหลังอักเสบ พอเป็นแล้ว จะมีอาการหายใจไม่ออก ต้องใช้ปอดเหล็กช่วย ต้องมาฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ ต้องใช้เครื่องพยุงออกกำลังกล้ามเนื้อด้วยการว่ายน้ำและลงอ่างอาบน้ำอุ่น เพื่อใช้ความแรงของน้ำกระตุ้นกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้นด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน สถานที่ฟื้นฟูบำบัดโรคโปลิโอ พระราชทานพระนามของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ว่า ตึกวชิราลงกรณ์ธาราบำบัด และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิต เชิญชวนประชาชนโดยเสด็จพระราชกุศล หรือพูดง่ายๆ ว่า ทำบุญร่วมกับในหลวง ประชาชนก็หลั่งไหลนำเงินมาทูลเกล้าฯ ถวายมากมายเพื่อใช้ในการบำบัดรักษาจนโรคนั้นหายไป

โรคเรื้อน เป็นโรคที่ระบาดในประเทศไทยตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ในปี พ.ศ.2498, พ.ศ.2499 และปี พ.ศ.2501 กระทรวงสาธารณสุขมีการรณรงค์ควบคุม และรักษาโรคเรื้อนให้สูญหายไปจากประเทศไทยให้ได้ โรคเรื้อนนี้บางท่านอาจจะไม่รู้จักเลย

เสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคารสถาบันราชประชาสมาสัย และเสด็จทอดพระเนตรสัตว์เลี้ยงทดลองของสถาบัน
เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯ ไปทรงวางศิลาฤกษ์สถาบัน ราชประชาสมาสัย ที่บริเวณป้อมปู่เจ้าสมิงพราย อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เสด็จฯ ไปในท่ามกลางของผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อนซึ่งมือกุด เท้ากุด จมูกแหว่ง โรคเรื้อนที่มีอาการมากถึงขนาดมือกุด เท้ากุด ขออธิบายเพิ่มเติมว่าโรคเรื้อนสมัยนั้นเป็นกันมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพราะความแห้งแล้งกันดาร ไปทุกสิ่งทุกอย่างยากที่จะช่วยให้ชีวิตเป็นสุข น่าสงสารเด็กๆ โดยเฉพาะสุภาพสตรีหน้าตาดี จบจากโรงเรียนมัธยม แล้วนิ้วค่อยกุดหายไป บางคนไม่ได้รับการเยียวยาจมูกก็ยุบหายไปอีก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสนับสนุนให้มีการผลิตวัคซีนบีซีจี เพื่อช่วยป้องกันวัณโรค และสามารถใช้ป้องกันโรคเรื้อนได้ด้วย จนโรคเรื้อนค่อยๆ หายไป ด้วยพระบารมีโดยแท้ เราไม่เห็นภาพในสมัยก่อนที่มีขอทานโรคเรื้อนเต็มเมือง ตั้งกันเป็นแก๊งขอทาน ตามนิ้วมือมีน้ำเหลือง แล้วก็ไปไหว้คน หรือไม่ก็ขึ้นรถไฟ ไปงานประจำปีตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เดี๋ยวนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว
อธิบดีกรมอนามัยสมัยนั้นคือ นายแพทย์สวัสดิ์ แดงสว่าง ได้กราบบังคบทูลว่าโครงการโรคเรื้อนนี้ต้องใช้เวลา 12 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระราชกระแสรับสั่งว่าช้าไป ขอให้เร่งรัดให้เร็วกว่านี้อีกได้ไหม คุณหมอบอกว่าจะเร่งรัดให้เหลือ 8 ปีก็ได้ ถ้าหากว่าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสถาบันสำหรับค้นคว้าเกี่ยวกับโรคเรื้อนโดยตรง และสถานที่สำหรับอบรมเจ้าหน้าที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงตกลง ตอนนั้นมีเงินเหลือจากทุนอานันทมหิดลอยู่ 2 แสนกว่าบาท ปรากฏว่าสร้างไปสร้างมา หมดไป 1 ล้าน 2 แสนกว่าบาท ก็พระราชทานทั้งหมด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์อาคารสถาบันราชประ-ชาสมาสัยอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อ พ.ศ.2501 เสด็จฯ ไปทางเรือ เพราะไม่สามารถเสด็จฯ ทางรถยนต์พระที่นั่งได้ สมัยนั้นคนที่อำเภอพระประแดงรังเกียจไม่อยากให้คนโรคเรื้อนเดินผ่านที่ของตน แม้แต่วัดกลางสวนที่อยู่ติดกับสถานพยาบาลโรคเรื้อนพระประแดง แต่เมื่อได้ทราบข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จะเสด็จฯ มาทรงเปิดสถาบันราชประชาสมาสัยเมื่อ พ.ศ.2503 ทางวัดก็ได้จัดการทำถนนอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินทางรถยนต์พระที่นั่ง ทรงเปิดถนนเข้าสู่สถาบันราชประชาสมาสัย แพทย์ เจ้าหน้าที่สถานพยาบาล และคนไข้ก็ได้อาศัยพระบารมีให้ได้รับความสะดวกสบายตั้งแต่นั้นมา
เรื่องโรคเรื้อนเวลาเสด็จฯ ไป มีคนที่เห็นด้วยส่วนหนึ่ง ไม่เห็นด้วยส่วนหนึ่งเพราะกลัวว่าจะทรงไปติดเชื้อ จากพวกนั้น เพราะจากน้ำเหลือง เสมหะ การไอจามของพวกนี้อาจจะติดได้ แต่ทำไมพระเจ้าอยู่หัวยังเสด็จไป เพราะทรงเห็นว่าพวกที่เป็นโรคเรื้อนมีกรรมอยู่แล้ว ก็ทรงเยียวยาทางใจ พระราชทานกำลังใจให้เขาต่อสู้ ให้เขารักษา รัฐบาลก็จัดตั้งนิคมโรคเรื้อนขึ้น ส้มที่อร่อยมาจากนิคมโรคเรื้อนแพร่งขาหยั่ง จันทบุรี เป็นพวกคนไข้โรคเรื้อนที่หายแล้วไปทำ แต่ถ้าเราบอกว่าส้มนี้มาจากแพร่งขาหยั่ง คนก็ไม่ยอมรับประทาน เรารับประทานก็ไม่เป็นอะไร เวลานี้คนที่แพร่งขาหยั่งกลับร่ำรวย

สำหรับเด็กที่เป็นโรคเรื้อน สมัยนั้นเขาแยกลูกจากพ่อแม่ที่เป็นโรคเรื้อน ไปเลี้ยงที่สถานีอนามัยเด็กกลาง จังหวัดนนทบุรี พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงอนาคตเด็กเหล่านี้ว่าจะไม่ได้รับการศึกษา จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงเรียนราชประชาสมาสัยขึ้น ที่อำเภอพระประแดง ที่เป็นโรงเรียนปัจจุบันนี้ ตอนนั้นต้องส่งหมอไปตรวจ และรับแต่เด็กที่เป็นลูกคนโรคเรื้อนที่ปราศจากเชื้อโดยเฉพาะ เพื่อลบปมด้อยว่าเขาเป็นลูกคนโรคเรื้อน คำว่าคนโรคเรื้อนสมัยนั้น น่ากลัว น่ารังเกียจ กว่าโรคเอดส์สมัยนี้ ตามสถิติของกระทรวงสาธารณสุข
สมัยก่อนมีคนเป็นโรคเรื้อน 50 คน ต่อประชากรหนึ่งหมื่นคน ปัจจุบันนี้ผู้ป่วยโรคเรื้อนที่รับการรักษาจนไม่แพร่เชื้อเหลือเพียง 0.9 ต่อประชากรหมื่นคน จากสถิติของนายแพทย์ธีระ รามสูตร ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคเรื้อน แสดงว่าประเทศเราสามารถควบคุมโรคเรื้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
อหิวาตกโรค การแพร่ระบาดของอหิวาตกโรค เมื่อ พ.ศ.2501 และ พ.ศ.2504 จนวัคซีนผลิตไม่ทัน ขาดขวดน้ำเกลือ เครื่องมือในการให้น้ำเกลือ เครื่องอบสำหรับขวดน้ำเกลือก็ไม่มี
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงทราบ ก็ทรงบอกบุญให้ประชาชนได้มีส่วนโดยเสด็จพระราชกุศล เพื่อซื้อหา เครื่องไม้เครื่องมือเหล่านี้ (ในคราวแรกนั้นการฉีดวัคซีนป้องกัน และรักษาผู้ป่วยเป็นไปไม่สะดวกเพราะประชาชนไม่เข้าใจ จึงโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์ฉีดวัคซีนถวายแด่พระองค์เป็นประถมเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ราษฎร)

อหิวาตกโรคก็หายไป ด้วยพระบารมีอีก มีเงินเหลือจากทุนปราบอหิวาตกโรค ได้พระราชทานแก่กรมวิทยาศาสตร์ กองทัพบก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อจัดหาอุปกรณ์ผลิตยารักษา และจัดพิมพ์เอกสารเรื่อง การป้องกันอหิวาตกโรคออกเผยแพร่ และในปีพ.ศ.2502 ได้พระราชทานเรือยนต์ชื่อ “ เวชพาหน์ ”
ซึ่งมีเครื่องมือพร้อมเพื่อเดินทางไปช่วยรักษาประชาชนตามริมแม่น้ำลำคลองและเมื่อมีโอกาสก็จะเสด็จฯไปเยือน หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ซึ่งเคลื่อนย้ายไปปฏิบัติงานในที่ต่างๆ ด้วย สถานเสาวภา สภากาชาดไทย ทราบเรื่องจึงได้ขอพระราชทานเงินไปขยายหน่วยบริการโลหิต เพราะว่า ตอนนั้นยังต้องซื้อขายโลหิต บางคนขายเลือดเป็นอาชีพ หรือไม่ก็ต้องไปขอเจาะจากนักโทษ การซื้อขายโลหิตก็นำความทุกข์มาให้อีก เพราะมีความเชื่อกันว่าเลือดฝรั่งนี่ดี ราคาแพง เกิดมีการแบ่งเลือดไทยเลือดฝรั่งขึ้นมา ได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงแนะนำให้สภากาชาดแต่งตั้งคณะกรรมการจัดห าและส่งเสริมผู้บริจาคโลหิตแห่งชาติขึ้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเข็มให้แก่ผู้บริจาคโลหิต 7 ครั้ง 20 ครั้ง ไปจนถึง 50 ครั้งที่สภากาชาด … “ ในปี พ.ศ.2504 นี้ ได้ทรงมีพระราชดำริว่า มีผู้ป่วยเป็น โรคประสาทและสมอง เป็นจำนวนมาก ถ้าไม่ได้รับการบำบัดรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยก็จะเป็นคนพิการจึงได้พระราชทาน เงินรายได้จากการ ฉายภาพยนตร์ส่วนพระองค์ ชุดเสด็จเยือนสาธารณรัฐเวียดนาม สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และสหภาพพม่า และจากที่มีผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย โดยเสด็จพระราชกุศลเป็นเงิน 712, 807 บาท 70 สตางค์ แก่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อสร้างตึกวิจัยประสาทวิทยาที่โรงพยาบาลประสาท พญาไท ได้เสด็จฯ ไปทรงวางศิลาฤกษ์ตึกดังกล่าว เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมและเสด็จฯ ทรงเปิดโรงพยาบาลประสาท เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2505 ”
ม.ล.ทวีสันต์ ลดาวัลย์ได้บรรยาย เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2529 ณ ห้องประชุมสารนิเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2530 : 14, 20-21) ความตอนหนึ่งว่า
“… โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น กล่าวโดยทั่วๆ ไปมีลักษณะมุ่งที่จะแก้ไขปัญหา ในจุดที่ต้องแก้ไข อย่างรีบด่วน ซึ่งประชาชนไม่สามารถจะรอได้ ทั้งเป็นจุดที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริงในพื้นที่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีแนวพระราชดำริชัดเจน เราต้องถือจิตวิทยา ต้องไปเร็วที่สุด หลักจิตวิทยาและแนวทางที่มุ่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ประชาชน จะเห็นได้จากกรณีของโครงการแพทย์หลวงและแพทย์พระราชทาน ซึ่งเริ่มในปี พ.ศ.2508 …
… ในการเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมราษฎรตามท้องที่ต่างๆ ทุกครั้ง จะโปรดเกล้าฯให้มีคณะแพทย์อาสาสมัครที่เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่างๆ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในกระบวนอย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ครบครัน พร้อมที่จะให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยไข้ได้ทันทีในลักษณะหน่วยแพทย์ชั่วคราว ราษฎรผู้ใดที่เจ็บป่วย ก็จะโปรดเกล้าฯ ให้รับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ผู้ป่วยรายใดที่มีอาการหนัก ก็จะทรงขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอนุเคราะห์นำผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาลตามที่แพทย์แนะนำ
โดยจะพระราชทานเงินค่าเดินทางอย่างเพียงพอ ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลนั้น คนไข้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียแม้แต่น้อย ในการนี้จะมีเจ้าหน้าที่บันทึกประวัติและอาการคนไข้ เพื่อเก็บรักษาไว้เป็นข้อมูลในการตามผลการรักษาพยาบาลนั้นด้วย คือ ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเลย มีการติดตามรักษาจนผู้ป่วยนั้นหายจากการเจ็บป่วยดังกล่าว หากมีการเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมวัด ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของชุมชนในชนบทของไทยมาทุกสมัย ก็จะพระราชทานกล่องยารักษาโรคแก่วัดเพื่อพระภิกษุใช้เมื่อเกิดอาพาธ และเพื่อช่วยเหลือแจกจ่ายราษฎรผู้ป่วยเจ็บ ในหมู่บ้านนั้นๆ
เช่นเดียวกันกับเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมหน่วยทหาร ตำรวจ อาสาสมัครในถิ่นทุรกันดาร ก็ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานสิ่งของจำเป็นต่างๆ รวมทั้งยารักษาโรค สำหรับใช้ในหมู่บ้าน รวมทั้งเผื่อแผ่แก่ราษฎรในท้องที่ด้วยตามความจำเป็น อันจะทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนในพื้นที่ที่ได้มีความเข้าใจอันดีต่อกัน รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน …”
ดังนั้นในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร และทรงพบว่าประชาชนที่อยู่ห่างไกลความเจริญ มีปัญหาด้านการสาธารณสุข เนื่องจากการขาดการรักษาพยาบาลที่ดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ขึ้น ดังรายละเอียดที่ปรากฏในหนังสือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับงานพัฒนา ( คณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) (2531 : 161-165) ดังนี้
หน่วยแพทย์เคลื่อนที่
แม้ว่าการบริการของรัฐด้านสาธารณสุข จะขยายตัวอย่างรวดเร็วในระยะยี่สิบปีที่ผ่านมา ทั้งในด้านการรักษา พยาบาล การป้องกันโรคติดต่อ และการส่งเสริมสุขภาพอนามัย แต่เมื่อพิจารณาถึงการกระจาย บริการดังกล่าว พบว่าราษฎรในชนบทยังขาดแคลนบริการสาธารณสุข ขั้นมูลฐานอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบ กับเมืองใหญ่ๆ

พระราชทานสิ่งของจำเป็นต่างๆ แก่ราษฎร
จะเห็นได้ว่าอัตราการตายจากโรคที่ป้องกันได้ อัตราการตายของมารดา อัตราของเด็กขาดอาหาร มีอยู่ในอัตรา ที่สูง และหากพิจารณาอัตราส่วนของแพทย์ต่อประชากร จะเห็นสภาพปัญหาด้านสาธารณสุข ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
กล่าวคือ ในขณะที่กรุงเทพมหานคร มีแพทย์ 1 คน ต่อประชากร 998 คน ในภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ แพทย์ 1 คนจะต้องบริการราษฎร ถึง 26,128 คน และ 12,942 คน และ 14,643 คน ตามลำดับ จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ย่อมจะเป็นเครื่องชี้วัดคุณภาพชีวิตของราษฎรในชนบทได้เป็นอย่างดี
พระราชดำริเกี่ยวกับโครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน
ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพบว่า ราษฎรเป็นจำนวนมากขาดการดูแลรักษาในด้านสุขภาพอนามัย โครงการหน่วยแพทย์พระราชทานจึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ.2510 ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาล เครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนยารักษาโรค ออกทำการตรวจรักษาและพยาบาลราษฎรโดยไม่คิดมูลค่า ในท้องถิ่นกันดารในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีหน่วยแพทย์ของทางราชการเข้าไปถึง และครั้งนั้น ทรงพบอีกว่าราษฎรป่วยเป็นโรคฟันและโรคในช่องปากเป็นจำนวนมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง หน่วยทันตกรรมพระราชทาน ประกอบด้วยทันตแพทย์ ทันตนามัย รถยนต์ขนาดใหญ่ 1 คันมีเก้าอี้ทำฟัน ตลอดจนเครื่องมือทำฟันครบชุด ออกทำการตรวจและรักษาโรคฟันให้แก่ราษฎรพร้อมกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
ต่อมา เมื่อมีการเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับแรมเพื่อเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่างๆ โครงการพระราชดำริด้านการแพทย์ จึงได้ขยายขอบข่ายออกไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งอาจแบ่งตามลักษณะงานได้เป็น 2 ประการ คือ

หน่วยทันตกรรมพระราชทาน
1. การให้การบำบัดรักษาโดยการตรวจจากคณะแพทย์พระราชทาน ซึ่งอาจแบ่งออกได้ดังนี้
1.1 แพทย์ประจำพระองค์ และคณะแพทย์ตามเสด็จ นำโดยนายแพทย์ประจำพระองค์ จะตามเสด็จไปทำการตรวจรักษาราษฎรที่เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมตามหมู่บ้านต่าง ๆ
1.2 หน่วยแพทย์หลวงของกองแพทย์หลวง สำนักพระราชวังและเจ้าหน้าที่
1.3 คณะแพทย์ตามพระราชประสงค์ เป็นแพทย์อาสาที่มาจากหลายสาขาวิชาหลายหน่วยงาน ทั้งจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยเสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับคณะแพทย์อื่น ๆ และแพทย์ที่ประจำตามหน่วยรักษาพยาบาลท้องถิ่น คือโรงพยาบาลของจังหวัดที่เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับแรม ซึ่งได้แก่ โรงพยาบาลสกลนคร โรงพยาบาลนราธิวาส และโรงพยาบาลค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ คณะแพทย์ตามพระราชประสงค์นับว่าเป็นคณะที่มีจำนวนมากที่สุด จากหลายสาขาวิชา อาจแบ่งได้ดังนี้
- 1.3.1 คณะศัลยแพทย์อาสาจากราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย
- 1.3.2 คณะศัลยแพทย์อาสา จากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
- 1.3.3 คณะศัลยแพทย์อาสา จากโรงพยาบาลศิริราช
- 1.3.4 คณะแพทย์ หู คอ จมูก และโรคภูมิแพ้
- 1.3.5 หน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ จากกรมแพทย์ทหารบก
- 1.3.6 คณะจักษุแพทย์
แพทย์พระราชทานดังกล่าว จะจัดชุดทำงานตามสถานที่ต่างๆ ดังนี้
1. ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดที่พระราชนิเวศน์ตั้งอยู่ ได้แก่ โรงพยาบาลสกลนคร โรงพยาบาลนราธิวาส และโรงพยาบาลค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่
2. บริเวณที่ตรวจโรคหน้าภูพานราชนิเวศน์ และทักษิณราชนิเวศน์
3. ตามเสด็จพระราชดำเนินไปรักษาพยาบาลยังหมู่บ้านต่าง ๆ
ราษฎรที่เจ็บป่วยดังกล่าว หากไม่จำเป็นต้องรับเป็นคนไข้ในโรงพยาบาล แพทย์จะให้การรักษาพยาบาลที่จำเป็นและถูกต้องอย่างดีที่สุด ในกรณีที่มีอาการเจ็บป่วยในขั้นที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล ก็จะพระราชทานพระมหากรุณา ให้ราษฎรเหล่านั้นเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในต่างจังหวัดหรือโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ แล้วแต่ความเห็นของแพทย์ผู้ตรวจวินิจฉัยโรคและความรุนแรงของโรคที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนั้น โดยมีราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เป็นผู้รับสนองไปดำเนินการปฏิบัติ
ผู้ป่วยที่รับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่พระตำหนักตั้งอยู่ จะได้รับการเยี่ยมเยียนติดตามเอาใจใส่จากเจ้าหน้าที่จากกองราชเลขานุการ ในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถเป็นระยะๆ จนกว่าผู้ป่วยเหล่านั้นจะออกจากโรงพยาบาลไป
หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับผู้ป่วยทางด้านธุรการ (นอกเหนือจากการตรวจรักษา) คือ กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ซึ่งจะดำเนินการตั้งแต่การรับผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาล จนถึงการส่งผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา ผู้ป่วยจะได้รับการติดตามดูแลจากเจ้าหน้าที่แผนกคนไข้ของกองราชเลขานุการฯ ดังกล่าว การพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่ราษฎรเจ็บป่วยเหล่านี้ มิได้จำกัดเฉพาะตัวผู้ป่วยเองเท่านั้น หากยังครอบคลุมไปถึงครอบครัวของผู้ป่วยด้วย เช่น ผู้ป่วยที่จะต้องเข้ารับการรักษาในกรุงเทพมหานคร บางรายมีภาระต้องเลี้ยงดูบิดา มารดา ที่ชราแล้ว หรือบุตรที่ยังเล็กอยู่ กองราชเลขานุการฯ จะจัดการฝากฝังให้มีผู้ดูแลบุคคลเหล่านั้นไว้แทนผู้ป่วย โดยอาจส่งเงินค่าเลี้ยงดูไปให้หรือฝากฝังให้เจ้าหน้าที่ ไปเยี่ยมเยียนดูแล แล้วรายงานมาให้ทราบเป็นระยะๆ เป็นต้น หากผู้ป่วยจน ไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรต่อไปได้ หรือพิการ หรือเสียชีวิต บุตรที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนก็จะได้รับพระราชทานการศึกษาตามสมควรอีกด้วย
2. การอบรมหมอหมู่บ้านตามพระราชดำริ นอกจากหน่วยแพทย์พระราชทานที่จะรักษาพยาบาลผู้ป่วยระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ต่างๆ แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงห่วงใยราษฎรเหล่านั้นว่า หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพมหานครแล้ว เมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วยจะไม่มีใครดูแล เพราะอยู่ในท้องถิ่นห่างไกลการคมนาคมไม่สะดวก จึงมีพระราชดำริให้คัดเลือกราษฎรอาสาสมัครตามหมู่บ้านต่างๆ มารับการอบรม หลักสูตรหมอหมู่บ้าน โดยเริ่มต้นที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2525 ทั้งนี้ เพื่อให้ราษฎรที่ได้รับการอบรมเหล่านี้ได้นำความรู้กลับไปช่วยเหลือประชาชนในท้องถิ่นของตน การอบรมจะเน้นในเรื่องการสาธารณสุขมูลฐาน เช่น การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การเวชศาสตร์ป้องกันอย่างง่าย ๆ การโภชนาการ (โดยเฉพาะแม่และเด็ก) การติดต่อกับเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาลของรัฐ คือ สถานีอนามัยจนถึงโรงพยาบาล อำเภอ และจังหวัด เจ้าหน้าที่ที่มาให้การสนับสนุนในการอบรมจากหน่วยงาน ต่างๆ ทั้งพลเรือนและทหาร ทั้งฝ่ายปกครอง และฝ่ายการแพทย์ สถานที่ดำเนินการฝึกอบรม ได้แก่ โรงพยาบาลประจำจังหวัดที่พระราชนิเวศน์ตั้งอยู่ ซึ่งได้แก่ โรงพยาบาลสกลนคร โรงพยาบาลนราธิวาสและโรงพยาบาลค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่

หน่วยบริการหมออาสาหมู่บ้าน
งานทั้งสองลักษณะข้างต้น มีพื้นที่ครอบคลุมในภาคเหนือตอนบน ประมาณ 10 จังหวัด คือเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8 จังหวัด คือ สกลนคร นครพนม อุดรธานี หนองคาย มุกดาหาร มหาสารคาม กาฬสินธุ์ เลย และในภาคใต้ 4 จังหวัด คือ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลา
จะเห็นได้ว่าโครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน ซึ่งประกอบด้วยการบำบัดรักษาจากคณะแพทย์พระราชทาน และการอบรมหมอหมู่บ้าน เป็นการช่วยแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพอนามัยของราษฎรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล และมีปัญหาอุปสรรคที่ระบบปกติยากจะดูแลได้ทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราษฎรส่วนใหญ่มีฐานะยากจน และขาดความรู้ในการดูแลรักษาตนเอง การมีคณะแพทย์พระราชทานออกไปบำบัดรักษาผู้ป่วย จะทำให้ราษฎรมีโอกาสได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและไม่ต้องเสียทุนทรัพย์
และสำหรับการอบรม หมอหมู่บ้านนั้น จะช่วยให้ราษฎรมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกัน รู้วิธีปัจจุบันพยาบาล และรู้จักวิธีติดต่อกับ หน่วยราชการในกรณีที่เกินขีดความสามารถที่จะดูแลรักษาตนเอง อันเป็นการช่วยแก้ปัญหาในระยะยาว อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า โครงการหน่วยแพทย์พระราชทานจะแก้ไขปัญหาดังนี้
1. ทางด้านสุขภาพอนามัย ซึ่งเป็นผลที่ได้รับโดยตรง จะช่วยแก้ปัญหาการเจ็บป่วยหรือทุพพลภาพได้ปีหนึ่งๆ เป็นจำนวนมาก จำนวนราษฎรทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณในการบำบัดรักษา จากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พระราชทาน จะเป็นชาวชนบทที่ยากจนที่มีอาชีพเป็นเกษตรกร อันเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ จากจำนวนตัวเลขที่ปรากฏ ในแต่ละปีจะมีราษฎรที่เจ็บป่วย จากทุกภาคที่ได้รับ พระมหากรุณาธิคุณรับไว้เป็นคนไข้ใน พระบรมราชานุเคราะห์ ทั้งที่เป็นคนไข้ ในโรงพยาบาล และผู้ที่มาขอรับการตรวจ ตลอดถึงการที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตามเสด็จไป ตามหมู่บ้านต่าง ๆ มีจำนวนมากมายนับหมื่นนับแสนคน
2. ทางด้านเศรษฐกิจ การที่ราษฎรที่เจ็บป่วยจะเป็นปัญหาในการประกอบอาชีพของราษฎร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่จะต้องใช้กำลังกายในการทำงาน ดังนั้น เมื่อได้รับการบำบัดรักษา ให้มีสุขภาพพลานามัยที่ดีแล้ว เขาเหล่านั้นก็สามารถมีพลังร่างกายที่จะต่อสู้กับงานหนักในการประกอบอาชีพได้ ซึ่งจะยังผลให้เศรษฐกิจส่วนรวมของสังคมดีขึ้นอย่างแน่นอน
3.ทางด้านสังคมจิตวิทยา เป็นผลประการหนึ่งที่จะได้รับ ในเมื่อราษฎรผู้เจ็บป่วยได้รับการช่วยเหลือ ให้เขาพ้นจากความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วย ก็จะทำให้เกิดความสุขจากการที่ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัย หรือผู้ที่มีทุพพลภาพพิการก็ได้รับการแก้ไขจนสามารถเข้าสังคมกับคนทั่วไปได้ เมื่อสุขภาพร่างกายดีก็ย่อมจะทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีไปด้วย การที่ประชาชนมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ก็จะมีผลให้ภาวะความเป็นอยู่ของเขาเหล่านั้นดีขึ้น และส่งผลให้สังคมอันอาจหมายถึงการอยู่ร่วมกัน การกระทำกิจกรรมบางอย่างด้วยกัน และอื่นๆ บังเกิดผลดีต่อไป
ปัญหาทางด้านสาธารณสุขนี้มิได้มีเฉพาะในชนบทเท่านั้น แม้แต่ในกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยก็มีปัญหาเช่นกัน พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ได้เขียนไว้ในบทความเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงกอปรด้วยพระเมตตาบารมี (html://www.dabos.or.th/ro17.html : 28/11/44) ดังนี้
“… ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมกิจการของคลินิกแห่งหนึ่งชื่อว่าคลีนิคศูนย์แพทย์พัฒนา ตั้งอยู่ที่ถนนพระรามเก้า คลินิกแห่งนี้ได้เปิดให้บริการแก่ประชาชนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2531 แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายนัก … เมื่อปี พ.ศ.2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงห่วงใยในปัญหาน้ำเสีย ซึ่งนับวันจะเกิดเป็นมลภาวะเพิ่มมากขึ้น ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ดังแต่ก่อนในคลองแสนแสบ คลองลาดพร้าว และคลองพลับพลา … พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงมีแนวกระแสพระราชดำริที่จะแก้ไขปัญหาน้ำเสียดังกล่าว ด้วยการขุดบ่อขึ้น แล้วนำเอาน้ำเน่าออกจากคลองลาดพร้าวมาบำบัดให้เป็นน้ำดี … อนึ่ง เมื่อได้ทรงทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนเกี่ยวกับสุขภาพของชาวบ้านที่พำนักอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ เนื่องจากไม่สามารถเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกเมื่อเกิดการเจ็บป่วยได้ในเวลาอันสมควร เพราะเส้นทางคมนาคมไม่สะดวก จึงได้ทรงมีกระแสพระราชดำริที่จะให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา ที่มาปฏิบัติหน้าที่ถวายงานสนองพระเดชพระคุณ อยู่ในพระตำหนักจิตรลดารโหฐานและมีเวลาว่างจากเวรยาม ออกไปช่วยดูแลให้การรักษาพยาบาลแก่ราษฎรที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณคลองลาดพร้าว คลองพลับพลา และชุมชนใกล้เคียงอีกส่วนหนึ่งด้วย จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างคลินิกขึ้นในที่ดินบริเวณนี้ โดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้นเป็นทุนในการก่อสร้างอาคาร และจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยที่สุด และพระราชทานนามคลินิกนี้ว่า “ ศูนย์แพทย์พัฒนา ” เปิดให้บริการแก่ประชาชนตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 เป็นต้นมา
ศูนย์แพทย์พัฒนานี้มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแพทย์ประจำพระองค์ในสาขาต่างๆ หลายสาขา มีชื่อเรียกตามภาษาชาวบ้านว่าตรวจโรคทั่วไป ผ่าตัดโรคเกี่ยวกับตา หู และจมูก ทำคลอด โรคเด็ก ทำฟัน และกายภาพบำบัดเป็นต้น

ศูนย์แพทย์พัฒนา
ศูนย์ฯ นี้ตั้งอยู่ที่เลขที่ 159 ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ( ถนนคู่ขนานทางด่วนสายรามอินทรา ) แขวง / เขต วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310 โทรศัพท์ 3190903-9 เปิดบริการแก่ประชาชนทุกวันไม่มีวันหยุด ถึงแม้ว่าลักษณะการบริหารงานจะเป็นไปในรูปแบบเอกชน แต่จะเป็นการให้บริการโดยไม่หวังผลกำไร จึงสามารถให้บริการได้รวดเร็ว ….”
สามารถสรุปได้ว่า ศูนย์แพทย์พัฒนาเป็นแหล่งที่รองรับพระเมตตาบารมี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อีกแห่งหนึ่งที่เพียบพร้อม ด้วยแพทย์ผู้ชำนาญการในสาขาต่าง ๆ และเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร สามารถเดินทางไปมาได้สะดวกรวดเร็ว จัดเป็นสถานบริการทางการแพทย์ อีกแห่งหนึ่ง ที่ประชาชนทุกระดับชั้นสามารถไปขอรับบริการได้ทุกเวลาและโอกาส
นอกจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพบว่า ยังมีราษฎรจำนวนมากเป็นโรคขาดสารไอโอดีน ทำให้เกิดโรคคอหอยพอกหรือโรคเอ๋อ อันเป็นผลให้การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องประสบปัญหา การพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้มูลนิธิชัยพัฒนากับส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้องศึกษา “ เส้นทางเกลือ ” จากแหล่งผลิตถึงผู้บริโภค ว่ามีเส้นทางเช่นไรและให้ดำเนินการเติมสารไอโอดีนถึงมือผู้บริโภค เพื่อจะได้เป็นการป้องกันการขาดสารดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม (เย็นศิระเพราะพระบริบาล, 2537 : 40)

2. พระราชกรณียกิจด้านสมุนไพร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริว่า ควรจะต้องให้ความสนใจในเรื่องของสมุนไพรไทย ซึ่งได้มีการใช้ประโยชน์มาเป็นเวลาช้านานสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษโบราณ ทรงเห็นว่าควรจะได้มีการส่งเสริมการใช้ และการพัฒนาสมุนไพร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ให้มากยิ่งขึ้น และได้ทรงดำเนินการจนเห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้ว่ามีโครงการพระราชดำริ เกี่ยวกับการศึกษา พัฒนาและอนุรักษ์สมุนไพรเกิดขึ้นหลายโครงการ รวมทั้งโครงการที่เกี่ยวข้องโดยทางอ้อม อีกเป็นจำนวนมากด้วย ตัวอย่างเช่น โครงการสวนป่าสมุนไพรของศูนย์การศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อน ศูนย์การศึกษาพัฒนาห้วยทราย โครงการสวนแม่พันธุ์ต้นซิงโคนา โครงการภายใต้มูลนิธิโครงการหลวง และโครงการสวนพฤษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นต้น ในจำนวนโครงการเหล่านี้ ส่วนที่นับได้ว่าได้ดำเนินการด้านสมุนไพรอย่างเห็นได้ชัดที่สุดได้แก่ โครงการศูนย์การศึกษาและพัฒนาเขาหินซ้อน ที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา

ศูนย์การศึกษาและพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ณ ที่แห่งนี้ ในปี พ.ศ.2523 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พื้นที่ 15 ไร่ จัดสร้างสวนป่าสมุนไพรขึ้น เพื่อรวบรวมและปลูกพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ ไว้ศึกษาวิจัยทางวิชาการเผยแพร่การใช้ประโยชน์และเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้แก่นักเรียน นักศึกษาและประชาชนที่สนใจ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังศูนย์ศึกษาฯ ทรงปลูกต้นมหาโพธิ์ ณ สวนป่าสมุนไพรนี้ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2523 จึงอาจกล่าวได้ว่า สวนป่าสมุนไพรแห่งนี้ได้ถือกำเนิดมาจากพระราชดำริของพระองค์โดยแท้ ความชัดเจนนี้ปรากฏอยู่ในข้อความบนศิลาจารึก ณ สวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ดังนี้
ด้านที่ 1 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชดำริว่าสมุนไพรอันเกิด ในพระราชอาณาเขต มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคอย่างวิเศษมาแต่โบราณกาลนั้นนับวันจะลดน้อยถอยลงตามลำดับ เพราะขาดผู้อุปถัมภ์บำรุง ศึกษาให้ชัดเจน มิได้เป็นกาลต่อเนื่องแต่กาลก่อน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พื้นที่เขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคามจังหวัดฉะเชิงเทราจัดทำเป็นโครงการสวนป่าสมุนไพร
ด้านที่ 2 วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2525 ตรงกับวันพุธขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ปีจอ ร.ศ.201 ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงวางศิลาฤกษ์ สร้างศิลาจารึก ณ โครงการสวนป่าสมุนไพร ศูนย์การศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อนแห่งนี้
ด้านที่ 3 เริ่มดำเนินการก่อสร้างโดยใช้เงินงบประมาณพัฒนาจังหวัด จำนวน 1,000,000 บาท เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2535 ตรงกับวันจันทร์ แรม 5 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม ร.ศ.210 ขอให้สวนป่าสมุนไพรแห่งนี้ จงเจริญก้าวหน้า และยังประโยชน์สงเคราะห์เกื้อกูลแก่ประชาชนคนไทย โดยทั่วหน้าสืบไปชั่วกาลนานเทอญ
ด้านที่ 4 ทรงตั้งพระราชหฤทัยให้เป็นศูนย์กลางการสมุนไพร เพื่อการศึกษาขั้นพื้นฐาน และการวิจัยทางวิชาการอันเป็นแหล่งทัศนศึกษาและเผยแพร่ ให้ความรู้การใช้สมุนไพรเป็นอาหาร บำบัดโรค บำรุงรักษาสุขภาพอันจะช่วยแบ่งเบาภาระทางเศรษฐกิจในครัวเรือนแก่พสกนิกรทั่วไป
นอกจากนี้ ยังมีข้อความที่ติดประกาศไว้ ณ สำนักงานศูนย์การศึกษานี้เกี่ยวกับเรื่องของสมุนไพร ซึ่งแสดงถึงแนวคิดและวัตถุประสงค์ในการสร้างสวนป่าสมุนไพรไว้อย่างชัดเจนดังนี้
“ ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจในการใช้สมุนไพรมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริม การใช้ประโยชน์ จากสมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน มหาวิทยาลัยและสถาบันต่างๆ ได้ทำการวิจัยพืชสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง
และประชาชนทั่วไปก็ได้หันมาใช้ยาสมุนไพร และปลูกพืชสมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากยาสมุนไพร เป็นทรัพยากรที่หาได้ในท้องถิ่นปลอดภัยกว่าการใช้ยาแผนปัจจุบัน สามารถส่งเสริมให้ผลิตเป็นอุตสาหกรรม ในครัวเรือนและธุรกิจชุมชนได้ อันจะทำให้เกิดการพึ่งตนเองด้านสุขภาพอนามัยของคนในชีวิต ลดการนำเข้า ผลิตภัณฑ์ยาจากต่างประเทศ และการปลูกพืชสมุนไพรยังมีส่วนช่วยให้สิ่งแวดล้อมของชุมชนดีขึ้นอีกด้วย ”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชวนี ทองโรจน์และคณะ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการสมุนไพร ในหนังสือเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชา รวมใจศรีนครินทรวิโรฒ 50 ปี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (2542 : 49-61) ได้ดังนี้
ความสอดคล้องกับปรัชญาในการพัฒนาสังคมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จากข้อมูลหลักฐานที่ปรากฏในส่วนต่างๆ อาจกล่าวได้ว่า สมุนไพรในโครงการพระราชดำริ มีความสอดคล้องกับปรัชญาในการพัฒนาสังคมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ 5 ประการ ดังนี้
1. การส่งเสริมศักยภาพในการพึ่งตนเองของประชาชน
2. การอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์
3. การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย
4. เศรษฐกิจแบบพอเพียง
5. การพัฒนาไปสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่
การส่งเสริมศักยภาพในการพึ่งตนเองของประชาชน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริที่ชัดเจน ในการส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งตนเองได้ ดังนั้นการพึ่งตนเองจึงเป็นหลักการสำคัญอันหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า
“… การเข้าใจถึงสถานการณ์ของผู้ที่เราจะช่วยเหลือนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุด การช่วยเหลือให้เขาได้รับสิ่งที่เขาควรจะได้รับตามความจำเป็นอย่างเหมะสมจะเป็นการช่วยเหลือที่ได้ผลดีที่สุด เพราะฉะนั้นในการช่วยเหลือแต่ละครั้งแต่ละกรณีจำเป็นที่เราจะพิจารณาถึงความต้องการและความจำเป็นก่อน และต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ที่เราจะช่วยให้เข้าใจด้วยว่าเขาอยู่ในฐานะอย่างไร สมควรที่จะได้รับความช่วยเหลืออย่างไร เพียงใด อีกประการหนึ่งในการช่วยเหลือนั้น ควรยึดหลักสำคัญว่าเราจะช่วยเขา เพื่อให้เขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้ต่อไป … ”
สมุนไพรจัดได้ว่า เป็นตัวอย่างของการส่งเสริมศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลไปจนถึงระดับประเทศ เนื่องด้วยสมุนไพรหลายชนิดที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาล อาจใช้บรรเทาและบำบัดรักษาโรคบางชนิดได้ผลดีและอาจใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบันบางชนิดได้ หากได้มีการผลิตและใช้ยาอย่างเป็นระบบก็จะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ
ซึ่งในปัจจุบันมีการนำเข้าปีละหลายหมื่นล้านบาท ทำให้การพึ่งพายาจากต่างประเทศลดน้อยลง การส่งเสริมการปลูกสมุนไพรก็คือ การส่งเสริมการเกษตรกรรมด้านหนึ่ง หากเป็นที่นิยมใช้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ดีและเลี้ยงตนเองได้ นอกจากนี้หากผู้ใดอยากจะปลูกพืชสมุนไพร เพื่อเป็นงานอดิเรกก็จะทำให้มียารักษาโรคจากธรรมชาติอยู่ภายในบ้านของตน พอเป็นที่พึ่งพาในยามจำเป็นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนอีกอันหนึ่งคือ ที่สวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ได้มีส่วนของการศึกษาการใช้ประโยชน์ของสมุนไพรสาธารณสุขมูลฐาน ซึ่งได้ร่วมมือกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทดลองปลูกพืชสมุนไพรตามหมวดหมู่ของการใช้ประโยชน์ เพื่อให้เกษตรกรช่วยตนเอง ก่อนจะไปพบแพทย์ เช่น สมุนไพรลดความดัน บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับปัสสาวะ เป็นต้น
การอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์
ในช่วงระยะที่ผ่านมาได้มีการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย เพื่อเน้นการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ และมิได้มีการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย ให้กลับคืนสู่สภาพดังเดิม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงทรงมุ่งที่จะให้มีการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
เพื่อเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศในระยะยาว พระองค์สนพระราชหฤทัยในการทำนุบำรุง และปรับปรุงสภาพของทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง เพื่อทำให้อยู่ ในสภาพที่มีผลต่อ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างมากที่สุด ดังนั้นจึงได้มีการดำเนินโครงการอนุรักษ์ต่างๆ เช่น โครงการอนุรักษ์น้ำ โครงการและรณรงค์การใช้หญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และในจำนวนนี้โครงการสวนป่าสมุนไพรและสวนพฤกษศาสตร์ ณ ที่ต่างๆ ก็จัดได้ว่าเป็นโครงการที่รองรับการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ เพราะการปลูกป่าย่อมมีผลในการคืนความอุดมสมบูรณ์ให้ธรรมชาติ ในขณะที่การคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่มีสรรพคุณทางยา หรือเป็นอาหารที่มีประโยชน์ และในบางกรณีก็เป็นพันธุ์ไม้ที่หายากนั้น คือ วิธีการอนุรักษ์ที่มีคุณค่าในเชิงที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย พระราชดำริเช่นนี้เป็นที่ปรากฏชัดเจน และคงได้ถ่ายทอดมายังสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นได้จากพระราชดำรัสของพระองค์ท่านเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร ดังนี้
“ สมุนไพรในเมืองไทยมีอย่างอุดมสมบูรณ์ ควรที่คนไทยจะได้ช่วยกันเสริมสร้างและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น ต้นระย่อม ซึ่งมีมากในเมืองไทย และเขาได้สกัดออกมาเป็นยาฉีดบ้าง รับประทานบ้าง แล้วก็ส่งมาจำหน่ายให้คนไทยซื้อราคาแพงๆ เราน่าจะหาทางทำขึ้นเองบ้างเพราะเรามีวัตถุดิบมาก ”
หมายเหตุ : ต้นระย่อม (Rauvolfia serpentina (L.) Kurz)
คุณสมบัติ รากเป็นยาระงับประสาท ช่วยให้นอนหลับ แก้ไข้ ลดความดันโลหิต เนื่องจากทำให้กล้ามเนื้อหลอดเลือดคลายตัว โดยมีสารสำคัญคือ reserpine เป็นสารออกฤทธิ์ และสารนี้เป็นสารต้นแบบ ในการพัฒนา ยาลดความดันโลหิตสูงใหม่ๆ หลายชนิดในปัจจุบัน, (http://pharm.kku.ac.th/thaiv/depart/botany/unseen/, 4/05/2457)

การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย
ประเทศไทยได้มีการนำสมุนไพรมาใช้ในการบำบัดรักษาความเจ็บป่วยมาแต่โบราณกาล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้คนในสมัยก่อนสามารถดำรงอยู่ได้ แม้จะไม่มียาแผนปัจจุบันใช้เลยก็ตาม ความรู้ในการใช้สมุนไพรได้สั่งสมต่อเนื่องกันมาช้านานในลักษณะของภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งมีความแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละภูมิภาค จนกระทั่งมาถึงช่วงที่ประเทศไทยได้นำการแพทย์แบบตะวันตกเข้ามาใช้เมื่อประมาณร่วมร้อยปีมาแล้ว ภูมิปัญญาด้านสมุนไพรของไทยก็ได้ถูกละเลยและถูกกลืนโดยการแพทย์แบบตะวันตกหรือที่เรียกกันว่า การใช้ยาสมุนไพรเป็นเรื่องที่ไม่ทันสมัย ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าทำให้ความรู้ในส่วนนี้หยุดการพัฒนาไปเป็นเวลานาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงตระหนักในคุณค่าของภูมิปัญญาไทยในทุกๆ ด้านรวมทั้งศิลปะ วัฒนธรรม และงานฝีมือต่างๆ ซึ่งมีหน่วยงานศูนย์ศิลปาชีพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รองรับในการอนุรักษ์ เผยแพร่ และขยายผลจนทำให้ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ มีรายได้ดีและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
วิธีการที่พระองค์ทรงใช้ในการพัฒนานั้น ทรงใช้คำว่า “ ระเบิดจากข้างใน ” กล่าวคือเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนก่อนแล้วจึงค่อยออกมาสู่สังคมภายนอก มิใช่การเอาความเจริญหรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนที่ยังไม่ทันได้มีโอกาสตั้งตัว ซึ่งแนวคิดเช่นนี้น่าจะแสดงให้เห็นว่า ไม่ทรงปรารถนาให้สังคมภายนอกเข้าไปเปลี่ยนแปลงหรือทำลายสิ่งดีๆ ที่มีอยู่แต่เดิมในชุมชนนั้น ซึ่งหมายรวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้สั่งสมกันมาช้านานด้วย
ในเรื่องที่เกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยในการใช้สมุนไพรนั้น พระองค์ทรงตระหนักอย่างชัดเจน หลักฐานที่ยืนยันในเรื่องนี้นอกจากที่ได้ทรงสนับสนุนการจัดทำสวนป่าสมุนไพรอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้เป็นที่ศึกษาวิจัยให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวางแล้ว ยังได้มีพระราชกระแสรับสั่งกับบุคคลที่เกี่ยวข้องบางท่าน เช่น นายแพทย์นพรัตน์ บุญยเลิศ ให้ศึกษาค้นคว้าวิธีรักษาโรคมะเร็งโดยใช้สมุนไพรไทย นอกจากนี้เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2541 พระองค์ยังได้พระราชทานคำแนะนำแก่คณะวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนาขององค์การเภสัชกรรม ซึ่งได้รับพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าเพื่อถวายรายงานโครงการรักษาผู้ป่วยเอดส์โดยใช้สมุนไพร ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ดังนี้
- 1.การวิจัยต้องร่วมมือกันทั้งบุคคล หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ งานวิจัยก็จะบังเกิดผลสำเร็จเป็นผลดี แก่ประเทศชาติ
- 2.ให้ความร่วมมือกับมูลนิธิราชประชาสมาสัย ในการแก้ไขบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ครอบครัว รวมทั้งเด็กกำพร้า ในแนวทางซึ่งมูลนิธิฯ เคยดำเนินการแก้ไขปัญหาโรคเรื้อนมาแล้วและร่วมกับโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ในการผลิตสารสกัดสารสมุนไพรและการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสมุนไพรที่ใช้ในตำรับ
- 3. สมุนไพรที่นำมาใช้ในการรักษาโรคเอดส์ ไม่จำเป็นต้องบอกเฉพาะรักษาโรคเอดส์ หากมีสรรพคุณรักษาโรคอื่นๆ ได้ก็ดียิ่งขึ้น เพื่อผู้นำไปใช้จะใช้ได้อย่างกว้างขวาง
- 4.ส่วนผสมของสมุนไพรก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย เพราะหากประชาชนไม่เข้าใจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
- 5.สมุนไพรที่นำมาใช้แต่ละอย่างบอกชนิด คุณประโยชน์แบบกว้างๆ ก็จะดี ประชาชนจะได้ช่วยกันรักษาต้นไม้ หรือชนิดของสมุนไพรนั้นๆ ไม่ไปตัดโค่นทำลาย
- 6.บางหมู่บ้านประชาชนเป็น Thalassemia กันมากให้ช่วยกันแก้ไขปัญหาในการศึกษาแก่ประชาชนให้เข้าใจ หรือวิจัยให้เม็ดเลือดแดงมีการทำลายน้อยลง อาจใช้สมุนไพรเป็นตัวยับยั้ง (Antioxidant) หรือหายาขับเหล็ก เพื่อให้ชีวิตยาวขึ้น
- 7. คณะวิจัยให้ชื่อว่า คณะวิจัยสมุนไพร หรือส่งเสริมการวิจัยสมุนไพร หากชื่อคณะวิจัยโรคเอดส์ประชาชนจะรู้สึกน่ากลัว
- 8.หากบอกว่าโรคเอดส์รักษาหายได้ประชาชนก็จะป้องกันตัวเองน้อยลงไป
- 9.ให้สนใจพัฒนาการวิจัยสมุนไพรให้มากๆ เพราะเป็นภูมิปัญญาของเราเองโดยให้ใช้จ่ายอย่างประหยัด เพราะเรามีทุนทรัพย์น้อย
- 10.พระราชทานให้กำลังใจและขอบใจต่อคณะวิจัยและพระราชทานพรขอให้ทำงานประสบผลสำเร็จ
พระราชกระแสรับสั่งดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความสนพระราชหฤทัย และพระปรีชาในเรื่องของสมุนไพร โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความที่ปรากฏในข้อ 9 เป็นสิ่งบ่งบอกอย่างชัดแจ้งถึงการที่ทรงตระหนักในคุณค่า ของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยเรื่องการใช้สมุนไพร
เศรษฐกิจแบบพอเพียง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเข้าพระราชหฤทัยในความเป็นไปของเมืองไทย และคนไทยอย่างลึกซื้ง และกว้างไกล ได้ทรงวางรากฐานในการพัฒนาชนบท และช่วยเหลือประชาชน ให้สามารถพึ่งตนเองได้มีความ “ พออยู่พอกิน ” และมีอิสระที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องยึดติดอยู่กับเทคโนโลยี และความเปลี่ยนแปลงของกระแส โลกาภิวัฒน์ ทรงวิเคราะห์ว่าหากประชาชนพึ่งตนเองได้แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสร้าง ประเทศชาติ โดยส่วนรวมได้ในที่สุด พระราชดำรัสที่สะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์ในการสร้างความเข้มแข็ง ในตนเองของประชาชน และสามารถทำมาหากินให้พออยู่พอกินได้ ดังนี้
“ … ในการสร้างถนน สร้างชลประทานให้ประชาชนใช้นั้น จะต้องช่วยประชาชนในทางบุคคล หรือพัฒนาให้บุคคลมีความรู้และอนามัยแข็งแรง ด้วยการให้การศึกษาและการรักษาอนามัย เพื่อให้ประชาชนในท้องที่สามารถทำการเกษตรได้ และค้าขายได้ … ”
ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงขึ้นนี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจ ได้ชัดเจนในแนวพระราชดำริของ “ เศรษฐกิจแบบพอเพียง ” ซึ่งได้ทรงคิดและตระหนักมาช้านาน เพราะหากเราไม่ไปพึ่งพายึดติดอยู่กับกระแสภายนอกมากเกินไปจนได้ครอบงำความคิดในลักษณะดั้งเดิมแบบไทยๆ ไปหมด มีแต่ความทะเยอทะยานบนรากฐานที่ไม่มั่นคงเหมือนลักษณะฟองสบู่ วิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้น หรือไม่หนักหนาสาหัสจนเกิดความเดือดร้อนกันถ้วนทั่วเช่นนี้ ดังนั้น “ เศรษฐกิจแบบพอเพียง ” จึงได้สื่อความหมาย ความสำคัญในฐานะเป็นหลักการสังคมที่พึงยึดถือ
ในทางปฏิบัติ จุดเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น เศรษฐกิจพอเพียงเป็นทั้งหลักและกระบวนการทางสังคม ตั้งแต่ขั้นฟื้นฟูและขยายเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและบริโภคอย่างพออยู่พอกินขึ้นไปถึงขั้นแปรรูปอุตสาหกรรมครัวเรือน สร้างอาชีพและทักษะวิชาการที่หลากหลายเกิดตลาดซื้อขาย สะสมทุน ฯลฯ บนพื้นฐานเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชนนี้ เศรษฐกิจของชาติจะพัฒนาขึ้นมาอย่างมั่นคงทั้งในด้านกำลังทุนและตลาดภายในประเทศ รวมทั้งเทคโนโลยีซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ภายในชาติ และพร้อมที่จะพึงคัดสรรเรียนรู้จากโลกภายนอก
ดังนั้น พระราชดำริที่ทรงส่งเสริมเรื่องสมุนไพร ตั้งแต่การที่ให้เกษตรกรหันมาสนใจปลูก ก็จัดได้ว่าเป็นแนวทางการฟื้นฟูฐานะเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น ด้วยการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรรมที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังทรงโปรดให้นักวิชาการเข้ามาศึกษาค้นคว้าการใช้ประโยชน์สมุนไพรทางการแพทย์ โดยสามารถพัฒนาเพิ่มเติมหรือขยายผลจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิปัญญาไทยที่ได้นำเอาสมุนไพร หลายชนิดมาใช้บำบัดรักษาโรคแต่โบราณกาล จนเกิดเป็นตำรายาไทยต่างๆ สมุนไพรใดใช้ได้ผลดี
จะได้พัฒนาและแปรรูป ตั้งแต่อุตสาหกรรมครัวเรือน จนขยายเป็นอุตสาหกรรมในระดับสูงขึ้น เกิดเป็นตลาดซื้อขาย มีการสะสมทุน ทำให้เกิดความมั่นคง และพัฒนาเศรษฐกิจของชาติต่อไป สำหรับผู้ที่ปลูกในครัวเรือนเป็นงานอดิเรก สมุนไพรหลายชนิดอาจใช้ช่วยเหลือแก้ไขโรคเล็กๆน้อยๆ เฉพาะหน้า ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาล เมื่อเกิดความเจ็บป่วยเล็กน้อย ซึ่งอาจดูแลตัวเองได้ และยังลดการใช้ยาแผนปัจจุบันที่โดยปกติจะต้อง นำสั่งเข้ามาจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด
การพัฒนาไปสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่
หลักการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงใช้คือ “ การให้มีตัวอย่างของความสำเร็จ ” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรื่องนั้นๆ สามารถทำให้สำเร็จได้ จึงมีพระราชดำริให้จัดตั้ง “ ศูนย์การศึกษาพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ” ขึ้นในทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อเป็นสถานที่ศึกษาทดลองวิจัย และแสวงหาความรู้เทคนิควิชาการสมัยใหม่ เมื่อได้ผลจากการศึกษาแล้ว จึงนำไปส่งเสริมและเผยแพร่ให้ได้ใช้โดยทั่วกัน
สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสมุนไพรนั้น ได้ดำเนินการผสมผสานกันไปร่วมกับผลิตภัณฑ์การเกษตร อื่นๆ และผลิตอาหาร เช่น การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue Culture) เพื่อเพิ่มผลผลิตโดยไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่การใช้เพาะปลูกมากเกินไป การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีชีวภาพอื่นๆ เช่น การใช้ประโยชน์จากจุลชีพเพื่อการผลิต นอกจากนี้ยังมีโครงการทดลอง และห้องปฏิบัติการเพื่อการวิจัยและพัฒนาสำหรับผลิตภัณฑ์อาหาร และการเกษตรในบริเวณพระราชวังสวนจิตรลดา ซึ่งทรงให้ใช้พื้นที่อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดทุกหย่อมหญ้า ตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่ได้ใช้เทคโนโลยีพัฒนาจนได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถ วางจำหน่ายในท้องตลาดได้จริง เช่น

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

เห็ดหลินจือ ลักษณะผิวด้านบน และด้านล่างของดอกเห็ด
เห็ดหลินจือสกัดที่ทำเป็นน้ำเห็ดหลินจือกระป๋อง และน้ำสมุนไพรอื่นๆ เช่น น้ำกระเจี๊ยบ เป็นต้น ทั้งนี้เทคโนโลยีที่นำมาใช้นั้นทรงมีหลักการให้เป็นลักษณะที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินไป สามารถดำเนินการได้ภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเป็นเทคโนโลยีที่ใช้เครื่องจักรกล ที่สามารถผลิตได้ในประเทศ ราคาไม่แพงมาก และใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าซึ่งก็ยังคงรักษาลักษณะ ของเศรษฐกิจพอเพียงแต่มีรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไป
อย่างไรก็ดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญและทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ในเรื่องของการพัฒนาสมุนไพรเป็นอย่างยิ่ง ทรงส่งเสริมสนับสนุนให้หมู่คณะ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องพยายามพัฒนาการวิจัยสมุนไพรให้เจริญก้าวหน้า ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสที่พระราชทาน แก่คณะผู้วิจัยขององค์การเภสัชกรรมที่เข้าเฝ้า ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2541 ที่ได้ทรงย้ำเน้นให้สนใจพัฒนาการวิจัยสมุนไพรให้มากๆ ดังได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น จึงจะเห็นได้ว่าได้ ทรงใช้พระราชวินิจฉัยที่เหมาะสมแก่กรณี โดยใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียงเป็นพื้นฐานแห่งการพัฒนา
แนวทางของโครงการพระราชดำริเกี่ยวกับสมุนไพร
โครงการพระราชดำริเกี่ยวกับการศึกษา พัฒนาและอนุรักษ์สมุนไพรที่ได้เกิดมากมายหลายโครงการนั้น อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
1. โครงการที่เกิดจากพระราชดำริโดยแท้จริง ได้แก่
โครงการสวนป่าสมุนไพรของศูนย์การศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อน ซึ่งในปัจจุบันมีพันธุ์พืชในสวนป่า แห่งนี้มากมายถึง 731 ชนิด โครงการพระราชดำริเพื่อการศึกษาวิจัยสมุนไพรที่ใช้กับโรคมะเร็ง โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับนายแพทย์นพรัตน์ บุญยเลิศว่า “ ฉันไม่สบายใจมากที่คนไทยของฉันเป็นมะเร็งตายกันมาก ” จากกระแสพระราชดำรัสดังกล่าวแสดงให้เห็น ถึงความห่วงใยในสุขภาพของประชาชน
เนื่องจากมีอัตราการตายด้วยโรคมะเร็งมากขึ้นเรื่อยๆ นายแพทย์นพรัตน์ จึงได้ทำการค้นคว้าทดลองและคิดค้นตำรับยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรคมะเร็งชนิดต่างๆ หลายตำรับและใช้รักษาผู้ป่วยอยู่จนถึงปัจจุบันสมุนไพรที่ใช้ในตำรับของนายแพทย์นพรัตน์ อาทิเช่นทองพันชั่ง (หญ้ามันไก่) Rhinacanthus nasutus Lour., ฟ้าทะลาย (ฟ้าทะลายโจร) Andrographis paniculata (Burm. F.) Nees, ผักบุ้ง (ผักทอดยอด) Ipomoea aquatica Forsk และหญ้าผมยุ่ง Xanthium strumarium Linn. เป็นต้น

ทองพันชั่ง (หญ้ามันไก่) ฟ้าทะลาย (ฟ้าทะลายโจร) หญ้าผมยุ่ง (กระชับ)
2. โครงการที่เกิดขึ้นโดยหน่วยงาน องค์กร หรือกลุ่มบุคคลที่ดำเนินการจัดทำขึ้นเพื่อสนอง พระราชดำริ ได้แก่
โครงการภายใต้มูลนิธิโครงการหลวง จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือชาวเขาให้มีอาชีพทำกินอันเป็นการแก้ปัญหายาเสพติดและการตัดไม้ทำลายป่า โดยส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกพืชต่างๆ ทดแทนฝิ่น ในปัจจุบันมีสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรของมูลนิธิโครงการหลวงภายใต้ชื่อว่า “ ดอยคำ ” มากมายหลายชนิด

ผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิโครงการหลวง
ภายใต้ชื่อว่า “ ดอยคำ ”
สวนซิงโคนา ดอยสุเทพ เป็นพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำริให้ใช้เป็นที่ทำการทดลองปลูกพืชสมุนไพร จึงได้มีการนำต้นซิงโคนา (ควินิน) มาทดลองปลูก ทำการวิจัยและขยายพันธุ์ให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้ มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการศึกษาทดลองสมุนไพรอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย
สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ตั้งอยู่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่รวม 3,500 ไร่ เป็นศูนย์วิชาการและบริการด้านพฤกษศาสตร์ของประเทศ เพื่อรวบรวมพรรณไม้ชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงอนุรักษ์พันธุ์พืชในประเทศไทย โดยเฉพาะไม้ประจำถิ่น กล้วยไม้ ไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ ไม้สมุนไพร ไม้หายาก และไม้ที่กำลังจะสูญพันธุ์ ตลอดจนการดำเนินการขยายพันธุ์ให้มีปริมาณเพิ่มขึ้นเพื่อการศึกษาในอนาคต
สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง ดำเนินการสร้างขึ้นโดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย มีพื้นที่ 60 ไร่ เพื่อเป็นศูนย์รวบรวมความรู้ในเรื่อง พืชสมุนไพร โดยรวบรวมพันธุ์พืชต่างๆ ผลิตและขยายพันธุ์สมุนไพรบางชนิดที่ได้มีการพิสูจน์สรรพคุณทางยา และเป็นสวนสาธารณะเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ ภายในสวนมีการจัดปลูกพืชสมุนไพรเป็นหมวดหมู่จำแนก ตามสรรพคุณเป็น 20 อาการโรค

ต้นซิงโคนา (ควินิน)

สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากที่มีการผนวกเรื่องสมุนไพรเข้าไว้ด้วยกันทั้งทางตรงและทางอ้อม
ในจำนวนโครงการพระราชดำริเกี่ยวกับสมุนไพรที่มีอยู่หลากหลายโครงการและมีวัตถุประสงค์ต่างๆ กันนั้น อาจจำแนกแนวทางของโครงการเหล่านั้นตามวัตถุประสงค์ได้เป็น 4 แนวทางใหญ่ๆ ได้แก่
1. เป็นการพัฒนาและอนุรักษ์พันธุ์ไม้ให้เหมาะสมต่อการปลูกในประเทศไทย โดยเฉพาะพันธุ์ไม้ ที่หายากและอาจสูญพันธุ์ได้หากไม่ได้รับการดูแลรักษา และทำนุบำรุงให้อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับพืชนั้น
2. เป็นการเพิ่มทางเลือกใหม่สำหรับส่งเสริมการประกอบอาชีพของประชาชน และเกษตรกรเพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้ดีขึ้นโดยอยู่บนรากฐานของการพึ่งพาตนเอง
สมุนไพรที่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาจนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ กาแฟ และบุก ส่วนสมุนไพรอื่นๆ ทั้งสมุนไพรไทยและต่างประเทศก็ได้รับการส่งเสริม เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการประกอบอาชีพ เช่น ทายม์ (Tyme, Thymus spp.) แทเรกอน (Tarragon, Artemisia dracunculus) พาร์สลีย์ (Parsley, Petroselinum spp.) อีหรุด (Rue, Ruta graveolens) และเอื้องหมายนา (Costus, Costus speciosus) เป็นต้น
กาแฟ เป็นพืชพื้นเมืองของเอธิโอเปียและอาฟริกา ต่อมานำไปปลูกในประเทศในเขตร้อน เช่น อินโดนีเซีย ศรีลังกา อเมริกากลางและใต้ โดยเฉพาะในบราซิล
กาแฟมีหลายพันธุ์ ได้แก่ Coffea arabica, C.loberica และ C. robusta เป็นต้น ต้นกาแฟจะให้ผลตั้งแต่อายุ 3 ปีถึง 30-50 ปี หรือมากกว่า โดยปริมาณผลที่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ อายุ สภาพดินฟ้าอากาศ และอื่นๆ องค์ประกอบในเมล็ดกาแฟที่สำคัญคือ Cafeine 0.3-3.5 % Chlogenic acid 3-10 % Theophylline และ Theobromine จำนวนเล็กน้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้มีการส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกกาแฟด้วยการใช้พันธุ์ที่ดีและการจัดการที่ดี โดยกรมวิชาการเกษตรได้ศึกษาค้นคว้าหาพันธุ์กาแฟอาราบริก้าที่ทนทานต่อโรคราสนิม คือพันธุ์บัลติมอร์ ซึ่งต่อมาได้ขยายผลไปยังหน่วยงานและโครงการต่างๆ บนพื้นที่สูงภาคเหนือ
การผลิตกาแฟ ทำโดยเก็บผลสดแก่มาเอาเปลือกออก โดยอาจนำผลสดมาผึ่งแดด 2-3 สัปดาห์ เมื่อแห้งแล้วจึงกระเทาะเปลือกออก หรือนำผลสดมาทำให้แห้งด้วยการ ferment ที่ 70-80’F นาน 3 วัน นำมาล้าง ทำให้แห้งแล้วจึงเอาเปลือกออก เมื่อเอาเปลือกออกแล้วจากนั้นนำเมล็ดไปคั่วเพื่อทำให้น้ำตาลในเมล็ดกาแฟเป็น Caramel ปริมาณ Tannin ลดลง และไขมันในเมล็ดกาแฟเปลี่ยนเป็น Cafferol ซึ่งเมื่อละลายน้ำแล้วจะได้รสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัว
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของกาแฟส่วนใหญ่เป็นฤทธิ์ของ Caffeine โดยมีผลกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ร่างกายรู้สึกมีกำลังวังชา กระปรี้กระเปร่า และไม่ง่วงนอน Caffeine ยังมีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารและระบบสืบพันธุ์ด้วย
บุก ( Amorphophallus spp. ) เป็นสมุนไพรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่ง แป้งจากหัวบุกถูกนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อลดความอ้วน เนื่องจากในแป้งบุกมีสารสำคัญคือ Glucomannan ซึ่งเป็นสารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่มีพลังงานต่ำ นอกจากกลูโคแมนแนนจากบุก จะถูกนำไปใช้เป็นอาหารลดความอ้วนแล้ว ยังมีประโยชน์ในการช่วยบำบัดรักษา และบรรเทาอาการของโรคบางชนิด เช่น โรคไขมันในเลือดสูง ไขข้ออักเสบ เป็นต้น และยังใช้ในการผลิตโลชั่นบำรุงผิวและยาเม็ดชนิด Sustain release ด้วย

จากผลการทดลองทางคลีนิคทั้งในคนปกติและคนไข้โรคเบาหวาน พบว่าการรับประทานกลูโคแมนแนนจากบุก ทำให้น้ำตาลและอินซูลินในเลือดลดลง เนื่องจากความเหนียวของกลูโคแมนแนนทำให้การดูดซึมกลูโคส ในทางเดินอาหารลดลง
3. เป็นการรวบรวมพันธุ์ไม้มงคลต่างๆ ซึ่งเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีไทย อันเป็นการช่วย เพิ่มขวัญกำลังใจของประชาชน เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี รัฐบาลเป็นแกนนำร่วมมือ กับประชาชนจัดทำโครงการ ปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในการนี้สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้ทรงพระราชทานกล้าไม้มงคลประจำจังหวัด ส่วนราชการ และหน่วยงานเอกชนต่างๆ ซึ่งมีทั้งพืชสมุนไพรและพืชเศรษฐกิจ
4. เป็นสมุนไพรที่ปลูกเพื่อการพัฒนาเป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคโดยตั้งต้นจากพื้นความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ต่างๆ และมีการถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวมาจากบรรพบุรุษ
จากการสัมภาษณ์นายแพทย์นพรัตน์ บุญยเลิศ ทำให้ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้ค้นคว้าวิจัยหาสมุนไพรที่ใช้รักษามะเร็ง ซึ่งศึกษาจากเอกสารทางวิชาการพบว่า มีพืชจำนวนมากกว่า 1,000 ชนิดที่มีสารต้านมะเร็ง และนักวิทยาศาสตร์ได้สกัดแยกและหาสูตรโครงสร้างสำคัญออกมาได้หลายร้อยชนิด
มีรายงานผลการวิจัยพบสารต้านมะเร็งในพืชที่มีในประเทศไทยหลายชนิดด้วยกันคือ
แพงพวยฝรั่ง ( West Indian Periwinkle, Catharanthus roseus G.Don ) พบสารที่มีฤทธิ์ antitumor 6 ชนิดคือ Vincristine, Winblastine, Leurosine, Leurosidine, Rovidine และ Leurosivine ซึ่ง Vincristine เป็นยาสำคัญในปัจจุบันที่รักษา acute leukemia
เห็ดหลินจือ (เห็ดหมื่นปี) ( Lacquered Mushroom, Ganoderma lucida (Fr.) Karst.) พบว่าเห็ดหลินจือมีผลช่วยชะลออาการมะเร็งและยืดอายุผู้ป่วยได้
หญ้าปักกิ่ง (หญ้าเทวดา) ( Murdania loriformis ( Hassk.) Rolla et Kammathy) สารจำพวก Glycosphingolipid ที่สกัดแยกจากหญ้าปักกิ่ง มีฤทธิ์ต้านมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมของคนเมื่อทดลองในหลอดทดลอง
ชา ( Camellia sinensis Ktze. (Thea sinesis Linn.) ผลการวิจัยพบว่า น้ำชามีคุณสมบัติต้านมะเร็ง การดื่มน้ำชาเป็นประจำสามารถช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตามมีรายงานวิจัย บางฉบับที่บ่งชี้ว่า การเกิดมะเร็งของหลอดอาหารมีความสัมพันธ์กับการบริโภคชา
ลูกเดือย (Job’s tear, Coix lachrymai-jobi Linn.) มีฤทธิ์ยับยั้งสารส่งเสริมการก่อมะเร็ง (Tumor promotor) และมีผลยับยั้งการเกิดมะเร็งในหนูถีบจักร
ขมิ้นชัน (ขมิ้น) (Curcuma domestica Valeton (C. longa Linn.)) สารสำคัญในขมิ้นที่มีฤทธิ์ ต้านมะเร็งคือ Curcumin พบว่าขี้ผึ้ง Curcumin ให้ผลดีกับแผลมะเร็งภายนอก นอกจาก Curcumin แล้วยังมีผู้รายงานว่า Curcumin, arturmarone และ b – attantone ก็มีฤทธิ์ต้านมะเร็งเช่นกัน
โสม (โสมจีนหรือโสมเกาหลี P anax gingseng C.A. Meyer) (โสมอเมริกัน P. quinquefolium Linn.) จากการศึกษาวิจัยมีมากมายที่พบว่า โสมมีฤทธิ์ต้านมะเร็งหลายๆ ชนิด จากผลการทดลองในคนพบว่า การสกัดโสมด้วย Alcohol 95 % และส่วนสกัดซึ่งมี Saponin มีผลต้านมะเร็งกระเพาะอาหาร และป้องกันการเกิดมะเร็งปอดเนื่องจากสารเคมี
มะระขี้นก (Momordica charantia Linn.) จากการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาใน Cell line และในสัตว์ทดลอง พบฤทธิ์ต้านมะเร็ง โดยองค์ประกอบทางเคมีที่มีฤทธิ์เป็นสารที่สกัดได้จากผลสุก เมล็ด และผลดิบ
ถั่วเหลือง (Soy bean, Glycine max Merr.) จากการทดสอบผลของ genistein สารจำพวก Isoflavone จากถั่วเหลืองในหลอดทดลองพบว่า Genistein สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเต้านม เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก เซลล์มะเร็งกระเพาะอาหารและเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว จากคนและพบว่า Saponin จากถั่วเหลืองมีผลยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ของคน
กะหล่ำปลี (Brassica olercea Linn.) จากข้อมูลทางระบาดวิทยาชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่รับประทานกะหล่ำปลี หรือผักกลุ่ม Cruciferous เช่น ดอกกะหล่ำ บรอคอลี่ฯ ในปริมาณสูงและเป็นประจำ จะมีอัตราการเกิดมะเร็งต่ำ ในขณะที่กลุ่มที่ไม่เคยหรือรับประทานเป็นครั้งคราวมีอัตราการเกิดสูงกว่า 2-3 เท่า ผลลดอัตราการเกิดมะเร็งพบได้ในมะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ เต้านม และปอด มีรายงานบ้างในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และต่อมลูกหมาก
กระเทียม (Garlic, Allium sativum Linn.) จากข้อมูลการวิจัยพบว่า ผู้ที่รับประทานกระเทียมน้อยหรือไม่รับประทานเลยจะมีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร สูงกว่าผู้รับประทานกระเทียมในปริมาณมาก และพบว่า Dially disulfide ในกระเทียมเป็นสารที่ลดการก่อมะเร็งโดยไปยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของ Nitrosamine ไปเป็นสารก่อมะเร็ง
นอกจากนี้ยังมีการวิจัยฤทธิ์ต้านมะเร็งในสมุนไพรชนิดอื่นๆ อีกจำนวนมาก อาทิเช่น บัวบก มังคุด พริกไทย มะเขือยาว และดอกกระเจี๊ยบแดง เป็นต้น (เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราช รวมใจศรีนครินทรวิโรฒ 50 ปี, 25 พฤศจิกายน 2542 : 49-61)
3. พระราชจริยวัตรทางด้านพลศึกษา สุขศึกษา และนันทนาการ
การมีสุขภาพดี มีองค์ประกอบต่างๆ ที่ต้องปฏิบัติ เช่น การออกกำลังกาย การพักผ่อน การนอนหลับ การรักษาความสะอาดทั้งร่างกายและสิ่งแวดล้อมรอบตนเอง การระวังป้องกันอุบัติเหตุและโรคภัยไข้เจ็บ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การมีกิจกรรมนันทนาการที่ชื่นชอบของตนเองในยามว่าง หรือเมื่อต้องการผ่อนคลายความตึงเครียด เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นภาพรวมในเชิงบูรณาการถึงความสัมพันธ์ ระหว่างพลศึกษา สุขศึกษาและนันทนาการ
นับแต่ทรงพระเยาว์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชจริยวัตรทางพลศึกษา สุขศึกษา และนันทนาการ ที่เหมาะสมมาโดยตลอดแม้ในปัจจุบัน
นอกเหนือจากการที่พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ผู้รอบรู้ในวิทยาการสาขาต่างๆ ดังเป็นที่ประจักษ์ในพระอัจริยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดพระองค์ยังทรงเป็นนักปฏิบัติที่ยอดเยี่ยมเต็มไปด้วยความรู้ ความเข้าใจในหลักการที่ถูกต้อง พระราชจริยวัตรเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวโดยรวม หมายถึง การที่พระองค์ทรงบำรุงรักษาพระพลานามัยให้อยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์อยู่เสมอ ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างให้ประชาชนไทยได้พึงสนใจ และตระหนักในคุณค่าของการมีสุขภาพดีทั้งทางกายและทางใจ พระราชทานคำแนะนำเพื่อให้ประชาชนได้รู้หลักการและวิธีปฏิบัติตนที่ถูกต้อง ในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมีคุณภาพ
ด้วยพระราชกรณียกิจนานับประการ เป็นเหตุให้ต้องเสด็จพระราชดำเนินไป ทั่วผืนแผ่นดินไทยทุกปี ทั้งในท้องถิ่นแห้งแล้ง ทุรกันดาร ภูเขาสูง บางครั้งก็ทรงกรำฝนเป็นเวลานาน

บางครั้งก็ทรงงานอยู่ในภูมิประเทศดังกล่าวจนถึงมืดค่ำ ทรงพระดำเนินด้วยพระบาทเป็นระยะทางไกลๆ ไปยังหมู่บ้านต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง สิ่งที่ประจักษ์แก่ประชาชนชาวไทยและนานานประเทศคือ พระองค์ทรงมีพระวรกายที่แข็งแรงสง่างามตามพระชนมพรรษา ทรงงานได้อย่างราบรื่นต่อเนื่องอย่างมิเหน็ดเหนื่อย แม้พระเสโทอาบพระพักตร์ และพระวรกายจนชุ่มโชกก็มิได้ทรงย่อท้อต่อพระราชกรณียกิจ
กลับทรงใช้พระปรีชาญาณในการพินิจพิจารณาการวางแผน ศึกษา วิเคราะห์ เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ด้วยพระองค์เองมิได้ทรงดำรงพระองค์อยู่ในความเกษมสำราญเยี่ยงผู้ที่มีสถานภาพเดียวกันกับพระองค์ และมิได้ทรงมีเวลาเกษียณจากการทำงานอันหนักหน่วง มีผู้กล่าวว่าไม่มีตารางนิ้วใดบนผืนแผ่นดินไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไม่เคยทรงย่างพระบาทไปถึง หรือไม่ทรงรู้จัก พระองค์ทรงแม่นในเรื่องข้อมูลมาก มีพระราชกระแสว่า เรื่องที่สำคัญที่สุด สำคัญกว่าการแม่นข้อมูลคือ ต้องมีจินตนาการ เพื่อที่จะคาดการณ์ว่า ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คำถามสุดท้ายที่พระองค์เสด็จไปเยี่ยมเยียนราษฎร คือ มีอะไรให้ช่วยหรือไม่ ทรงทุ่มเทพระวรกายซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกปี ตลอดเวลา 50 กว่าปีที่ทรงอยู่ในสิริราชสมบัติ เป็นเพราะพระองค์ทรงเตรียมร่างกายให้พร้อมด้วยการออกกำลังพระวรกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ โดยการออกกำลังพระวรกายด้วยการเดิน การออกกำลังพระวรกาย เป็นไปตามหลักสำคัญที่พระราชทานแก่ปวงชน คือพออยู่พอกิน พอดี และเพียงพอ โดยยืนอยู่บนขาของตนเองได้หรือช่วยเหลือตนเองได้ เป็นความสมถะไม่ฟุ้งเฟ้อเรียบง่าย และปฏิบัติได้จริง วิธีออกกำลังพระวรกายหรือกีฬาที่ทรง เช่น เดิน วิ่งเหยาะ แบดมินตัน เรือใบ เรือกรรเชียง ฯลฯ โดยเฉพาะเรือใบ พระองค์ทรงโปรดที่จะ “ สร้าง ” ด้วยพระองค์เอง เพราะมีพระราชดำริว่า “ ซื้อแล้วแพง ”

ในวโรกาสต่างๆ พระองค์ได้พระราชทานพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท ให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญ ความจำเป็นและคุณประโยชน์ของการออกกำลังกายและการเล่นกีฬา พระราชปรารภที่อยู่ในพระราชนิพนธ์พระมหาชนก

ทรงออกกำลังพระวรกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ โดยการออกกำลังพระวรกายด้วยการเดิน
เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงปรัชญาและหลักการดำเนินชีวิต ที่ว่า ทุกคนเกิดมา ก็ต้องมีภาระหน้าที่ จึงต้องตั้งใจ ขยันหมั่นเพียร พยายามและอดทนในการปฏิบัติภารกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ใช้สติปัญญาความรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงเป็นพื้นฐานส่งเสริม เพราะหากมีเพียงความตั้งใจ มีสติปัญญาดี แต่สุขภาพอ่อนแอ ขาดความรู้ความเข้าใจ ขาดนิสัยการออกกำลังกาย ไม่รู้จักการเสริมสร้างและบำรุงรักษาร่างกายปล่อยไปตามยถากรรมแล้วก็ย่อมเกิดผลกระทบ ต่อประสิทธิภาพของงาน ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีไปด้วย
ตัวอย่างพระราชดำรัสที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ มีดังนี้
“ …ร่างกายของคนเรานั้นธรรมชาติสร้างมาสำหรับให้ออกแรงใช้งาน มิใช่ให้อยู่เฉยๆ ถ้าใช้แรงให้พอเหมาะพอดีโดยสม่ำเสมอ ร่างกายก็จะเจริญคล่องแคล่ว อดทน ยั่งยืน ถ้าไม่ใช้แรงเลย หรือไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะเจริญแข็งแรงไปไม่ได้ แต่จะค่อยๆ หมดแรงลงและหมดสภาพไปก่อนเวลาอันควร ดังนั้นผู้ที่ปกติมีการทำงานโดยไม่ใช้กำลังหรือใช้กำลังแต่น้อย จึงจำเป็นต้องหาเวลาออกกำลังให้พอเพียง ความต้องการตามธรรมชาติเสมอทุกวัน มิฉะนั้นจะเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่เขาจะใช้สติปัญญา ความสามารถของเขา ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและแก่ส่วนรวมได้น้อยเกินไป เพราะร่างกายอันกลับอ่อนแอลงนั้น จะไม่อำนวยโอกาสให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ… ”
(พระราชดำรัสในโอกาสประชุมสัมมนาเรื่อง การออกกำลังเพื่อสุขภาพ ณ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2523)
“ … การกีฬานั้นเป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่า เป็นการบริหารร่างกาย ให้แข็งแรง ทั้งเป็นการฝึกอบรม จิตใจให้เป็นผู้ร่าเริง รู้จักแพ้และชนะ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ให้อภัยซึ่งกันและกัน อย่างที่เรียกว่ามีน้ำใจเป็นนักกีฬา รวมความว่าผลของการกีฬา คือผลทางร่างกายและจิตใจ นอกจากนั้นยังจะส่งเสริมความสามัคคีกลมเกลียวกัน อันเป็นวัตถุประสงค์ที่พึงปรารถนายิ่ง… ” (พระบรมราโชวาทในวันเปิดงานกรีฑาและศิลปหัถตกรรมนักเรียน ณ กรีฑาสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2502)
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงมีพระราชดำรัสถึงความจำเป็น ความสำคัญและหลักของการออกกำลังกายว่า
“ …การออกกำลังกายนั้น ถ้าทำน้อยไปร่างกายและจิตใจก็จะเฉา แต่ถ้าทำมากไปร่างกายและจิตใจก็จะช้ำ การออกกำลังแบบมีระบบ ทำให้ร่างกายแข็งแรงตลอดเวลา… ”
การออกกำลังกายให้หัวใจเต้นเร็วตามอัตราการคำนวณนั้น จะเป็นการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน หรืออากาศนิยม (Aerobic Exercise) เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะ การกระโดดเชือก การปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ ฯลฯ
2. ความนาน คือ การออกกำลังกายตามข้อ 1 ให้มีอัตราการเต้นของหัวใจคงที่อยู่เช่นนั้นนาน ติดต่อกันอย่างน้อย 15-30 นาที
3. ความบ่อย คือ การออกกำลังกายให้ได้ตามข้อ 1 และข้อ 2 สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 ครั้ง (ครั้งละวัน)
การออกกำลังกายตามหลักการดังกล่าวนี้จะช่วยเสริมสร้าง รักษา และพัฒนาสมรรถภาพทางกาย อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของการมีสุขภาพดี
ดร.วินิจ วินิจฉัยภาค รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ฝ่ายที่ประทับเล่าว่า
“ … เมื่อปี พ.ศ.2525 พระองค์ทรงพระประชวรไข้มีพระอาการแทรกซ้อนทางพระหทัย เมื่อพระอาการทุเลา ในช่วงเวลาพักฟื้นนั้น คณะกรรมการแพทย์ได้ถวายคำแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังพระวรกาย ด้วยการทรงพระดำเนินเร็วหรือวิ่ง ซึ่งมีประโยชน์โดยตรงกับการทำงานของพระหทัย พระองค์ได้ทรงปฏิบัติ สืบเนื่องอย่างสม่ำเสมอ คือการออกกำลังกายแบบอากาศนิยม หรือที่เรียกว่าแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise)
คือการออกกำลังกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ ของลำตัว แขน ขา ให้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะต่อเนื่อง เพื่อให้มีการหดตัวและคลายตัวสลับกัน อันจะช่วยให้เพิ่มการสูบฉีดโลหิตมายังกล้ามเนื้อเหล่านี้ การที่กล้ามเนื้อต้องการออกซิเจนและระบายคาร์บอนไดออกไซด์ จะกระตุ้นหัวใจเต้นเร็วขึ้น ซึ่งสังเกตได้โดยการเพิ่มขึ้นของชีพจรเมื่อออกกำลังกาย ในการออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ จะต้องมีหลักสำคัญสามประการ คือ กระทำเป็นประจำทุกวัน ใช้กำลังพอประมาณ และในเวลาประมาณ 20-30 นาที ถ้าจะแปลงเป็นคำง่ายให้จำได้คือ FIT-F (Frequency = ความบ่อย) I (Intensity = การใช้พละกำลัง) และ T (Time = เวลาปฏิบัติ)
การออกกำลังกายแบบอากาศนิยมที่มีประโยชน์เท่ากับการบริหารหัวใจ จะต้องประกอบด้วย ระยะอุ่นเครื่อง (Warm Up) ระยะเร่ง (Workout หรือ E ndurance หรือ S timulus) และระยะชลอ (Cooldown)
สำหรับพระองค์จะทรงพระดำเนินเป็นระยะทางประมาณ 2,500 เมตร เวลาประมาณ 20 ถึง 22 นาทีเศษๆ หรือถ้าจะทรงจักรยานก็ประมาณ 12 – 14 กิโลเมตร ระยะเวลา 24 ถึง 25 นาทีเศษ โดยมีความเร็วสูงสุด 42 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะเร่ง ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีเศษของการติดตามการออกกำลังพระวรกาย จะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของชีพจรและ ความดันโลหิตมีความสัมพันธ์กับปริมาณการออกกำลัง แต่ละครั้งเป็นแบบฉบับที่สามารถยึดถือเป็นตำรา… ” พระจริยวัตรตามคำบอกเล่าดังกล่าว ชี้ชัดว่าพระองค์ทรงออกกำลัง พระวรกายตามหลักการสากลได้อย่างถูกต้อง และได้ผลดี ที่ต่อมาภายหลังเราได้เห็นกันแล้วว่า พระองค์กลับมีพระพลานามัยแข็งแรงดั่งเดิม ในเวลาไม่นานนักหลังจากทรงพระประชวร นอกจากจะทรงสั่งสอนชี้แนะแล้ว ยังใช้พระองค์เองเป็นสื่อการสอนโดยตรง ด้วยการลงมือปฏิบัติให้เห็นจริงเห็นจังอีกด้วย
เมื่อวันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ.2538 เวลา 20.00 น. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ได้ถ่ายทอดการพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรีสัมภาษณ์ และเผยแพร่ภาพบันทึกส่วนพระองค์เกี่ยวกับสุขภาพ ดังต่อไปนี้
– เสด็จ ณ ศาลาดุสิดาลัย เพื่อทรงออกกำลังพระวรกายตามปกติ
– แพทย์ประจำพระองค์ถวายการตรวจความดันพระโลหิต ซึ่งกระทำทั้งก่อนและหลังการออกกำลังพระวรกาย
– ทรงเริ่มการออกกำลังพระวรกายด้วยการทรงพระดำเนิน เริ่มจากทรงพระดำเนินอย่างช้า เพื่อทรงเตรียมพระวรกายก่อน โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ อัครราชกุมารี ร่วมเสด็จพระราชดำเนิน และยังมีข้าราชบริพารตามเสด็จ
– จากนั้นทรงเพิ่มความเร็วในการทรงพระดำเนิน ทรงวน 7 รอบ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ใช้เวลา 11 ถึง 18 วินาที จากนั้นเสด็จประทับพระที่นั่งให้แพทย์ถวายการตรวจความดันพระโลหิต
– พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สัมภาษณ์ ซักถามถึงพระอาการประชวร ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตอบข้อซักถามอย่างละเอียด ตอนหนึ่งของการอธิบายพระองค์ตรัสว่า “ เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ ต้องอธิบายว่าหัวใจเป็นอย่างไร ”
– จากนั้นทรงให้นำไวท์บอร์ดมาเขียนภาพหัวใจเพื่ออธิบายระบบการสูบฉีดเลือดพระองค์ทรงอธิบายว่า “ … หัวใจอยู่ข้างซ้าย หัวใจมีเครื่องปั๊มเป็นเครื่องสูบ เครื่องสูบสีแดงเป็นส่วนที่สูบเลือดไปเลี้ยงร่างกาย และส่วนที่รับเลือดที่ฟอกจากปอดมีออกซิเจนแล้ว … ”
ทรงบรรยายถึงพระอาการประชวรของพระองค์ โดยทรงวาดรูปประกอบการอธิบายถึงการไหลเวียน ของพระโลหิตว่า การที่พระองค์ ทรงพระประชวรนั้น
” … เป็นเพราะกล้ามเนื้อของหัวใจจะต้องแบ่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่เส้นเลือดที่จะไปเลี้ยงสมองนั้นไม่พอ เวลาออกกำลัง จึงทำให้ส่วนนี้ของร่างกายของหัวใจขาดเลือด ซึ่งหากมีอาการเช่นนี้ประมาณครึ่งชั่วโมงร่างกายจะเย็น เหงื่อออก หน้าซีด ซึ่งจะต้องได้รับการรักษา … ”
และมีพระราชดำรัส พระราชทานความรู้เรื่องการออกกำลังกายว่า
“… เมื่อวานนี้และวันนี้การออกกำลังกายเขาเรียก เอ็กเซอร์ไซด์เทสต์ ( Exercise Test ) การทดสอบออกกำลังบนเครื่องเดิน ตอนแรกเดินช้าและตอนหลังเร็วขึ้น และทำเสมือนปีนเขา ทำให้ต้องออกแรงมากขึ้น ครั้งละ 12 นาที วันนี้เดินเกือบ 12 นาที ใกล้เคียงกัน เมื่อวานชีพจรขึ้นไปถึง 112 และความดันถึง 180 หมายความว่า หากเดินเร็วกว่านี้นิดหน่อย ความดันเมื่อกี้ 170 ก็จะถึง 180 ชีพจรเท่ากับ 90 ก็จะเท่ากับ 100 และไม่รู้สึกเจ็บและอึดอัดอย่างที่เคยเป็น … ”
ปรัชญาและหลักของนันทนาการคือ เพื่อสร้างภาวะสมดุลแห่งการดำเนินชีวิตระหว่างภารกิจการงาน กับยามว่างจากภารกิจ มนุษย์ย่อมมีภาระหน้าที่ต้องกระทำตามความจำเป็นในการดำรงชีวิต การละเลยหน้าที่จะกลายเป็นคนขี้เกียจและขาดคุณภาพแห่งชีวิต ภารกิจการงานอาจนำซึ่งความเคร่งเครียด วิตกกังวลอันเป็นสิ่งบั่นทอนจิตใจและร่างกาย สิ่งที่ตรงกันข้ามกับงานก็คือ การกระทำสิ่งที่ผ่อนคลาย หรือการพักผ่อน การกระทำกิจกรรมเพื่อลดหรือระบายความเคร่งเครียดนั้น ต้องอำนวยประโยชน์อย่างแท้จริง ที่จะทำให้ร่างกายสดชื่น อารมณ์แจ่มใสเบิกบาน เพลิดเพลินสนุกสนาน ร่าเริงมีชีวิตชีวา แต่ถ้าการกระทำกิจกรรมนั้นไม่เป็นประโยชน์ก็จะกลายเป็นดาบสองคม สร้างปัญหาให้แก่ตนเอง ครอบครัว และสังคมประเทศชาติได้ นันทนาการจึงเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงออกมาด้วยกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งกว้างขวาง และลึกซึ้งในยามว่าง คุณค่าของนันทนาการก่อให้เกิดประโยชน์นานัปการทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม เป็นพลเมืองดีมีประสิทธิภาพต่อประเทศชาติ กิจกรรมนันทนาการอาจเป็นได้ทั้งด้านกีฬา ดนตรี ทำสวน เขียนหนังสือ วาดภาพระบายสี จักสาน ปั้นแต่ง ฯลฯ
จากหลักการทางนันทนาการดังกล่าว บุคคลสำคัญที่เป็นแบบอย่างที่ดีงาม ควรแก่การยกย่องเทิดทูน คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมี พระราชดำรัสพระราชทานแก่ คณะกรรมการของสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ความว่า
“ … ดนตรีนี้เป็นศิลปะและนับว่าเป็นกิจกรรมที่กว้างขวางมาก ดนตรีนี้พาดพิงถึงชีวิตประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง … การเล่นดนตรีและการฟังดนตรี ประชาชนก็ได้รับความบันเทิง และได้ผ่อนอารมณ์ให้มีจิตใจร่าเริง สามารถที่จะมีกำลังใจอย่างสูง … ”
การพลศึกษา สุขศึกษา และนันทนาการ เป็นศาสตร์ที่ช่วยดูแล ป้องกัน เสริมสร้างรักษาและพัฒนาสุขภาพของมนุษย์โดยองค์รวม (Holistic) เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นจะได้อยู่อย่างเป็นสุข อยู่ดีกินดี (Well-being) ไปจนตลอดชีวิต การประพฤติปฏิบัติตนแต่ในสิ่งที่ดีงาม สมถะ ไม่ฟุ่มเฟือย อย่างรู้จักคำว่า “ พอ ” ทั้งพออยู่ พอกิน พอดี และพอเพียง ด้วยชีวิตที่เรียบง่ายและลงมือปฏิบัติอย่างผู้รู้จริง จึงเป็นพฤติกรรมที่สนองพระราชดำริโดยแท้ ซึ่งไม่เพียงพอแต่ก่อสุขให้เกิดแก่ตนเองเท่านั้น ยังส่งผลไปถึงสังคมและประเทศชาติอย่างยั่งยืน (Sustainable) อีกด้วย และยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อเจริญรอยตามพระยุคลบาท “ พ่อของแผ่นดิน ”