พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
บทที่ 7 การเจริญพระราชไมตรีกับต่างประเทศ
ในสมัยสุโขทัยประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับ ต่างประเทศค่อนข้างจำกัดเฉพาะ กับดินแดนที่อยู่ใกล้ชิด ติดต่อกัน ส่วนใหญ่หนักไปทางการค้า หรือการสู้รบกัน
ประเทศไทยเริ่มติดต่อกับประเทศตะวันตก ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 โปรตุเกส เป็นชาติยุโรปชาติแรกที่มาติดต่อค้าขายกับไทย (พ.ศ.2059) ถัดมาเป็นประเทศสเปน (พ.ศ.2141) ประเทศเนเธอร์แลนด์ (พ.ศ.2146) และประเทศอังกฤษ (พ.ศ.2155) ในสมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ซึ่งตรงกับสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกาทศรถ ส่วนคณะสอนศาสนาฝรั่งเศส มาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ประมาณ พ.ศ.2207 ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งประเทศฝรั่งเศส และตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชของไทย
พระเจ้าหลุยส์ได้ส่งราชทูตและคณะมาเยือนไทย 3 ครั้ง และไทยได้ส่งคณะทูตไปฝรั่งเศสเพื่อเป็นการตอบแทน 3 ครั้ง เช่นกัน คณะทูตไทยชุดที่ 3 ประกอบด้วย ออกพระวิสูตรสุนทร (โกษาปาน ซึ่งในประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า พระบรมราชจักรีวงศ์นี้สืบเชื้อสายมาจากท่านผู้นี้ ดูผังบรรพชน) เป็นราชทูตและมีออกหลวงกัลยาราชไมตรี และออกขุนศรีวิสารวาจาร่วมอยู่ในคณะทูตที่ได้เดินทางไปฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2228

เอกอัครราชฑูตฝรั่งเศสเข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์น
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในปี พ.ศ.2228

คณะทูตไทยชุดที่ 3 ออกพระวิสูตรสุนทร (โกษาปาน) ราชทูต ออกหลวงกัลยาราชไมตรี และออกขุนศรีวิสารวาจา

คณะราชฑูตไทยเข้าเฝ้าฯ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ.2229
ผังบรรพชนของสมเด็จพระปฐมวงศ์

จากหนังสือ ธำรงศักดิ์ อายุวัฒนะ. ราชสกุลจักรีวงศ์ และราชสกุลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชฉบับสมบูรณ์ (ภาคต้น). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : บรรณกิจเทรดดิ้ง, 2515. หน้า 8. หลังจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคตแล้ว การพระราชไมตรีกับต่างประเทศหยุดชะงักลงเป็นเวลาเกือบศตวรรษครึ่ง จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวเสด็จออกรับคณะราชทูตฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ 22 พฤษจิกายน พ.ศ.2410 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมในหมู่พระอภิเนาวนิเวศน์
ทรงสวมสายสะพายลิจองดอนเนอร์ พร้อมทั้งดาราซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฝรั่งเศส
เพื่อเป็นเกียรติแก่คณะราชทูตฝรั่งเศสในครั้งนั้น

ภายถ่ายคณะทูตไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ราชทูตไทย
อัญเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการ ไปถวายสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย ณ. ประเทศอังกฤษ
ที่ไทยได้ทำสนธิสัญญากับอังกฤษ เมื่อสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิคตอเรียได้โปรดเกล้าฯ ให้เซอร์จอห์น เบาริ้งค์ เป็นราชทูตมาเจรจาทำสนธิสัญญากับไทยเกี่ยวกับเสรีภาพทางการค้าและการคุ้มครองกงสุล ในปี พ.ศ.2398 สนธิสัญญานี้ชื่อว่า “ สนธิสัญญาเบาริ้งค์ ” และในปีพ.ศ.2398 ได้มีประเทศอีก 12 ประเทศมาขอทำสัญญาทำนองเดียวกับประเทศอังกฤษ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เดนมาร์ค โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน สวีเดน นอร์เวย์ เบลเยี่ยม อิตาลี ออสเตรีย – ฮังการี และสเปน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตไทยอันมีพระยามนตรีศรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นราชทูต จมื่นสรรพเพชภักดี (เพ็ง) อุปทูต และจมื่นมณเฑียรพิทักษ์ (ด้วง) ตรีทูต โดยมีหม่อมราโชทัย (ม.ร.ว.กระต่าย อิศรากูร) ทำหน้าที่เป็นล่ามนำพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปเจริญพระราชไมตรียังราชสำนักอังกฤษ ในปี พ.ศ.2400
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงมีพระราชไมตรีอันดียิ่งกับพระเจ้าออสการ์ ที่ 2 กษัตริย์สวีเดน พระเจ้าซาร์นิโคลัส แห่งรัสเซีย แต่ครั้งยังทรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์ม ที่ 2 ของประเทศเยอรมันก็ทรงต้อนรับนับเป็นพระสหาย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายพระรูปร่วมกับพระเจ้าซาร์นิโคลัส

สมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 2
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จต่างประเทศ 2 ครั้ง คือ ทรงเยี่ยมเยียนประเทศต่างๆ ทางตอนใต้ของไทย ได้แก่ สิงคโปร์, เบตาเวีย (พ.ศ.2413), อินเดีย (พ.ศ.2414) และเสด็จไปรัสเซีย และยุโรป (พ.ศ.2440) ส่วนในรัชกาลอื่นๆ นั้นได้มีการติดต่อกับต่างประเทศใกล้ชิดมากขึ้นเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย ทั้งรัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 รัชกาลที่ 8 และรัชกาลปัจจุบัน อีกทั้งพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์ในทุกรัชกาลได้เสด็จไปทรงศึกษายังต่างประเทศทั้งสิ้น รวมทั้งผู้ที่เป็นสามัญชนและเป็นลูกหลานข้าราชสำนักก็ได้ไปศึกษาเล่าเรียนในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ประเทศต่างๆ เหล่านั้นรู้จักประเทศไทยมากขึ้น และไทยก็รับชาวต่างชาติเข้ามาทำราชการในราชสำนัก และได้ทรงปูนบำเหน็จรางวัลความดีความชอบแก่ข้าราชการชาวต่างประเทศเช่นเดียวกับข้าราชการไทย เช่น พระราชทานเหรียญตรา และบรรดาศักดิ์ เป็นต้น
การเจริญพระราชไมตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จเยี่ยมเยือนราษฎรทั่วทุกภาคของประเทศแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะเสด็จฯ เยี่ยมเยือนมิตรประเทศเพื่อทรงเจริญสัมพันธไมตรีตามแบบอย่างที่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนๆ เคยทรงปฏิบัติมา
นับได้ว่าเป็นพระราชกรณียกิจที่เด่นที่สุด และทรงเผยแพร่ประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักแก่ชาวโลกหลายร้อยล้านคน ได้เสด็จเยือนนานาชาติตามคำกราบบังคมทูลเชิญ ของพระมหากษัตริย์ ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของ 27 ประเทศจาก 4 ทวีปทั่วโลกที่มีสัมพันธ์ไมตรีอันดีงาม และใกล้ชิดสนิทสนมกับประเทศไทยเป็นอย่างดียิ่ง
การเสด็จประพาสนานาชาติ 27 ประเทศในช่วงระยะเวลา 8 ปี (พ.ศ.2502 – 2510) นั้น ซึ่งในระยะเวลา 8 ปี ขณะนั้นมีหลายประเทศเกิดวิกฤติการณ์ในทางการเมือง ส่วนผลของการเสด็จเยี่ยมนานาชาติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เกิดผลดีแก่ประเทศชาติเกินคาดหมาย ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของประเทศ ผลต่างๆ ที่ประเทศไทยจะได้รับนี้ นอกจากที่ปรากฏอยู่ตามรายงานการเดินทางแต่ละประเทศแล้วยังจะมีผลผูกพันกันไปไกลในอนาคตกาลอันยาวนาน ดังรายการต่อไปนี้
พ.ศ.2502
1. เสด็จฯ เยือนประเทศเวียดนามใต้ เมื่อวันที่ 18 ถึงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2502
พ.ศ.2503
2. เสด็จฯ เยือนประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 8 ถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2503
3. เสด็จฯ เยือนประเทศพม่า เมื่อวันที่ 2 ถึงวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2503
4. เสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกา (ครั้งแรก) เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนถึงวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2503
5. เสด็จฯ เยือนประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 19 ถึงวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2503
6. เสด็จฯ เยือนประเทศเยอรมัน เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ถึงวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2503
7. เสด็จฯ เยือนประเทศปอร์ตุเกต เมื่อวันที่ 22 ถึงวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2503
8. เสด็จฯ เยือนประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 29 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2503
9. เสด็จฯ เยือนประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 6 ถึงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2503
10. เสด็จฯ เยือนประเทศนอร์เวย์ เมื่อวันที่ 19 กันยายน ถึงวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2503
11. เสด็จฯ เยือนประเทศสวีเดน เมื่อวันที่ 21 ถึงวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2503
12. เสด็จฯ เยือนประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 28 กันยายน ถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2503
13. เสด็จฯ เยือนรัฐวาติกัน ( ในอิตาลี ) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2503
14. เสด็จฯ เยือนประเทศเบลเยี่ยม เมื่อวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2503
15. เสด็จฯ เยือนประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 11 ถึงวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2503
16. เสด็จฯ เยือนประเทศลักแซมเบอร์ก เมื่อวันที่ 17 ถึง วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ.2503
17. เสด็จฯ เยือนประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 23 ถึงวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2503
18. เสด็จฯ เยือนประเทศสเปน เมื่อวันที่ 3 ถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2503
(หมายเหตุ) หมายเลข 5 – 18 เป็นประเทศแถบยุโรป
พ.ศ.2505
19. เสด็จฯ เยือนประเทศปากีสถาน เมื่อวันที่ 11 ถึงวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2505
20. เสด็จฯ เยือนประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 20 ถึงวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2505
21. เสด็จฯ เยือนประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 20 ถึงวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2505
22. เสด็จฯ เยือนประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ถึงวันที่ 6 กันยายน พ.ศ.2505
พ.ศ.2506
23. เสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ถึงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2506
24. เสด็จฯ เยือนประเทศสาธารณรัฐจีนชาติ เมื่อวันที่ 5 ถึง 6 มิถุนายน พ.ศ.2506
25. เสด็จฯ เยือนประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 9 ถึงวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2506
พ.ศ.2507
26. เสด็จฯ เยือนประเทศออสเตรีย ( ยุโรป ) เมื่อวันที่ 29 กันยายน ถึงวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2507
พ.ศ.2510
27. เสด็จฯ เยือนประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 23 เมษายน ถึงวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2510
28. เสด็จฯ เยือนประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ถึงวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2510
ในรายการที่เสด็จฯ เยือนประเทศแคนาดา ในปี พ.ศ.2510 นี้ได้เสด็จฯ เยี่ยมเยียนประเทศสหรัฐอเมริกาอีกเป็นครั้งที่ 2 ด้วย โดยเป็นแขกของประธานาธิบดี ลินดอน บี. จอห์นสัน ซึ่งเมื่อคราวเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ.2503 ในครั้งแรกนั้นเป็นแขกของประธานาธิบดี จอมพลพิเศษ ไอค์ เซนเฮาว์
พระราชดำรัสอำลาประชาชนชาวไทย เมื่อเสด็จฯ เยือน 14 ประเทศ
“ ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย เมื่อปีใหม่ข้าเจ้าได้แจ้งให้ทราบแล้วว่า ประเทศต่างๆ ได้เชิญให้ไปเยี่ยมเป็นราชการ บัดนี้ถึงกำหนดที่ข้าพเจ้าและพระราชินีจะไปประเทศเหล่านั้น พรุ่งนี้จะออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังสหรัฐอเมริกาก่อน แล้วจะไปประเทศอื่นๆ ในยุโรปอีก 13 ประเทศด้วยกัน
การไปต่างประเทศคราวนี้ ก็ไปเป็นราชการแผ่นดิน เป็นการทำตามหน้าที่ของข้าพเจ้า ในฐานะเป็นประมุขของประเทศ
เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ในสมัยนี้ประเทศต่างๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่เสมอ จะว่าชนทุกชาติเป็นญาติพี่น้องกันก็ว่าได้ จึงควรพยายามให้รู้จักนิสัยใจคอกัน ทั้งต้องผูกน้ำใจกันไว้ให้ดีด้วย การผูกน้ำใจกันไว้นั้น ธรรมดาญาติพี่น้องก็ไปเยี่ยมถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน แต่สำหรับประเทศนั้นประชาชนนับแสนนับล้านจะไปเยี่ยมกันก็ยาก เขาจึงยกให้เป็นหน้าที่ของประมุข ในการไปเยี่ยมประเทศต่างๆ ข้าพเจ้าก็จะแสดงต่อประชาชนของประเทศเหล่านั้นว่าประชาชนชาวไทยมีมิตรใจต่อเขา และข้าพเจ้าจะพยายามเต็มที่ เพื่อให้ฝ่ายเขารู้จักเมืองไทย และให้เกิดมีน้ำใจดีต่อชาวไทย ข้าพเจ้าจะลาท่านไปเป็นเวลาราว 6 เดือน ก็เป็นธรรมดาที่นึกห่วงใยบ้านเมือง จึงใคร่ตักเตือนท่านทั้งหลายว่า ขอให้ตั้งหน้าทำการงานของท่านให้เต็มที่ในทางที่ชอบที่ควร ตั้งตัวตั้งใจให้อยู่ในความสงบ จะได้เกิดผลดีแก่ตัวท่านเอง และแก่บ้านเมืองซึ่งเป็นของเราด้วยทุกคน ” (พึงจิตต์ ศุภมิตร, 2547 : 139)
รายละเอียดการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศระหว่าง พ.ศ.2502 – พ.ศ.2503 ( เป็นเวลา 6 เดือน )
1.การเสด็จเยือนประเทศทางเอเชีย
- 1.1 การเสด็จฯ เยือนประเทศเวียดนาม
เสด็จฯ สาธารณรัฐเวียดนาม เป็นเวลา 3 วัน วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2502 เวลาเช้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมด้วยข้าราชบริพาร เสด็จฯ ถึงท่าอากาศยานดันซอนนุต ไซง่อน เมื่อเวลา 11 นาฬิกา ทรงได้รับการรับเสด็จฯ จากทางการสาธารณรัฐเวียดนามอย่างสมพระเกียรติ

วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2502 ได้เสด็จฯ ไปทรงรับปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต ซึ่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยไซง่อนได้ทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงมีพระราชดำรัสถึงความเชื่อมั่นในมนุษยชาติ วิทยาศาสตร์และวิทยาการต่างๆ ที่เป็นปัจจัยส่งเสริมเสรีภาพส่วนบุคคลและของชาติ
วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2502 ได้เสด็จฯ เยือนมหาวิทยาลัยเว้ ทรงมีพระราชดำรัสตอบอธิการบดีตอนหนึ่งว่า
“… การศึกษาเป็นอาวุธสำหรับต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อที่มุ่งหวังจะก่อความแตกแยกและความพินาศย่อยยับ เป็นการง่ายที่จะชักจูงจิตใจหรือชักนำคนที่ไร้ความรู้ แต่คนที่ฉลาดและมีการศึกษาแล้ว ย่อมยากที่จะทำให้หลงเชื่อได้ง่าย …”
วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2502 เวลาค่ำ ได้เสด็จฯ กลับถึงพระนคร
- 1.2 การเสด็จฯ เยือนประเทศอินโดนีเซียเป็นทางราชการยังนครจาร์กาตา
ได้เสด็จฯ ไปทรงสักการะพระพุทธรูปที่โบโรบูดูร์ ปูชนียสถานที่เก่าแก่ทางพุทธศาสนาและสถานที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง ทรงได้รับการต้อนรับเสด็จฯ จากรัฐบาลและประชาชนชาวอินโดนีเซีย อย่างสมพระเกียรติ

- 1.3 การเสด็จฯ เยือนประเทศพม่า
ทรงได้รับการต้อนรับเสด็จฯ จากประธานาธิบดี รัฐบาลและประชาชนชาวพม่าเป็นอย่างดียิ่ง ทั้งสองพระองค์และผู้ติดตามในขบวนเสด็จฯ ได้ทรงทำพระองค์และทำตนให้เป็นที่นิยมชมชอบของเจ้าของบ้านมากที่สุด เช่น เมื่อทางการพม่าเชิญเสด็จฯ เจดีย์ชเวดากองอันลือชื่อของพม่า
ประธานาธิบดีเป็นผู้นำเสด็จฯ ชาวพม่านิยมถอดรองเท้าเมื่อขึ้นบนลานเจดีย์ แต่ไม่ได้กราบทูลให้ทรงทำอย่างเขา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเปล่าตลอดเวลาที่เสด็จฯ ขึ้นบนเจดีย์นั้น เป็นต้น


2. การเสด็จฯ เยือนประเทศสหรัฐอเมริกา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระหว่างการเสด็จฯ เยือนมิตรประเทศครั้งนี้
วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2503 พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสอำลาประชาชนมีความตอนหนึ่งว่า
“… พรุ่งนี้จะออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังสหรัฐอเมริกาก่อน แล้วจะไปประเทศอื่นในยุโรปอีก 14 ประเทศด้วยกัน การไปต่างประเทศนี้ก็เป็นราชการแผ่นดิน เป็นการทำหน้าที่ของข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นพระประมุขของประเทศ การผูกน้ำใจกันไว้นั้น ธรรมดาญาติพี่น้องก็ไปเยือนถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน แต่สำหรับประเทศนั้นประชาชนนับแสนนับล้าน จะไปเยี่ยมกันก็ยาก เขาจึงยกให้เป็นหน้าที่ของประมุข ในการไปเยือนประเทศต่างๆ ข้าพเจ้าก็จะแสดงต่อประชาชนของประเทศเหล่านั้นว่า ประชาชนชาวไทยมีมิตรจิตมิตรใจต่อเขา และข้าพเจ้าจะพยายามเต็มที่ เพื่อให้ฝ่ายเขารู้จักเมืองไทย และให้เกิดมีน้ำใจดีต่อชาวไทย ข้าพเจ้าจะขอลาท่านไปราว 6 เดือน …”

เสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลเมาท์ออเบอร์น และทรงฉายพระรูปกับหมอและพยาบาลทั้ง 4 เมื่อได้พระราชทานของที่ระลึกแล้ว
ได้เสด็จฯ เยี่ยมรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ฮาวาย วอชิงตัน วิลเลี่ยมส์เบอร์ก เวอร์จิเนีย นครนิวยอร์ก บอสตัน น๊อกวิลล์ เทนเนสซี โคโรลาโดสปริงส์ และซานฟรานซิสโก ตามลำดับ
การเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน ถึงวันที่ 14 กรกฎาคม ได้ทรงมีพระราชดำรัสใน รัฐสภาอเมริกา ณ กรุงวอชิงตัน
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน และวันที่ 30 ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุโทรทัศน์ เอน บี ซี ทรงกล่าวถึงความจำเป็นที่ชาติเสรีจะต้องร่วมมือป้องกันอันตรายร่วมกัน และการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยจะต้องอาศัยการลงทุนของต่างประเทศ ที่ นครบอสตัน
วันที่ 7 กรกฎาคม ได้เสด็จฯ เยี่ยมมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีพระราชดำรัสในงานเลี้ยงพระกระยาหารกลางวัน และเสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลเมาท์ออเบอร์นที่เสด็จพระราชสมภพ โปรดเกล้าฯ ให้นายแพทย์วิคเตอร์และพยาบาลที่เคยทำพระประสูติกาลเฝ้าฯ รับพระราชทานของที่ระลึก ทุกคนปลื้มปิติยินดีอย่างยิ่ง ที่นครนิวยอร์กได้ประทับรถพระที่นั่งผ่านถนน ซึ่งมีประเพณีโปรยลูกปาเป็นเกียรติแก่อาคันตุกะผู้มาเยือน …”
ถนนทุกสายกำลังมุ่งสู่กรุงวอชิงตัน
ถวายยศจอมทัพ
“ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐสภา ลงวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2485 ขอทูลเกล้าถวายเครื่องอิสริยาภรณ์ ลีเยียน ออฟ เมอริต ชั้น “ ชีพ คอมมานเดอร์ ” แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจอมทัพแห่งกองทัพไทย เนื่องจากพระราชกรณียกิจซึ่งได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว อย่างประเสริฐสุด
นับแต่ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้เป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภ์และจอมทัพไทย ได้ทรงบำเพ็ญพระองค์เป็นสัญญลักษณ์แห่งความสามัคคีและมิตรภาพที่มั่นคงในโลกเสรี
พระราชกรณียกิจมากมายหลายประการของพระองค์ท่าน ย่อมต้องใช้พระปรีชาสามารถอย่างกว้างขวาง ในการที่จะเห็นว่าในโลกใบนี้ปั่นป่วน และถูกทำลายล้างด้วยสงครามและกลียุคแห่งลัทธิต่างๆ นั้น การดำเนินงานเพื่อส่งเสริมเสรีภาพ จำเป็นจะต้องปฏิบัติด้วยความพยายาม และความช่วยเหลือร่วมกันเพื่อประโยชน์แห่งประเทศ ของพระองค์ท่าน และเพื่อดำรงไว้ซึ่งเสรีภาพและวิถีชีวิตของประเทศนั้นด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น ผู้สนับสนุนองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกัน แห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเข้มแข็ง นับตั้งแต่ได้สถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ.2498 และได้ทรงอุปถัมภ์ให้องค์กรนี้เจริญรุ่งเรืองสืบมา พระวิริยะส่วนพระองค์ในการเสด็จประพาสประเทศต่างๆ หลายแห่งก็ได้ให้ผลเป็นพิเศษ ในการส่งเสริมให้มีการเข้าใจซึ่งกันและกัน อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นในประเทศที่พระองค์เสด็จไปเยือน และที่แสดงความก้าวหน้าอย่างสำคัญของกองทัพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเกิดขึ้นจากการแนะนำและการนำของพระองค์ท่าน ก็ได้แก่ความนิยมนับถืออันสูงส่ง ของกองบัญชาการทหารสหประชาชาติในเกาหลี และของทุกชาติในโลกเสรีที่มีต่อกองทัพของพระองค์ …”

ที่กล่าวมาข้างบนนี้คือ คำกราบบังคมทูลถวายเครื่องอิสริยาภรณ์ ลีเยียน ออฟ เมอริต ชั้น “ จอมทัพ ” แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งประธานาธิบดีไอค์ เซนเฮาว์ แห่งสหรัฐอเมริกา ในนามของรัฐบาลอเมริกันได้กราบทูลถวาย ในงานพระราชพิธีถวายพระกระยาหารค่ำที่ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อคืนวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2503 นั้นเท่ากับเป็นประกาศนียบัตรเกียรติคุณอันสูงสุด ซึ่งชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบัน ได้ยอมรับและยกย่องในพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน
ในการเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาคราวนี้ ได้เสด็จไปในสถานที่สำคัญๆ แทบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่ได้เสด็จไปเยี่ยม ในที่ประชุมรวมของรัฐสภาทั้งสองของอเมริกัน ซึ่งนับว่าเป็นความสำคัญยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ของชาติไทยที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของชาติไทย ที่ได้มีการถวายการต้อนรับในสถานที่สำคัญที่สุด ของชาติมหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่ และทรงมีพระราชดำรัสในที่ประชุมของรัฐสภาร่วม ซึ่งมีข้อความสำคัญและเป็นที่ประทับใจของผู้ฟังถึงกับได้รับคำยกย่องว่าเป็น “ พระราชดำรัสที่ได้รับการปรบมือถึง 36 ครั้ง ”
ดังในพระราชดำรัสตอนหนึ่งซึ่งทรงกล่าวว่า
“… เช่นเดียวกับในสมัยโบราณที่ถนนทุกสายต่างมุ่งไปกรุงโรม ฉันใดก็ฉันนั้น ในปัจจุบันนี้ถนนทุกสายต่างก็มุ่ง ไปยังกรุงวอชิงตัน ”
กระแสพระราชดำรัสตอบประธานาธิบดีไอเซนเฮาว์ ที่ท่าอากาศยานกรุงวอชิงตัน เมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ.2503
“ ข้าพเจ้าขอขอบใจท่าน ขอขอบใจท่านมากทีเดียว ท่านประธานาธิบดี พวกเราทุกคนรู้สึกเป็นพระคุณเหมือนกันที่ได้เชื้อเชิญเรามา และก่อนจะออกเดินทางมาที่นี่ ข้าพเจ้าก็ได้แจ้งให้ประชาชนของข้าพเจ้าทราบแล้วว่า การมาเยี่ยมครั้งนี้เป็นกิจการบ้านเมือง คือ เมื่อเราคบกันเป็นมิตร หรือตามธรรมดาระหว่างมิตรและญาติก็ดี เราก็มักไปมาหาสู่กัน เป็นการสมานมิตรภาพนั้นไว้ แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องระหว่างชาติหนึ่งไปมาหาสู่กับอีกชาติหนึ่งนั้นย่อมทำไม่ได้ ประชาชนของข้าพเจ้ามี 24 ล้านคน ประชาชนของท่านก็มีถึง 190 ล้านคน เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นประมุขของชาติไทยจึงต้องมาแทน
วันที่เราเดินทางออกจากกรุงเทพฯ มา ประชาชนไทยก็ตามมาส่งกันอย่างคับคั่ง ทั้งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า เขามีความยินดีด้วยและขอส่งความระลึกถึงมาด้วย ฉะนั้น บัดนี้ในฐานะที่เป็นผู้แทนของประชาชนของข้าพเจ้า จึงขออวยพรในนามประชาชนขอให้ท่านในฐานะที่เป็นผู้แทนของประชาชนของท่าน มีความเจริญสุขสวัสดี ประเทศทั้งสองของเรามีความสัมพันธ์กันอย่างดียิ่งมานานแล้ว ซึ่งทั้งนี้เป็นเพราะว่า เรามีหลักใจอย่างเดียวกัน เราพูดกันว่า เมื่อไม่มีเสรีภาพแล้วจะมีความสุขได้อย่างไร และเมื่อเราได้มาถึงที่นี่แล้ว เราก็ได้แลเห็นหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายคลึงกันอยู่ เราชอบความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ และที่สำคัญกว่าอื่นใดหมด ก็คือ เรามีความรักในเสรีภาพ
ในส่วนตัวข้าพเจ้าเองแล้ว การมาครั้งนี้นับว่าเป็นความสำคัญมากอยู่ ข้าพเจ้าเกิดในประเทศนี้เอง ฉะนั้น จึงพูดได้ว่าสหรัฐอเมริกาเป็นกึ่งเมืองมารดรของข้าพเจ้า การมาเยือนคราวนี้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นอยู่มาก รู้สึกดีใจเหมือนได้เดินทางกลับบ้าน
ขอขอบใจท่านประธานาธิบดีอีกครั้ง ขอขอบใจมากทีเดียว ”
( อ . ประมวลวิทยา . 2514 : 75)
(ข่าวยูซีส ประจำวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2503)
3. การเสด็จเยือนประเทศต่างๆ ในยุโรป 14 ประเทศ
ทุกประเทศที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ เยือน ทรงได้รับการต้อนรับเสด็จฯ จากประมุขของประเทศ รัฐบาล และประชาชนอย่างดียิ่ง มีพิธีการรับเสด็จฯ เมื่อเสด็จฯ ถึง การจัดพระราชวัง หรือศาลาเทศบาล หรือโรงแรมชั้นพิเศษ เป็นที่ประทับการเลี้ยงรับรองเพื่อถวายพระเกียรติยศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ ทรงวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ทหารนิรนาม เสด็จฯ เยี่ยมตอบแทน ณ ที่ประทับ หรือที่พักของประมุขประเทศนั้น เสด็จฯ ออกรับทูต ผู้แทนรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่ประจำอยู่ในประเทศนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเสด็จฯ โรงพยาบาล หรือสภากาชาดของประเทศนั้นๆ และทั้งสองพระองค์ได้ทอดพระเนตรกิจการต่างๆ ทั้งการเศรษฐกิจ การทหาร และภูมิภาคทั่วไปของประเทศนั้น เพื่อทรงนำมาปรับปรุงใช้ประโยชน์สำหรับประเทศและประชาชนชาวไทยด้วย
- 3.1 การเสด็จฯ เยือนประเทศสหราชอาณาจักร
สมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 พระบรมราชินีนาถแห่งอังกฤษ และพระราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชนได้ถวายการต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชสาสน์ขอบพระทัยสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธฯ มีตอนหนึ่งว่า
“… การเดินทางมายังประเทศอังกฤษนั้น จะช่วยให้ประเทศของเราทั้งสอง และพระราชวงศ์ทั้งสองมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันยิ่งขึ้น เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
หม่อมฉันขอถวายพระพรให้ฝ่าบาทและดยุคแห่งเอดินเบอระ ทรงพระเกษมสำราญ ทรงประสบความสำเร็จ และทรงครองราชบัลลังก์อังกฤษตลอดชั่วกาลนาน พร้อมกันนี้ ขออวยพรให้ชาวอังกฤษทั้งมวล จงประสบความสุขและความเจริญรุ่งเรืองโดยทั่วกัน ”
ภูมิพล . ร . ( พระปรมาภิไธย )

เสด็จฯ เยือนประเทศสหราชอาณาจักร สมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 พระบรมราชินีนาถแห่งอังกฤษ
เสด็จฯ มาต้อนรับที่สถานีรถไฟวิกตอเรีย กรุงลอนลอน ปี พ.ศ.2503
สมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธฯ ทรงมีพระราชหัตถเลขาตอบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ว่า
“… หม่อมฉันขอขอบพระทัยฝ่าพระบาทด้วยใจจริง สำหรับลายพระหัตถ์ที่ฝ่าพระบาททรงมีไปถึงหม่อมฉันในวาระที่เสด็จพระราชดำเนินออกจากประเทศอังกฤษ และขอขอบพระทัยในพระพรของฝ่าพระบาทที่มีต่อเจ้าชายฟิลิปและหม่อมฉันตลอดจนประชาชนของหม่อมฉัน หม่อมฉันรู้สึกปลาบปลื้มที่ฝ่าพระบาททรงได้รับความสำราญระหว่างประทับอยู่ในกรุงลอนดอน ฝ่าพระบาทและพระราชินีทรงเป็นพระราชอาคันตุกะที่หม่อมฉันยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง การต้อนรับที่ฝ่าพระบาททรงได้รับจากประชาชนอังกฤษ จะทำให้ฝ่าพระบาททรงมั่นพระทัย ในความนิยมชมชื่นที่ชาวอังกฤษมีต่อฝ่าพระบาท และต่อประเทศไทย มิตรภาพซึ่งมีมานานระหว่างประเทศทั้งสองของเราจะกระชับยิ่งขึ้น โดยการที่ฝ่าพระบาทเสด็จพระราชดำเนินไปอังกฤษในครั้งนี้ ”
( พระปรมาภิไธย ) เอลิซาเบท
นี่เป็นประจักษ์พยานอย่างดียิ่งว่า การเสด็จเยือนนานาชาติ โดยเฉพาะมหาอำนาจชาติอังกฤษได้ผลดียิ่ง ดังที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ แห่งประเทศอังกฤษก็ทรงรับรองในพระราชกรณียกิจของพระองค์ในครั้งนี้
วิลาส มณีวัต (2543 : 153) เขียนเล่าว่า
“… เมื่อต้นปี 2509 ดยุค แห่ง เอดินเบอระแห่งเกาะอังกฤษ ได้ส่งเรือใบชนิดกินน้ำตื้น (Catamaran) มาถวาย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งชื่อเรือลำนี้ว่า “ ปลาดุก ” ซึ่งเป็นการเล่นคำ เพราะปลาดุกนั้น ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Cat fish” คำว่า cat หมายถึงเรือ Catamaran ส่วน “ ดุก ” นั้นทุกคนย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าทรงเลียนเสียง “ ดุ๊ค แห่งเอดินเบอระ ” ( คนไทยทั่วไปจะเรียก พริ้นซ์ ฟิลิปส์ ว่า “ ดุ๊ค ” เพียงสั้น ๆ )…”
แสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเจ้าฟ้าฟิลิปส์ทรงมีความสนิทสนมกันมาก และแสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางด้านอักษรศาสตร์ด้วย
- 3.2 การเสด็จฯ เยือนประเทศสาธารณรัฐเยอรมัน
ท่านประธานาธิบดีลิบเก้และท่านผู้หญิง และ ดร . คอนราด อะเดเนาว์ นายกรัฐมนตรีและภรรยาซึ่งต่างมีภาระกิจมาก ก็มาคอยเฝ้าอยู่กับทั้งสองพระองค์อยู่ตลอดเวลา

ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับประธานาธิบดีเฮนดริก ลิบเก้ ( Heinrich Lubke)
แห่งสาธารณรัฐเยอรมันตะวันตะวันตก พ.ศ.2509
ในคราวนี้นายกรัฐมนตรีบริจาคเครื่องฉายเอกซเรย์ และกงสุลไทยกิตติมศักดิ์บริจาคจักรเย็บผ้าพาฟ บริษัทเดมเลอร์ – เบนซ์ บริจาครถพยาบาล เพื่อมอบให้สภากาชาดไทย บริษัทกรูฟที่มีการค้าอยู่ในไทยเสนอให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทย 2 ทุน ไปเรียนในเยอรมัน 1 ปี โดยออกค่าเดินทางให้เสร็จ บริษัทซีเมนส์เสนอให้ทุนนักเรียน 1 คนเวลา 1 ปี และบริษัทเดมเลอร์ – เบนซ์เสนอให้ทุน 2 ทุน เพื่อไปฝึกฝนในโรงงานของเขา
- 3.3 การเสด็จฯ เยือนประเทศสาธารณรัฐโปรตุเกส
ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรสถานีทดลองและค้นคว้าการวิศวกรรม

ประทับฉายพระบรมฉายาลักษณ์กับประธานาธิบดีโปรตุเกส อเมอริโกโรดิเกซ์ โทมาส
( Americo Rodignez Tomaz) ปี พ.ศ.2503
- 3.4 การเสด็จฯ เยือนประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรที่ตั้งหน่วยทหารและโรงเรียนทหาร โรงงานทำโอวัลติน และโรงงานทำนาฬิกาโอเมก้า

เสด็จฯ เยี่ยมโรงเรียนนายร้อย Amour Corps Cadets ปี พ.ศ.2503
- 3.5 การเสด็จฯ เยือนประเทศเดนมาร์ก
ได้เสด็จฯ ไปยังบริษัท อีสต์เอเซียติก สถาบันค้นคว้าด้านพลังงานปรมาณู และโบสถ์โรสกิลต์ กษัตริย์เดนมาร์กทรงเสนอที่จะพระราชทานทุนเพื่อตั้งศูนย์โคนมไทย – เดนมาร์กที่ปากช่องด้วย ซึ่งรัฐบาลเดนมาร์กได้น้อมเกล้าฯ ถวายโครงการเลี้ยงโคนม “ ฟาร์มโคนมไทย – เดนมาร์ก ” ที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และเปิดโครงการเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ.2505 โดยมีพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 แห่งเดนมาร์กและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นองค์ประธานร่วมกัน

ทรงมีพระราชปฏิสันธานกับพระเจ้าเฟรดเดอริคที่ 9 ( Frederick IX)
และเจ้าฟ้าหญิงมาร์เกรตเต้ (Margrethe) แห่งประเทศเดนมาร์ก พ.ศ.2503
- 3.6 การเสด็จฯ เยือนประเทศนอร์เวย์
ได้เสด็จฯ โดยเรือยุตแลนเดียจากกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ไปยังกรุงออสโล เสด็จฯ ทอดพระเนตรพิพิธภัณฑ์รวบรวมเครื่องสกี เสด็จฯ เยี่ยมสถาบันค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม เสด็จฯ เยี่ยมท่าเรือคอนติกิ และทอดพระเนตรเรือสำรวจขั้วโลกและเรือไวกิ้ง

เสด็จฯ ประเทศนอร์เวย์ในปี พ.ศ.2503 โดยมีพระเจ้าโอลาฟที่ 5 พร้อมด้วยเจ้าหญิงแอสตริด (Astrid)
เสด็จฯ มาต้อนรับที่ท่าเทียบเรือออสโล (Oslo)
- 3.7 การเสด็จฯ เยือนประเทศสวีเดน
ได้เสด็จฯ เยี่ยมศูนย์การฝึกนายทหารเรือ ปราสาทกริปส์โฮล์ม โรงงานผลิตเครื่องจักรที่ใช้ในการเกษตร และเครื่องมือต่างๆ

ทรงมีพระราชปฎิสันธานกับพระเจ้ากุสตาฟ อดอร์ฟที่ 6 ( King Gustav Adolf VI) ประเทศสวีเดน ปี พ.ศ.2503
- 3.8 การเสด็จฯ เยือนประเทศอิตาลี
ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรโรงงานพลังงานปรมาณู การแสดงการขี่ม้า

เสด็จพระราชดำเนินเป็นพระราชอาคันตุกะ สาธารณรัฐอิตาลี ปี พ.ศ.2503
- 3.9 การเสด็จฯ เยือนรัฐวาติกัน
ได้เข้าเฝ้าถวายพระพรสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2503 เป็นเวลา 20 นาที สมเด็จพระสันตะปาปาทรงนำเสด็จทั้งสองพระองค์และคณะผู้ตามเสด็จไปยังหอสมุดวาติกันที่มีชื่อเสียง

ทั้งสองพระองค์ขณะเสด็จฯ เฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 ณ พระราชวังวาติกัน ( Vatican
- 3.10 การเสด็จฯ เยือนประเทศเบลเยี่ยม
สมเด็จพระเจ้าโบดวง ทรงถวายการต้อนรับเสด็จฯ อย่างพิเศษสุด ได้เสด็จฯ เยี่ยมพระราชวงศ์เบลเยี่ยมอย่างใกล้ชิด เสด็จฯ ชมเมืองและศิลปกรรมเกือบทุกแห่ง

ทรงมีพระราชดำรัสกับพระเจ้าโบดวง ( Baudouin) (ประทับตรงกลาง)
แห่งประเทศเบลเยี่ยม ในปี พ.ศ.2503
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พิพิธภัณฑ์สถานฯ กรมศิลปากร นำศิลปโบราณวัตถุไปจัดแสดง ณ ต่างประเทศหลายครั้ง นับตั้งแต่ พ.ศ.2500 เป็นต้นมา เมืองไทยไปร่วมจัดแสดงที่ประเทศเบลเยี่ยม ในปี พ.ศ.2503 นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนำเสด็จพระราชาธิบดีโบดวงและสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีฟาบิโอลา ชมนิทรรศการด้วยพระองค์เอง
วิลาศ มณีวัต (2543 : 67) ได้เล่าถึงความสนิทสนมระหว่างกษัตริย์โบดวงแห่งประเทศเบลเยี่ยม กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า
“… ทรงมีความรักใคร่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก ครั้งหนึ่งที่เสด็จฯ มาเยือนประเทศไทยเป็นทางราชการ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีฟาบิโอลาได้ทรงชักนำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นหลายครั้งให้เปลี่ยนศาสนาไปนับถือศาสนาคริสต์อย่างพระองค์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสถามถึงเหตุผลที่ทรงชักชวน กษัตริย์โบดวงก็กราบทูลว่า พระองค์ทรงมีความรักใคร่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรามาก ไม่อยากจะพลัดพรากเหินห่างจากกันเลย แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงนับถือศาสนาคริสต์ด้วยกันเท่านั้น เพราะศาสนาคริสต์สอนว่าคริสต์ศาสนิกชนเมื่อสิ้นชีพแล้วจะได้ไปอยู่ใกล้ชิด กับพระเป็นเจ้าชั่วนิรันดร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ปฏิเสธคำทูลโดยตรง แต่ทรงมีพระราชดำรัสตอบว่า พระพุทธศาสนาก็เชิดชูสัจจะ คือความจริง สอนให้ผู้นับถือเข้าถึงความจริง และสัจจะคือความจริงนั้นย่อมมีสภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้ปฏิบัติถูกทางแล้วย่อมจะเข้าถึงได้ ดังนั้นถ้าคำสอนแห่งศาสนาคริสต์เป็นสัจธรรมและพระผู้เป็นเจ้ามีจริง แม้พระองค์นับถือพระพุทธศาสนาก็คงจะเข้าถึงเป็นแน่ แม้ว่าจะมีผู้อื่นคั่นอยู่ระหว่างพระองค์กับพระผู้เป็นเจ้า ก็คงจะมีคนเดียวคือองค์กษัตริย์ ( โบดวง ) ผู้ทรงชักชวนพระองค์เท่านั้น พระราชดำรัสนี้เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระราชอาคันตุกะมาก จนถึงสนพระราชหฤทัยที่จะทรงศึกษาคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดหาหนังสือพระพุทธศาสนาภาษาอังกฤษส่งไปถวายในโอกาสต่อมา ..”
- 3.11 การเสด็จฯ เยือนประเทศฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสก็ถวายการต้อนรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าอย่างอบอุ่นที่สุด ท่านประธานาธิบดีเดอโกลด์ รัฐบุรุษของชาติได้ส่งเครื่องบินประจำตัวประธานาธิบดีไปรับทั้งสองพระองค์จากกรุงโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อจะเสด็จมากรุงปารีส แล้วยังมารอรับเสด็จที่สนามบินอีก และมีการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีต้อนรับ ในหลวงทรงตรัสถึงประชาชนคนไทย ( จากวิทยุในสวิสส์ ) ว่า “… ข้าพเจ้าได้สนทนาปราศรัยกับประธานาธิบดีอย่างฉันท์มิตรและไม่เป็นทางการ ซึ่งนับว่าถูกใจทั้งสองฝ่าย และคงจะกระทำให้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศของเราทั้งสองได้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น …”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯ เยี่ยมองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ทอดพระเนตรพระราชวังและปราสาทที่สวยงามและมีชื่อหลายแห่ง

ทรงมีพระราชดำรัสกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส ชารลส์ เดอ โกล ( Charles de Gaulle) ปี พ.ศ.2503
- 3.12 การเสด็จฯ เยือนประเทศลักแซมเบอร์ก
ประเทศนี้เป็นประเทศเล็ก ปรากฏว่ามีประชากรมาเฝ้าฯ รับเสด็จฯ กันเกือบหมดเมือง ได้ทอดพระเนตรโรงงานผลิตเหล็กและเหล็กกล้า เขื่อนซึ่งใช้กำลังน้ำทำไฟฟ้า ณ เมืองเอช ที่ฝั่งแม่น้ำซีร์

ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับเจ้าชายเฟลิกซ์ แห่งลักแซมเบอร์ก
( Prince Felix, Luxemburg) ในปี พ.ศ.2503
- 3.13 การเสด็จฯ เยือนประเทศเนเธอร์แลนด์
รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้จัดรถไฟขบวนพิเศษไปรับเสด็จฯ มาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มาถึงกรุงเฮกในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2503 จนกระทั่งเสด็จกลับในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2503 สมเด็จพระราชินีนารถจูเลียนา พระมหากษัตริย์ฮอลันดาและพระสวามี คือเจ้าชายเบอร์นาร์ด และพระราชธิดาทั้งสอง คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเบียทริกซ์ และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงไอรีน และประชาชนชาวฮอลันดาถวายการต้อนรับอย่างดียิ่ง บริษัทฟิลลิปส์ผู้มีการค้าอยู่ในประเทศไทย ได้ถวายเครื่องเอกซ์เรย์ เครื่องขยายภาพแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทั้งยังให้ทุนนักเรียนไทย 2 ทุน ไปศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์และเคมีเป็นเวลา 1 ปี ทางด้านสภากาชาด รัฐบาลประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้บริจาคเลือดแห้งให้แก่สภากาชาดไทย 500 ชุด

ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับ สมเด็จพระราชินีนารถจูเลียนา
แห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ เจ้าชายเบอร์นาร์ดพระสวามี สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเบียทริกซ์ และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงไอรีนพระราชธิดา ในปี พ.ศ.2503
- 3.14 การเสด็จฯ เยือนประเทศสเปน
ทรงได้รับการต้อนรับจากจอมพลฟรังโก รัฐบาลและประชาชนชาวสเปนอย่างดีเยี่ยม ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรศิลปสถาน สถาบันอุตสาหกรรม และโบราณสถานหลายแห่ง

พระราชทานพระหัตถ์สัมผัสนายพลฟรานซิสโก ฟรังโก ( Francisco Franco ) ประเทศสเปน ปี พ.ศ.2503
4. การเสด็จฯ เยือนมิตรประเทศในเอเซีย ระหว่างปี พ.ศ.2505 และ พ.ศ.2510
- 4.1 การเสด็จฯ เยือนประเทศปากีสถาน
เมื่อเสด็จฯ ถึงการาจี ทรงได้รับการต้อนรับเสด็จฯ จากประธานาธิบดี รัฐบาล และประชาชน เป็นอย่างดียิ่ง ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรการตรวจพลสวนสนามของกองทัพเรือ เสด็จฯ ทอดพระเนตรอุตสาหกรรมทำแว่น โรงงานทอผ้าดาวูด เสด็จฯ เมืองเปซาลาร์ ในปากีสถานตะวันออก ทอดพระเนตรเขื่อนวาร์สัก มหาวิทยาลัยเปซาวาร์ได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และเสด็จฯ เยือนเมืองตักสิลา

เสด็จฯ เยี่ยมชม Badshahi Mosque ในปี พ.ศ.2505
- 4.2 การเสด็จฯ เยือนประเทศสหพันธ์มาลายา ( ปัจจุบันคือประเทศมาเลเซีย )

เมื่อเสด็จฯ ถึงกัวลาลัมเปอร์ ทรงได้รับการต้อนรับเสด็จฯ จากพระราชาธิบดี ( อดีตเจ้าผู้ครองนครเปอร์ลีส ) รัฐบาลและประชาชนชาวมาลายาอย่างสมพระเกียรติ ได้เสด็จฯ เยือนมหาวิทยาลัยมาลายา เสด็จฯ ไปประทับที่แคเมอรอน ไฮแลนด์ พร้อมด้วยสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งสหพันธ์มาลายา เสด็จฯ เยือนฮิโปต์ ดาปาห์ รัฐเปรัก วัดไทยในรัฐต่างๆ และเมืองปีนัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ “ ราชมิตราภรณ์ ” แก่พระราชาธิบดีฯ ด้วย
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ “ ราชมิตราภรณ์ ” ในปี พ.ศ.2505 เพื่อพระราชทานแก่พระมหากษัตริย์ ประธานาธิบดี และประมุขของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ประมุขของชาติต่างๆ เท่าเทียมกัน และได้พระราชทานแก่พระราชาธิบดีแห่งมาลายาเป็นชาติแรกดังกล่าวแล้ว
ประเทศมาลายาได้ทูลเกล้าฯ ถวายพันธุ์ปลาหมอเทศ (Tilapia mossambica) ในปี พ.ศ.2492 ทรงเริ่มเลี้ยงที่สระน้ำหน้าพระที่นั่งอุดรในบริเวณพระที่นั่งอัมพรสถาน นับเป็นโครงการเลี้ยงสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกในรัชกาล ( มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ . 2544 : 29)
- 4.3 การเสด็จเยือนประเทศนิวซีแลนด์และประเทศออสเตรเลีย
ทั้งสองประเทศได้ถวายการต้อนรับเสด็จฯ เป็นอย่างดียิ่ง ที่ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อเสร็จพิธีการรับเสด็จฯ และเยี่ยมเยือนสถานที่ต่างๆ ในกรุงเวลลิงตันแล้ว ได้เสด็จฯ ไปยังเมืองทาอูรังกา เมืองโรโตรัว ทอดพระเนตรการแสดงของชนเผ่าเมารี บ่อน้ำร้อนและบ้านแบบเมารี ที่ตำบลวาคาราวาเรวา แล้วเสด็จฯ เมืองแฮมิลตัน เมืองอ๊อคแลนด์ เสด็จไปเยือนฐานทัพเรือ “ เดวอนสปอร์ต เนวัลเบส ” และฐานทัพอากาศที่เวนอาไฟ เมื่อเสด็จฯ กลับมายังกรุงเวลลิงตันแล้ว ได้เสด็จฯ โดยทางเรือไปยังเมืองไครสต์เชิร์ชทอดพระเนตรงานแสดงสินค้าไครสต์เชิร์ช อินดัสเตรียลที่แอดดิงตันโชว์กราวน์ แล้วเสด็จฯ ไปยังคูเนดิน จนวันที่ 26 สิงหาคม จึงได้ทรงอำลาผู้สำเร็จราชการแห่งนิวซี – แลนด์และภริยา นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์และภริยา เสด็จฯ จากท่าอากาศยานเมืองไครสต์เชิร์ชไปยังกรุงแคนเบอร์รา นครหลวงของประเทศออสเตรเลียต่อไป

เสด็จฯ ประเทศนิวซีแลนด์และทรงเยี่ยมศูนย์วัฒนธรรมโรโตรัวเมารี
( Rotorua Maori Cultural Center) ในปี พ.ศ.2505

ท่านนายกรัฐมนตรีประเทศออสเตรเลีย เซอร์โรเบอร์ท เมนซีส์
( Sir Robert Menzies) กล่าวถวายการต้อนรับในงานเลี้ยงถวายการรับรอง พ.ศ.2503
ที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อเสร็จพิธีการต้อนรับเสด็จที่ฐานทัพอากาศแล้ว ได้เสด็จฯ ไปประทับที่ทำเนียบรัฐบาล ได้เสด็จฯ เยือนโรงเรียนนายร้อยดันทรูน เมื่อวันที่ 28 วันที่ 29 สิงหาคม ได้เสด็จฯ ไปยังซิดนีย์นครหลวงของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประทับ ณ ทำเนียบรัฐบาล เสด็จฯ ทอดพระเนตรท่าเรือซิดนีย์ ทิวทัศน์ฝั่งทะเลใต้ของเมืองซิดนีย์ โรงงานถลุงแร่เหล็กของบริษัทออสเตรเลียไอออนแอนด์สตีลจำกัด
วันที่ 31 สิงหาคม เสด็จฯ จากเมืองซิดนีย์ไปยังเมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ ที่รัฐนี้ได้เสด็จฯ เยือนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ 2 กันยายน เสด็จฯ จากเมืองบริสเบน ไปยังนครเมลเบอร์น รัฐวิคตอเรีย มหาวิทยาลัยเมลเบอร์น ได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
วันที่ 4 กันยายน เสด็จฯ สวนพฤกษชาติ และทอดพระเนตรโรงงานของบริษัทเจเนอราล มอเตอร์โฮลเดน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรสภากาชาดออสเตรเลีย และศูนย์ฝึกเกิร์ลไกด์ ที่ทัวราบูรา เมืองซิดนีย์ วิทยาลัยเคหศาสตร์เอมิลี่เมดเบอร์ลิน และสำนักงานใหญ่ของสมาคมเกิร์ลไกด์ ที่นครเมลเบอร์น
วันที่ 5 กันยายน เสด็จฯ ไปยังเมืองโฮบาร์ค รัฐแทสเมเนีย ที่รัฐนี้ได้ทอดพระเนตรโรงงานเก็บซุงของบริษัทโรงงานทำกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เมย์เดนา
วันที่ 7 กันยายน เสด็จฯ ไปยังเมืองอเดเลด รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ได้ทอดพระเนตรการสวนสนาม ณ สนามบินเวย์วินย์ เสด็จฯ เยือนสำนักงานใหญ่และสนามจรวด ที่ไอร์แลนด์ลากูน เมืองวูเมอร่า
วันที่ 10 กันยายน เสด็จฯ เมืองเพิร์ธ รัฐเวสเตอร์นออสเตรเลีย ได้เสด็จฯ ทางเรือทอดพระเนตรทิวทัศน์ในแม่น้ำสะวอน และสถานที่แข่งขันกีฬาของประเทศเครือจักรภพ
- 4.4 การเสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่น
สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น พร้อมด้วยสมเด็จพระจักรพรรดินี พระราชวงศ์ และข้าราชการ ได้มาเฝ้ารับเสด็จที่สนามบิน กรุงโตเกียว และทรงนำไปยังที่ประทับที่กรุงโตเกียว สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินี ได้ทรงนำทั้งสองพระองค์ไปในงานแสดงสังคีตของวงดนตรีเอน เอช เค ซึ่งได้บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ด้วย และในระหว่างที่ประทับอยู่ในญี่ปุ่น วงดนตรี เอน เอช เค ยังได้บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ออกอากาศทั้งทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีวิทยุโทรทัศน์เกือบทุกเพลงด้วย

ทรงฉายพระฉายาลักษณ์ร่วมกับสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินี แห่งญี่ปุ่น
รุ่งขึ้น วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2506 เจ้าฟ้าทากามัตสุได้นำทั้งสองพระองค์ ออกจากบ้านรับรองแขกเมืองด้วยขบวนรถม้า 6 คัน ท่ามกลางขบวนทหารรักษาพระองค์ ไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิที่พระราชวังอิมพีเรียล โอกาสนี้สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิทรงถวาย เครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุด “ เบญจมาศ ” ซึ่งเป็นตราสูงสุด สร้างแต่สมัยพระเจ้ามัตสุหิโตเมื่อ พ.ศ.2430 มีดอกเบญจมาศ 4 ดอกอยู่ระหว่างใบไม้ เพื่อพระราชทานแก่พระราชวงศ์ต่างประเทศ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และพระราชทานตรา Sacred Treasure ชั้นที่ 1 แก่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงถวาย “ ราชมิตราภรณ์ ” แด่สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ คืนนั้นสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินีทรงถวายพระกระยาหารค่ำเป็นเกียรติ แก่ทั้งสองพระองค์ ณ พระราชวังอิมพีเรียล

ในระหว่างงานถวายพระกระยาหารค่ำ สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ ได้มีพระราชดำรัสต่อพระเจ้าอยู่หัวว่า
“… ข้าพระพุทธเจ้าขอยืนยันรับรองต่อพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ แห่งประเทศไทย ว่าเราไม่เคยลืมมิตรภาพและไมตรีจิตในระยะเวลาแห่งความยุ่งยากลำบากที่ได้ผ่านมา …”
“… ข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจว่า การเสด็จเยี่ยมเยียนญี่ปุ่นของทั้งสองพระองค์ในคราวนี้เป็นนิมิตรอันยิ่งใหญ่โต ที่จะช่วยส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกัน และก้าวต่อไปถึงการช่วยสนับสนุนร่วมมือกันทุกวิถีทาง และด้วยความสัมพันธ์ฉันมิตรที่สนิทยิ่งนี้ จะมีส่วนช่วยส่งเสริมสันติสุขแห่งโลก และความเข้าใจดีระหว่างชาติ …”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสตอบสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิว่า “ ในฐานะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศอุตสาหกรรม ประเทศไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคแห่งนี้ และคงไว้ซึ่งความเข้าใจอันดีระหว่างสองประเทศของเราสืบไป ”
วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ สู่จังหวัดโอซากา เสด็จทอดพระเนตรโรงงานบริษัทอุตสาหกรรมไฟฟ้ามิตสุชิดา วัดพระพุทธศาสนาไปโอโคอิน ที่อุจิ อุทยานนารา วัดพระพุทธศาสนาโตดาอิชิ ในนารา เสด็จฯ เยี่ยมบริษัทนิปปอนเลนซ์ ยอดเขาฮิเดอิ โรงงานไหมคาวาชิบา โรงงานโรฮีโดแลคเคอร์แวร์ ในกิโยโต วิหารดินคาคูจิ แล้วเสด็จฯ ไปยังจังหวัดนาโงยา เสด็จฯ หอการค้าและหัตถกรรม ทอดพระเนตรการใช้นกคอมอรันต์จับปลา เมื่อเสด็จฯ กลับนครโตเกียวได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรโรงงานผลิตนาฬิกาโตรี บริการเทเลโฟโต ณ บริษัทโกยูไซเคนชินเคนวา
- 4.5 การเสด็จฯ เยือนประเทศสาธารณรัฐจีนชาติ
วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2506 เสด็จถึงท่าอากาศยานซุงซาน นครไทเป สาธารณรัฐจีน โดยเครื่องบินพระที่นั่ง ประธานาธิบดีและมาดามเจียงไคเช็คได้มาเฝ้ารับเสด็จฯ ที่สนามบิน และนำเสด็จฯ ไปประทับยังโรงแรมแกรนด์ ที่เกาะไต้หวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จทอดพระเนตรการปฏิรูปที่ดิน และการทำนา 2 ครั้ง ซึ่งรัฐบาลจีนคณะชาติทำได้สำเร็จ ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเริ่มทดลองและเผยแพร่ ต่อมาในปี พ.ศ.2514 ไต้หวันได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร (Mr. Sung) มาช่วยงานที่ดอยอ่างขาง ( โครงการหลวง ) และรัฐบาลจีนไต้หวันได้ส่งเชื้อเห็ดหอม และต้นไม้มาถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และในปี พ.ศ.2530 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 โปรดเกล้าฯ ให้เชิญเหรียญรัตนาภรณ์ชั้นสาม ไปพระราชทาน มร.ซุง ที่ลีซาน

ประธานาธิบดีเจียงไค เชค กล่าวถวายการต้อนรับในงานถวายพระกระยาหารค่ำ
ณ ทำเนียบประธานาธิบดี 5 มิถุนายน พ.ศ.2506
มจ . ภีสเดช รัชนี (2531 : 67) ได้เล่าเกี่ยวกับปลูกผลไม้เมืองหนาวในประเทศไทย และเกี่ยวกับรัฐบาลไต้หวันไว้ดังนี้

“… ปาป้าซุง (Mr.Sung) จบการศึกษาวิชาผลไม้เมืองหนาวที่ญี่ปุ่น ปาป้าเห็นว่าดอยของเราควรจะปลูกผลไม้เมืองหนาว ( แอปเปิล ท้อ แพร์ สาลี่ ฯลฯ ) ได้แน่ แต่ผู้เชี่ยวชาญทางเกษตรอื่นๆ รวมทั้งชาวอเมริกัน เห็นว่าปลูกผลไม้เมืองหนาวในประเทศร้อนไม่ได้เด็ดขาด การก็ปรากฏว่า VACRS ( กระทรวงช่างอาชีพทหารนอกประจำการของไต้หวัน ) และปาป้าพูดถูก ปาป้าเล่าให้ฟังว่า เมื่อเขาเริ่มโครงการ ( ในไต้หวัน ) ชาวเขาและคณะปาป้าอยู่บ้านคล้ายคลึงกัน ตอนที่เราไปหาปาป้าที่ลีซาน ปาป้ามีการกินอยู่อย่างเดิม แต่ชาวเขาที่เราไปเยี่ยมสวนนั้นอยู่ตึก ส่งลูกไปเรียนอเมริกา และเมื่อเราจะกลับโรงแรม ชาวเขาก็กรุณาขับรถไปส่ง
เหตุการณ์ในประเทศไทยคล้ายคลึงกับไต้หวันมาก … ทำให้กำลังใจของเราบางครั้งก็หดหู่ ตอนนั้นเรานึกถึงไต้หวัน ไต้หวันช่วยเหลือเรา และให้กำลังใจเราเหมือนกับว่าเป็นพี่ใหญ่ …”
- 4.6 การเสด็จฯ เยือนประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
นางดิออสดาโด มาคาปากาลพร้อมด้วยข้าราชการและประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ได้ถวายการต้อนรับเสด็จฯ อย่างสมพระเกียรติ แล้วเสด็จฯ ไปประทับที่ทำเนียบมาลากันญังที่นครมะนิลา ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ออสบาโญส ที่ตำบลลากูนา ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางกฎหมาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้วย ต่อจากนั้นได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรสถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ บ้านเกิดของ ดร.โฮเซ่ ริซาล ฐานทัพอากาศนิโคลส์ แล้วเสด็จฯ ไปยังฐานเฟอร์นันโด ลา ยูเนียน แล้วเสด็จฯ ไปประทับ ณ ทำเนียบฤดูร้อนของประธานาธิบดี ณ นครบาเกียว เสด็จฯ ทอดพระเนตรมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ และโครงการพัฒนาชุมชนที่เซปานโต ร้านจำหน่ายไม้แกะสลักรูปต่างๆ อันมีชื่อเสียงของฟิลิปปินส์ วิทยาลัยการทหารฟิลิปปินส์ ณ ฟอร์ดเอลฟิลาร์โลอาดาน
วันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จไปในงานอภิเษกสมรสสมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 13 พระมหากษัตริย์แห่งชาวเฮลลีนส์ ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีก และทรงเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐออสเตรีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จเยือนประเทศเบลเยี่ยมเป็นการส่วนพระองค์ (23-26 กันยายน พ.ศ.2506) ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม สมเด็จพระเจ้าโบดวงทรงส่งเครื่องบินรับเสด็จฯ และส่งเสด็จ ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

นางดิออสดาโด มาคาปากาล ถวายการต้อนรับ ณ ทำเนียบมาลากันญัง
- 4.7 การเสด็จฯ เยือนประเทศออสเตรีย
ได้เสด็จฯ เยี่ยมสำนักงานใหญ่ ทบวงการพลังปรมาณูระหว่างประเทศ การแสดงพิเศษที่โรงเรียนฝึกหัดขี่ม้า สแปนิชไรดิงสกูล การแสดงอุปรากรเรื่องนิกาโร ณ สเตทโอเปร่า เสด็จฯ ยังเมืองลินซ์ ทรงเยี่ยมโรงงานเหล็กกล้าเวิส์ต เสด็จฯ ไปประทับ ณ เคลสส์ไฮน์คาสเซิล เมืองซาลส์ – เบิรก ทอดพระเนตรบ้านเกิดของโมซาร์ท แล้วเสด็จฯ กลับกรุงเวียนนา เสด็จฯ ทอดพระเนตรการแสดงดนตรี ณ กรอสเซอร์ มิวซิกเวอร์ไรน์ซาล สถาบันดนตรีและศิลปะแห่งกรุงเวียนนาได้ทูลเกล้าฯ ถวายประกาศนียบัตร อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสถาบัน ซึ่งมีนักดนตรีเอกของโลกเป็นสมาชิกอยู่ประมาณ 10 ท่าน รวมทั้งโยฮันสเตราส์ด้วย วงออเคสตราของกรุงเวียนนาได้บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ในการแสดงดนตรีการกุศล โดยใช้นักเรียนโอเปร่าร้องเพลงพระราชนิพนธ์สายฝน และเพลงพระราชนิพนธ์อื่นๆ ซึ่งไพเราะมาก ปรากฏว่าผู้ฟังปรบมือให้เกียรติแก่วงดนตรีและถวายพระเกียรติแก่ผู้ทรงพระราชนิพนธ์อย่างกึกก้อง

ทรงฉายพระฉายาลักษณ์ร่วมกับประธานาธิบดีสมาพันธรัฐออสเตรีย Adolf Scharf ปี พ.ศ.2507
- 4.8 การเสด็จฯ เยือนประเทศอิหร่าน
วันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมด้วยข้าราชบริพารได้เสด็จฯ โดยเครื่องบินพระที่นั่งจากสนามบินดอนเมืองถึงประเทศอิหร่าน ทรงได้รับการต้อนรับเสด็จฯ อย่างสมพระเกียรติจากสมเด็จพระเจ้าโมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี อรยมิห์ พระจักรพรรดิแห่งอิหร่าน ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรมหาสมบัติของอิหร่านที่ตั้งแสดง ณ ธนาคารชาติแห่งอิหร่าน เสด็จฯ เมืองอิสปาฮานซึ่งเป็นเมืองโบราณที่สวยงามที่สุดของตะวันออกกลาง เมืองซีราส และเมืองเปอร์ซิโปลิส อันมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์โลก

ทรงรับการถวายความเคารพจากกองเกียรติยศ พร้อมกับพระจักรพรรดิ ชาห์ โมฮัมเหม็ด เรซา ปาห์ลาวี
( Shah Mohammed Reza Pahlavi) ประเทศอิหร่าน ปี พ.ศ.2510
- 4.9 การเสด็จฯ เยือนประเทศแคนาดา
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ เยือนประเทศแคนาดา ประทับแรมที่ทำเนียบรัฐบาล นครออตตาวา แล้วเสด็จฯ ไปทรงเปิดงานวันไทยในงานเอ็กซ์โป 67 ที่มอนทริออล แล้วเสด็จฯ ไปควิเบกซิตี้

เสด็จฯ ไปทรงเปิดงาน วันไทยในงานเอ็กซ์โป 67
5. การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ปี พ.ศ.2537)
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้เสด็จพระราชดำเนินออกนอกประเทศมาเป็นเวลา 27 ปี ในปีพ.ศ.2537 นี้เป็นครั้งแรกที่ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยัง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามคำกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานโครงการทฤษฎีใหม่ มาทดลองใช้ในประเทศลาว ของฯพลฯ ไกรสอน พมวิหาน (อดีตประธานาธิบดีประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผู้ล่วงชีพิตักษัยไปแล้ว) ได้เสด็จฯ ยังศูนย์พัฒนาและบริการด้านการเกษตร เมืองนาทรายทอง (หลัก 22) ห้วยซอน ห้วยซั้ว ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2537 เพื่อทรงประกอบพิธีเปิดที่ทำการสำนักงานโครงการอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสะพานประวัติศาสตร์มิตรภาพลาว – ไทย ซึ่งเชื่อมสองฝั่งโขงแล้ว

ครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จออกทรงงาน ในพื้นที่ด้วยพระองค์เอง เช่นเดียวกับลักษณะที่ทรงงานในประเทศไทย ทรงมีพระราชกระแสแนะนำ ให้คณะทำงานโครงการฝ่ายไทย ได้นำทฤษฎีใหม่ ซึ่งว่าด้วยการจัดการพื้นที่ และแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกมาประยุกต์ใช้ในลาว เนื่องจากลาว และไทยมีลักษณะภูมิประเทศใกล้เคียงกัน
โครงการไทย – ลาว สอดคล้องกับแนวคิดโลกานุวัตร (Globalization) ทรงมีพระราชกระแสในเรื่องนี้หลายครั้งว่า “… หากประเทศเพื่อนบ้านอยู่ดีมีสุข และการพัฒนาเป็นไปได้ในระดับเดียวกัน ก็จะส่งผลให้ภูมิภาคนี้มีความสงบสุข เมื่อแต่ละภูมิภาคมีความมั่นคงสมบูรณ์ ก็จะเป็นผลบังเกิดแก่สันติสุขของโลกเป็นส่วนรวมด้วย …”
เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมโครงการตามพระราชดำริ ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชากว้างไกล ทรงมองเห็นปัญหา และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปรไปตามความเป็นจริงของโลก ซึ่งสอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ เวลา และโอกาส ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ อีกทั้งทรงมีน้ำพระราชหฤทัยกว้างขวาง ทรงมีความจริงใจในพระราชปณิธาน ในพระราชดำรัสและพระราชจริยวัตร ดังพระราชดำรัสตอบคณะทูตานุทูต ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2521 ว่า
“… ถ้าประเทศทั้งปวงจะยกย่องนับถือกันโดยบริสุทธิ์ใจ และช่วยกันเกื้อกูลกันและกัน โดยพร้อมพรักแล้ว ก็เชื่อได้ว่าจะเกิดความเข้าใจกันและกันอย่างแท้จริง แล้วความสงบสุข อิสรภาพ เสถียรภาพอันเสมอหน้าและถาวรก็จะเกิดขึ้นทุกแห่งหนในโลก ดังที่ทุกคนปรารถนา …”

6. ผลดีของการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศ
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ ก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศไทยหลายประการ คือ
1. เป็นการเผยแพร่ชื่อเสียง เกียรติคุณประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในประเทศต่างๆ
2. เป็นการเผยแพร่พระเกียรติยศ พระเกียรติคุณ และพระบารมี ของพระมหากษัตริย์ไทยให้เป็นที่ปรากฏต่อนานาประเทศ
3. เป็นการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทย กับบรรดาประเทศต่าง ๆ เหล่านั้น ให้มีความสัมพันธ์สนิทสนมแน่นแฟ้นยิ่งๆ ขึ้นไป

ในด้านสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไปเยือนต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยส่งเสริมสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างประเทศฝ่ายสตรีเท่าที่จะทำได้อย่างดีที่สุดแล้ว ในโอกาสนี้สมเด็จฯ ก็ได้ทรงนำเอาแบบการแต่งกายอย่างไทยไปเผยแพร่ จนบัดนี้เครื่องแต่งกายแบบไทยและไหมไทยได้เป็นที่ยอมรับและยกย่องกันในหมู่สังคมทั่วโลกว่าเป็น “ แบบประจำชาติไทย ” คู่กับไหมไทย เมื่อเสด็จกลับมาแล้วมีประมุขของประเทศต่างๆ เสด็จมาเยี่ยมเยียนตอบ นอกจากพิธีการต้อนรับเป็นทางการแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงยังทรงจัดการต้อนรับเป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย การที่ทรงเผยแพร่และนำเอาการแสดงแบบพื้นเมืองแท้ต่างๆ มาแสดงแก่ประมุขชาวต่างประเทศ ซึ่งเป็นพระราชดำริเองทุกครั้งไม่ซ้ำกัน เป็นที่พอใจและสนใจแก่ราชอาคันตุกะชาวต่างประเทศมาก
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นที่รู้จักของชาวต่างประเทศอย่างกว้างขวางแทบทั่วโลก เพราะมีหนังสือพิมพ์ในเยอรมัน, สวิส, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อเมริกา และญี่ปุ่น ลงข่าวและตีพิมพ์พระบรมฉายาลักษณ์ในพระอิริยาบถต่างๆ กันออกเผยแพร่เป็นการยอพระเกียรติในฐานะเป็นสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถที่ทรงมีพระสิริโฉมงดงามที่สุดของประชาชน 33 ล้านคน (สถิติปี พ.ศ.2506) และทรงมีความรู้ทันสมัยและทันโลกนี้เอง ท่านผู้หญิงมากอส ภรรยาของประธานาธิบดีมาคอกแห่งฟิลิปปินส์ ซึ่งมีความดำริที่จะตั้ง “ สมาคมวัฒนธรรมเอเซีย ” และเธอเปิดเผยข่าวนี้ขึ้นเมื่อไปเที่ยวงาน “ เอกซโป 70” ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2513 ว่า

ได้เสนอคำเรียกร้องไปยังภรรยาผู้นำของประเทศต่างๆ ในเอเซียทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยได้ทูลเชิญสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้ช่วยรับเป็นผู้อุปถัมป์สมาคมนี้
วัตถุประสงค์ของสมาคมนี้ต้องการที่จะช่วยกัน เผยแพร่ศิลปะและวัฒนธรรม เพื่อเป็นสื่อกลางสร้างความเข้าใจดีระหว่างกัน และให้มีการจัดแสดงโครงการทางวัฒนธรรมอย่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทุกประเทศ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสนพระราชหฤทัย “ สมาคมวัฒนธรรมแห่งเอเซีย ” และทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะรับอุปถัมป์สมาคมนี้ตามข้อเสนอของมาดามมากอส แต่ทรงแนะนำเพิ่มเติมขอให้สมาคมรับเอาโครงการของพระองค์คือ การจัดประชุมทางประวัติศาสตร์ ศิลปะและปรัชญาไว้ในวัตถุประสงค์ของสมาคมด้วย กับทรงปรารภอีกว่า ควรหาทางจัดพิมพ์และเผยแพร่วรรณกรรมแห่งเอเซียให้รวมอยู่ในโครงการนี้ด้วย ซึ่งมาดามมากอสก็น้อมรับพระราชดำริด้วยความยินดียิ่ง
ทั้งนี้เป็นผลเนื่องมาจากความเข้าใจอันดีระหว่างชาติ อันเนื่องมาจากการเสด็จเยือนนานาชาติ ดังกล่าวมาแล้วนั่นเอง
7. พระประมุข ประมุข และพระราชวงศ์ของประเทศในยุโรป อาเซีย ฯลฯ เสด็จฯ และมาเยือนประเทศไทย
นับแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ ได้มีพระมหากษัตริย์ ประธานาธิบดี ผู้นำ และพระราชวงศ์ จากต่างประเทศเสด็จมา และมาเยี่ยมเยียนประเทศไทย อาทิ
7.1 วันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2504 ได้เสด็จฯ ไปทรงรับเสด็จพระเจ้าเลโอโปล์ (อดีต) กษัตริย์แห่งเบลเยี่ยมและพระชายาซึ่งเสด็จมาเยือนประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์ ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง
7.2 วันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2504 เสด็จฯ ไปทรงต้อนรับ ดร.สุร์การ์โน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นทางการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ทรงนำชมทิวทัศน์ลำน้ำเจ้าพระยา และจังหวัดเชียงใหม่

7.3 วันที่ 28 ถึงวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2504 ทรงต้อนรับประธานาธิบดีลินดอน บี จอห์นสัน แห่งสหรัฐอเมริกา และภรรยา ซึ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นทางการ
7.4 วันที่ 26 ถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.2504 ทรงต้อนรับเจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเค้นท์ พระราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งเสด็จมาเยือนประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์

7.5 วันที่ 8 ถึงวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2504 เสด็จฯ ไปทรงต้อนรับประธานาธิบดีอาทูโร ฟรอน ดิซี แห่งสาธารณรัฐอาร์เจนตินา และภริยา ซึ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นทางการที่สถานีรถไฟจิตรลดา ทรงนำไปพัก ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำเป็นเกียรติที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงนำไปชมการแสดงนาฏศิลป์กรมศิลปากร ที่หอประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

7.6 วันที่ 12 ถึงวันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2505 สมเด็จพระเจ้าเฟรด เดอริค ที่ 9 แห่งกรุงเดนมาร์ก และสมเด็จพระราชินีอินกริด ได้เสด็จมาเยือนประเทศไทยเป็นทางการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติยิ่ง ได้เสด็จฯ ไปทรงรับเสด็จที่สถานีรถไฟจิตรลดา ทรงนำเสด็จฯ ไปประทับแรม ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง ทรงนำเสด็จไปทรงเป็นประธาน ในพิธีเปิดฟาร์มและศูนย์ฝึกการเลี้ยงโคนมไทย – เดนมาร์ก ที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ในวันที่ 16 มกราคม
ทรงนำเสด็จฯ ไปประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 17 ถึงวันที่ 23 มกราคม ได้ทรงนำเสด็จทอดพระเนตรสถานที่ต่างๆ ในเชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ตลอดจนเสด็จประทับเรือพระที่นั่งจันทรา ทอดพระเนตรเกาะบางแห่งในอ่าวไทย วันที่ 24 จึงได้เสด็จฯ ไปส่งเสด็จที่ท่าอากาศยานดอนเมือง
ความสัมพันธ์อันดียิ่งระหว่างประเทศเดนมาร์ก และประเทศไทยยังคงกระชับแน่นแฟ้น ดังจะเห็นได้จากพิธีน้อมเกล้าฯ ถวายช้างพระราชทานที่กรุงโคเปนเฮเกนดังต่อไปนี้
พิธีน้อมเกล้าฯ ถวายช้างพระราชทานที่กรุงโคเปนเฮเกน ( ประเทศเดนมาร์ก )
ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายอดิศักดิ์ ภาณุพงศ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน เป็นผู้ส่งมอบช้างพระราชทานให้แก่สวนสัตว์ ณ กรุงโคเปนเฮเกน นั้น กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโฮเปนเฮเกนว่า พิธีน้อมเกล้าฯ ถวายช้างพระราชทาน ซึ่งได้จัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2544 ที่กรุงโคเปนเฮเกน ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยยิ่ง และเป็นที่ชื่นชมยินดีของผู้ที่ไปร่วมงานฯ และสื่อมวลชนเดนมาร์ก ตลอดจนประชาชนชาวเดนมาร์ก โดยเมื่อเวลา 12.00 น . ของวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2544 สมเด็จพระสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถแห่งประเทศเดนมาร์ก ได้เสด็จฯ ถึงโรงยีราฟเก่าซึ่งใช้เป็นที่อยู่ของช้างพระราชทาน 2 เชือก ( โดยขณะนี้สวนสัตว์ฯ กำลังก่อสร้างโรงช้างถาวรขึ้นใหม่ ) โดยมีนาย Ole Andresen ประธานคณะกรรมการสวนสัตว์ฯ ถวายการต้อนรับและนาย Lars Lunding Andersen ผู้อำนวยการบริหารสวนสัตว์ฯ กราบบังคมทูลถวายรายงานเกี่ยวกับช้างพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เคยพระราชทานให้กับสวนสัตว์ฯ ในวโรกาสการเสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริก ที่ 9 แห่งเดนมาร์ก และสมเด็จพระราชินีอินกริด เมื่อปี พ.ศ.2505
หลังจากนั้นเอกอัครราชทูตฯ ได้กราบบังคมทูลถวายรายงานการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เอกอัครราชทูตฯ เป็นผู้น้อมเกล้าฯ ถวายช้างพระราชทาน รวมทั้งความสัมพันธ์อันแนบแน่นของพระราชวงศ์ของทั้งสองประเทศ ตลอดจนความสำคัญและความผูกพันซึ่งคนไทยมีต่อช้างมาแต่โบราณกาล และได้น้อมเกล้าฯ ถวายช้างพระราชทานแด่เจ้าชายเฮนริก พระราชสวามี ในฐานะที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์สวนสัตว์ กรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งเจ้าชายเฮนริก ได้ทรงมีพระราชดำรัสตอบขอบพระทัยในนามของสวนสัตว์ฯ พร้อมทั้งรับสั่งว่า สมเด็จพระราชินีนาถฯ และพระองค์ทรงมีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานช้างจำนวน 2 เชือก ให้แก่สวนสัตว์กรุงโคเปนเฮเกน ทั้งนี้ ทรงขอให้เอกอัครราชทูตฯ นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วย และได้ทรงกล่าวมอบช้างพระราชทานให้อยู่ในความดูแลของสวนสัตว์กรุงโคเปนเฮเกน
หลังจากพิธีน้อมเกล้าถวายช้างพระราชทานเสร็จสิ้นลง สวนสัตว์กรุงโคเปนเฮเกน ได้จัดให้มีการมอบช้างเชือกที่ 3 ให้แก่ชาวโคเปนเฮเกนในนามของชาวจังหวัดสุรินทร์ โดยมีนายเกษมศักดิ์ แสนโภชน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เป็นผู้มอบให้แก่ ผู้อำนวยการบริหารสวนสัตว์กรุงโคเปนเฮเกน และผู้อำนวยการบริหารสวนสัตว์ฯ ได้กล่าวตอบขอบคุณชาวจังหวัดสุรินทร์ในนามชาวโคเปนเฮเกน (กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ. 7 ธันวาคม 2544)
7.7 วันที่ 14 ถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2506 ได้ทรงรับเสด็จสมเด็จพระเจ้าปอลที่ 1 แห่งเฮล์ลีนส์ สมเด็จพระราชินีเฟรเดริกา และเจ้าหญิงไอรีนแห่งกรีก ซึ่งได้เสด็จมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
7.8 วันที่ 22 ถึงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2506 ทรงรับเสด็จสมเด็จพระเจ้าสว่างวัฒนา เจ้ามหาชีวิตแห่งราชอาณาจักรลาว ซึ่งเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
สมเด็จพระเจ้าสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์ลาว ได้มีพระราชดำรัสตอบนายกเทศมนตรีนครกรุงเทพฯ (ดร.ชำนาญ ยุวบูรณ์) ผู้ถวายกุญแจทอง ณ ที่ประทับรับรองที่ถนนผ่านฟ้า ต่อพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และนายกรัฐมนตรี ( จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ) ว่า
“ ขอขอบใจในไมตรีจิตในการต้อนรับของประชาชนชาวไทย ประชาชนชาวไทยผู้ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีของชาวลาว ลาวและไทยนับแต่จะเพิ่มพูนความสนิทสนมมากยิ่งขึ้นทุกวัน
เรามีความผูกพันกันในทางสายเลือด และเกี่ยวดองเป็นญาติพี่น้องกันในทางเชื้อชาติ และศาสนา และยิ่งกว่านั้นเรายังร่วมกันในสายน้ำไหลในแม่น้ำ ซึ่งไม่อาจจะทำให้เราแยกออกจากกันได้จนอวสาน
พระเจ้าสว่างวัฒนาเคยเสด็จฯ มาประเทศไทยครั้งแรกขณะยังเป็นมกุฎราชกุมารเมื่อ 20-25 กรกฎาคม พ.ศ.2498 คราวนั้นมีพระบรมราชินีคำปุ๋ย และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงมณีวรรณพระราชธิดาเสด็จมาด้วย
7.9 วันที่ 15 ถึงวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2506 ทรงรับเสด็จฯ สมเด็จพระราชินีนาถจูเลียนาและเจ้าชายเบอร์นาร์ด แห่งเนเธอร์แลนด์ พร้อมด้วยเจ้าหญิงเบียทริกซ์ ซึ่งเสด็จมาเยือนประเทศไทยเป็นทางการ
7.10 วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2506 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารกลางวันกลางวันเป็นการส่วนพระองค์แก่เจ้าหญิงมาร์เกรเธอ มกุฎราชกุมารีแห่งเดนมาร์ก ซึ่งเสด็จมาเยือนประเทศไทย ณ พระราชวังบางปะอิน
7.11 วันที่ 16 ถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2506 ทรงต้อนรับเจ้าหญิงเบียทริกซ์ มกุฎราชกุมารี แห่งเนเธอร์แลนด์ ได้เสด็จเยือนประเทศไทยเป็นทางการ ทรงจัดให้พักที่พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวังถวายเป็น ที่ประทับและนำเสด็จทอดพระเนตรสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพพระมหานคร นครปฐม กาญจนบุรี ประทับเรือทอดพระเนตรทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยา
7.12 เมื่อวันที่ 21 ถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2506 ทรงต้อนรับประธานาธิบดีลืบเก้ แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน และเฟราไฮด์ริดซ์ลืบเก้ ซึ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นทางราชการ ทรงจัดให้พักที่พระที่นั่งบรมพิมานในตอนแรก แล้วทรงนำไปพัก ณ ภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ โปรดให้ประธานาธิบดีเยอรมนีและภริยา ชมสถานที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพพระมหานคร และที่เชียงใหม่
ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีลืบเก้และภรรยาจะมายังประเทศไทย กรมศิลปากรได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำโบราณวัตถุของไทยบางชิ้นไปจัดแสดงที่เมืองโคโลญน์ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน และประธานาธิบดีลืบเก้ได้มีสาส์นมาขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังนี้
คำแปล ( หนังสือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการพิพิธภัณฑ์. 2539 : 104)
ประธานาธิบดี แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน
กรุงบอนน์
วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2506
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นผู้อุปถัมภ์แก่การแสดง “ ศิลปวัตถุจากประเทศไทย ” การแสดงนี้ได้เปิดขึ้นที่เมืองโคโลญน์ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ศกนี้ เป็นการแสดงที่คัดเลือกศิลปวัตถุที่งดงามที่สุดมาจากประเทศของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นอย่างดี และเป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวง ซึ่งความสำเร็จนี้ก็ได้เป็นที่ยืนยันมาจากทุกด้านทุกทาง ข้าพระพุทธเจ้าแน่ใจว่าการแสดงศิลปไทยครั้งนี้จะมีผู้นิยมชมชอบเป็นอย่างมากจากเมืองอื่นๆ ในประเทศเยอรมนี อีก
ข้าพระพุทธเจ้าและประชาชนชาวเยอรมันทั้งปวงใคร่ที่จะแสดงความขอบพระราชหฤทัยใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ไทยทั้งปวงที่มีส่วนร่วมในการจัดแสดงศิลปวัตถุไทยครั้งนี้
ข้าพระพุทธเจ้าได้ส่งคำแปลภาษาอังกฤษของสุนทรพจน์ ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้กล่าวเมื่อวันเปิดงานมาถวายด้วย ในสุนทรพจน์นั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้พยายามแสดงว่าเราได้เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกับประชาชนชาวไทยเพียงใด และเรานิยมชมชอบวัฒนธรรมไทยแค่ไหน ในการตระเตรียมสุนทรพจน์ครั้งนี้ข้าพระพุทธเจ้ายังระลึก ด้วยความปลาบปลื้มอยู่เสมอถึงการมาเยี่ยมเยียนที่เป็นสุขยิ่ง ของข้าพระพุทธเจ้าแก่ประเทศอันสวยงามของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ภรรยาข้าพระพุทธเจ้าและข้าพระพุทธเจ้าขอถวายความระลึกถึงฉันมิต รมายังใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
( ลงนาม ) ลืบเก้
7.13 วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2506 ทรงต้อนรับประธานาธิบดีสุร์การ์โนแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
7.14 วันที่ 14 ถึงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2506 ทรงต้อนรับนายพลเนวินประธานสภาปฏิวัติแห่งสหภาพพม่า ซึ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นทางการ ทรงนำไปพัก ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการแสดงนาฏศิลป์เป็นเกียรติให้ชม เสด็จฯ โดยเรือพระที่นั่งนำชมลำน้ำเจ้าพระยา และได้เชิญไปพักที่บ้านรับรองของรัฐบาลที่เขาสามมุข บางแสน
7.15 วันที่ 10 ถึงวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2507 ทรงต้อนรับเจ้าหญิงอัชราฟ ปาห์ลาวี แห่งอิหร่านและพระสวามี ซึ่งเสด็จมาเยือนประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์
7.16 วันที่ 3 ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2507 ทรงรับเสด็จสมเด็จพระราชาธิบดีโบดวง และสม เด็จพระราชินีแห่งเบลเยี่ยม ซึ่งเสด็จมาเยือนประเทศไทยเป็นทางราชการ อย่างสมพระเกียรติยิ่งทั้งที่กรุงเทพมหานคร และเสด็จฯ ทรงนำไปประทับที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่
7.17 วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2507 ทรงรับเสด็จสมเด็จพระราชาธิบดียังดีเปอร์ตวนอากง และสมเด็จพระราชินีแห่งมาเลเซีย ซึ่งเสด็จมาเยือนประเทศไทยเป็นทางราชการ
7.18 วันที่ 15 ถึงวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2507 ทรงต้อนรับเจ้าหญิงแซมส์ ปาห์ลาวี แห่งอิหร่าน และพระสวามี ซึ่งเสด็จมาเยือนประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์
7.19 วันที่ 15 ถึงวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2508 ทรงรับเสด็จฯ พระเจ้าโอลาฟ ที่ 5 แห่งนอร์เวย์ ซึ่ง เสด็จมาเยือนประเทศไทยเป็นทางราชการ ทั้งที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดเชียงใหม่
7.20 วันที่ 2 ถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2508 ทรงต้อนรับเจ้าชายเบอร์ทิล แห่งสวีเดน ซึ่งได้เสด็จเยือนประเทศไทยเป็นทางราชการที่จังหวัดเชียงใหม่
7.21 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2508 เสด็จออกรับเจ้าชายยอร์จและเจ้าหญิงแอนด์แห่งเดนมาร์ก ซึ่งเสด็จเยือนประเทศไทย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
7.22 วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2508 เสด็จฯ ออกรับเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระ เสด็จเยือน ประเทศไทย
7.23 วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2508 ทรงต้อนรับนายพลเหงียนเกากี นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเวียดนาม เยือนประเทศไทยเป็นทางราชการ
7.24 วันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2508 เสด็จฯ ออกรับเจ้าชายออตโตฟอนฮัมบูร์กและชายาซึ่งเสด็จมาเยือนประเทศไทย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
7.25 วันที่ 8 ถึงวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2508 ทรงต้อนรับเจ้าชายวิลเลี่ยมแห่งกลอสเตอร์ ซึ่งเสด็จมาเยือนประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์
7.26 วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2508 เสด็จนำเจ้าชายฮาราลย์มกุฎราชกุมารแห่งนอร์เวย์ เสด็จทอดพระเนตรทิวทัศน์ตามลำน้ำเจ้าพระยา
7.27 วันที่ 14 ถึงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2508 ทรงต้อนรับเจ้าฟ้าอากิฮิโต มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่นและเจ้าหญิงมิชิโกะ พระชายา ( ปัจจุบันเป็นสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีของประเทศญี่ปุ่น ) ซึ่งเสด็จมาเยือนประเทศไทยเป็นทางราชการ เสด็จนำทอดพระเนตรสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร แล้วนำเสด็จไปประทับแรมที่จังหวัดเชียงใหม่ ในการเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ เมื่อเสด็จฯ กลับญี่ปุ่นแล้ว เจ้าฟ้าอากิฮิโต ได้จัดส่งพันธุ์ปลานิล 50 ตัว มาถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2508 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ได้ปล่อยลงพักเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ภายในบริเวณสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เข้าในโครงการประมงพระราชทานต่อไปด้วย ต่อมาได้พระราชทานลูกปลาให้กรมประมงไปขยายพันธุ์ เพื่อแจกราษฎรทั่วประเทศ ชื่อปลาทับศัพท์วิทยาศาสตร์ว่า “ ปลานิล ” ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานกันทั่วประเทศในขณะนี้
พระราชวงศ์ญี่ปุ่น ได้เสด็จเยือนประเทศไทยหลายครั้งดังนี้
เดือนมิถุนายน พ.ศ.2514 มกุฎราชกุมารเจ้าชายอากิฮิโตและเจ้าหญิงมิชิโกะ เสด็จฯ เยือนประเทศไทย เป็นการส่วนพระองค์ในฐานะพระราชอาคันตุกะส่วนพระองค์ และเสด็จอีกครั้ง เมื่อวันที่ 8-9 มิถุนายน พ.ศ.2519
20- 29 ธันวาคม พ.ศ.2523 เจ้าชายนารุฮิโต ฮิโรโนมิยะ พระราชโอรสในมกุฎราชกุมารเจ้าชายอากิฮิโต และเจ้าหญิงมิชิโกะ แห่งญี่ปุ่น เสด็จฯ เยือนประเทศไทยและเสด็จอีกครั้งเมื่อวันที่ 10 – 11 มีนาคม พ.ศ.2530
27 – 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2525 มกุฎราชกุมาร เจ้าชายอากิฮิโต และเจ้าหญิงมิชิโกะแห่งญี่ปุ่น เสด็จฯ เยือนประเทศไทย เป็นการส่วนพระองค์ในฐานะพระราชอาคันตุกะส่วนพระองค์ และได้เสด็จฯ อีกในปี พ.ศ.2526
เจ้าชายฟูมิฮิโต อายาโนมิยะ ( พระราชโอรสองค์ที่สองในมกุฎราชกุมารอากิฮิโต และเจ้าหญิงมิชิโกะแห่งประเทศญี่ปุ่น ) ได้เสด็จฯ เยือนประเทศไทย เป็นการส่วนพระองค์หลายวาระเช่นกันคือ เมื่อวันที่ 14 – 24 สิงหาคม พ.ศ.2528, วันที่ 20 – 23 สิงหาคม พ.ศ.2529, เดือนสิงหาคม พ.ศ.2530 และวันที่ 17 – 18 กรกฏาคม พ.ศ.2532 และได้เสด็จฯ มาถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนีในปี พ.ศ.2539
7.28 วันที่ 27 กันยายน ถึงวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ.2512 ได้ทรงต้อนรับเจ้าหญิงอเล็กซานดรา แห่งเค้นท์ พระราชวงศ์อังกฤษ ในฐานะพระราชอาคันตุกะส่วนพระองค์
และตลอดมาจนถึง พ.ศ.2547 นี้ พระราชวงศ์ของประเทศทางยุโรป ประเทศญี่ปุ่น ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ฯลฯ ได้เสด็จมาเยือนและมาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์มิได้ขาด อาทิ
ปี พ.ศ.2531 – พ.ศ.2532
กษัตริย์บรูไน พระราชาธิบดีและพระราชินีแห่งมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีประเทศออสเตรเลีย กษัตริย์ประเทศสวีเดน พระเจ้านโรดมสีหนุแห่งประเทศเขมร ได้เสด็จฯ และได้มาเยือนประเทศไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะส่วนพระองค์หรือเป็นทางราชการ
ปี พ.ศ.2539
ในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ.2539 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งประเทศอังกฤษพร้อมด้วยเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการอีกวาระหนึ่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ได้นำเสด็จฯ ทอดพระเนตรโครงการศูนย์ศึกษาพัฒนาภูพาน จังหวัดสกลนคร (หนังสือมูลนิธิชัยพัฒนา. ธันวาคม 2539 : 30–35)
นอกจากนี้เจ้าชายฮิตาชิ ( พระอนุชาแห่งสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิฮิโรฮิโต ) แห่งประเทศญี่ปุ่นและพระชายา อีกทั้งประธานาธิบดี บิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและภริยาได้มาเยือนประเทศไทยด้วย


ประธานาธิบดี บิล คลินตัน และนางฮิลลารี คลินตันเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
8. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงสร้างเสริมความสัมพันธ์ไทย – จีน
( ทบวง มหาวิทยาลัย. เอกกษัตริย์อัจฉริยะ, 2539 : 491-492)


เสด็จสำเพ็ง ปี พ.ศ.2489
เหตุการณ์เสด็จพระราชดำเนินสำเพ็งเมื่อ พ.ศ.2489 น่าจะมีส่วนสร้างความประทับพระราชหฤทัยไม่มากก็น้อย แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระอนุชาธิราช เพราะเมื่อ ทรงรับพระราชภาระขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 แล้วก็ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรที่ปกแผ่ความร่มเย็นเป็นสุขแก่อาณาประชาราษฎรโดยทั่วถ้วน โดยเฉพาะชาวจีนในประเทศไทยแล้ว ทรงมีพระเมตตาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเผื่อแผ่ไปถึงประเทศเมืองแม่คือประเทศจีนด้วย เมื่อประเทศไทยและประเทศจีน ประกาศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2518 และได้มีการแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านต่างๆ มาโดยตลอด อาทิ การแลกเปลี่ยนทางวิชาการด้านวัฒนธรรมระหว่างสถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน ก่อให้เกิดความตื่นตัวอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นจุฬาลง – กรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือมหาวิทยาลัยพายัพ ทางฝ่ายไทย กับสถาบันชนกลุ่มน้อยมณฑลยูนนาน หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางฝ่ายจีน เป็นต้น
ความสัมพันธ์นี้กระชับแน่นขึ้นเมื่อ ประธานาธิบดีหลี่เซียนเหนียน เดินทางมายังประเทศไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะ ในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2528
ภาพเหตุการณ์อันน่าประทับใจพี่น้องไทย – จีน ในคราวนั้นก็บังเกิดขึ้นอีกคำรบหนึ่ง โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประคองท่านประธานาธิบดีวัย 70 ปีเศษลงจากเครื่องบินที่เชียงใหม่ พระราชจริยวัตรอันอ่อนโยนดุจดังกำลังปรนนิบัติต่อญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดนี้ เป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้พบเห็น และสะท้อนถึง พระอุปนิสัยที่ทรงเอื้ออาทรใส่ใจต่อผู้อาวุโสอันเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรม ในสังคมตะวันออกอย่างแท้จริง นอกจากนี้ พระราชดำรัสงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำพระราชทานท่านประธานาธิบดี ซึ่งขออัญเชิญมาเป็นสิริมงคล ณ ที่นี้ ก็มีข้อความที่แสดงถึงน้ำพระราชหฤทัย อันเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวจีนและประเทศจีน บนพื้นฐานของความมีเหตุผล
“… ราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนต่างเป็นอิสระ กำลังมุ่งหน้าเสริมความเจริญทุกๆ ด้านอย่างเร่งรีบ ตามเป้าหมายและแนวทางของตนเองทั้งสองประเทศ จึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องเคารพในอิสรภาพของกันและกันโดยเคร่งครัด พร้อมกับพยายามส่งเสริมความเป็นมิตรและการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ด้วยความเข้าใจอันดีต่อกัน และด้วยความช่วยเหลือกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ …”
ส่วนท่านประธานาธิบดีก็ได้กล่าวตอบพระราชดำรัสว่า
“.. จีนกับไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านต่อกัน ประชาชนทั้งสองประเทศมีประวัติการไปมาหาสู่กันฉันมิตร ย้อนหลังไปได้กว่าสองพันปี มิตรภาพที่มีมาช้านานระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศได้พัฒนาขึ้นสู่ขั้นใหม่ในระยะร่วม 10 ปีมานี้ สัมพันธไมตรีและความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งสองได้คืบหน้าไปทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี …” ( คนจีน 200 ปี . [ มปพ .] : 29)
จากบทบาทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีส่วนสร้างเสริมสายสัมพันธ์ไทย – จีนนี้ ทรงเริ่มจากการสัมผัสวิถีชีวิตสามัญของชาวสำเพ็งสู่ความเป็นวัฒนธรรม และนำมาสู่ความร่วมมือทางการทูต
และเศรษฐกิจในที่สุด จึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ทรงมีส่วนอย่างยิ่งต่อการจรรโลงความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนไทยคนจีน ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนให้มั่นคงสถาพร ทั้งมิใช่จำเพาะพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงสร้างคุณูปการนี้ ยังพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงมีส่วนในการนี้ด้วย ดังที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จเยี่ยมราษฎรชาวจีนที่เยาวราช เมื่อวันที่ 20 มีนาคม และวันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2525 ตามลำดับ เป็นการดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทเนื่องในวาระสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานี 200 ปี ราษฎรชาวจีนได้มีโอกาสชื่นชมพระบารมี ไท่ – จื่อ ( สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ) และ กงจู่ ( สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ) อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะทรงเป็นตัวแทนของประเทศ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเสด็จของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งได้ทรงนิพนธ์หนังสือ ย่ำแดนมังกร และ มุ่งไกลในรอยทราย เป็นภาษาไทย และได้มีการแปลถ่ายทอดจากภาษาไทยเป็นภาษาจีนด้วย นอกจากนี้ก็มีพระนิพนธ์ เหมาโหลถูกกว่า ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นเครื่องร้อยรัดน้ำใจของชนทั้งสองชาติให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะในพระนิพนธ์ “ ย่ำแดนมังกร ” นั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงสามารถปรับภาวะไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่ต้องทรงเผชิญ ตามที่ทางรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจัดถวาย ดังบรรยากาศที่ทรงเล่าเมื่อต้องเสวยซุปตุ๊กแกอันเป็นอาหารชั้นเยี่ยมของจีนว่า
“… การกินอะไรประหลาดๆ นี้ เป็นส่วนของการเจริญสัมพันธไมตรี เราได้รับการอบรมว่า การไปต่างประเทศทุกครั้งเป็นราชการ ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ฉะนั้นก็ไม่มีสิทธิอยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร ไปหรือไม่ไปก็แล้วแต่เจ้าภาพ หน้าที่ของเราคือเป็นตัวแทนของประเทศที่จะนำเอาความปรารถนาดีของชาวไทยไปสู่ประเทศเจ้าภาพ และของประเทศเจ้าภาพไปสู่ประเทศไทย พร้อมทั้งหารือแลกเปลี่ยนความรู้ความร่วมมือบางประการเท่าที่จะทำได้ …” ( วิลาศ มณีวัต . 2543 : 47)
และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุครบ 5 รอบ ในปี พ.ศ.2530 รัฐบาลจีนได้ร่วมใจกับประชาชนชาวไทยในการจัดสร้างสวนหลวง ร 9 เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ในปีนั้น โดยได้จัดส่งช่างฝีมือจากประเทศจีนมาจัดสร้างศาลาแบบศิลปะจีนในสวนหลวง ร 9 ใช้เวลาในการสร้าง 30 วัน (รายละเอียดดูได้จากบทที่ 19 ในหัวข้อ “ สวนหลวง ร 9”)
9. กษัตริย์เนปาล
ครั้งหนึ่งกษัตริย์แห่งประเทศเนปาลได้เสด็จฯ เยือนประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระเมตตาต่อชาวเนปาล ดังที่สุวิชาเขียนไว้ในเรื่องเกร็ดความรู้พระราชทาน (2539 : 139) ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัสต่อครอบครัวของผู้เขียนว่า
“… การเสด็จเยือนของพระเจ้าแผ่นดินเนปาล นอกจากจะเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีแล้ว ยังได้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเช่น ทางเนปาลมีปลาน้อย ปลาหลายอย่างกำลังจะสูญพันธุ์ อาจจะเป็นเพราะเขายังไม่รู้เทคนิคในการประมงจึงได้ส่งคนมาเรียนที่นี่ ที่บ้านเรานี่ทำการประมงเก่ง ทั้งน้ำเค็ม น้ำกร่อย และน้ำจืด ท่านมาคราวนี้เราก็เลยจะขยายความช่วยเหลือทางด้านวิชาการต่างๆ ในการประมง และจะส่งพันธุ์ปลาไปให้ด้วย …”
“… อีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสัตว์ป่า แรดนี่กำลังจะสูญพันธุ์จากเมืองไทย กำลังจะไม่มีแล้ว พอดีที่เนปาลมีแยะ แต่เราไม่กล้าขอเพราะเรารู้ว่าแรดมีราคาแพง ก็ไม่ขอ ท่านเลยถามว่า เราอยากได้ไหม ถ้าอยากได้จะส่งมาให้ ก็เป็นอันว่าเราจะได้แรดจากเนปาล เมื่อได้มาแล้วจะนำไปไว้ที่ภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ใกล้ๆ เขื่อนจุฬาภรณ์ฯ อีกหน่อยก็จะขยายพันธุ์ไปเรื่อยจนเต็มป่า ป่านี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องอนุรักษ์เพราะเป็นเอกลักษณ์ไทยไม่ใช่หรือ ”… “ ต่อไปเมื่อมีสัตว์ป่ามากๆ ก็อาจจะมีผู้ทำเป็นซาฟารี คงจะมีที่พักแรม แล้วอีกหน่อยก็จะมีการท่องเที่ยวตามเข้าไป นี่เป็นโครงการระยะยาว ต้องใช้เวลาอีกหลายปี ..”
10. น้ำพระทัยสู่โซมาเลีย
นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาต่อคนไทยแล้ว ยังทรงพระเมตตาต่อชาวต่างชาติที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารด้วย ทรงมีน้ำพระราชหฤทัยที่กว้างขวางอย่างยิ่ง ในคราวที่โซมาเลียมีปัญหาด้านความลำบากหิวโหย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดส่งข้าวสารไปให้ดังที่สุวิชา (2539 : 159) ได้เล่าไว้ในหนังสือตะวันส่องหล้าว่า

“… กองเรือของเราได้รับมอบหมายในครั้งนี้เป็นภารกิจที่สำคัญมาก นั่นก็คือการลำเลียงข้าวสารจำนวน 500 ตัน ไปประเทศโซมาเลียตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว …”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำริให้รัฐบาลไทยส่งข้าวไปให้ความช่วยเหลือแก่ชาวโซมาเลีย (2 ล้านคน) ซึ่งอยู่ในภาวะอดอยากยากแค้นแสนสาหัส อีก 4 ล้านคนเริ่มขาดแคลนอาหาร โดยผ่านทางโครงการอาหารโลก นอกจากนี้สภากาชาดไทยก็ได้บริจาคข้าวสารผ่านคณะกรรมการระหว่างประเทศอีกจำนวน 200 ตันไปช่วยเหลือโซมาเลียเช่นกัน ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้กองทัพเรือดำเนินการจัดส่งข้าวสารดังกล่าวนี้
คนไทยทุกคนล้วนปลื้มใจ และภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยใต้ร่มพระบารม ีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ซึ่งองค์การต่างๆ และชาวต่างประเทศทั้งหลายล้วนแซ่ซ้องในพระเกียรติคุณ และพระบุญญาบารมีซึ่งมิได้เกิดขึ้นจากการบันดาลดลของเทพเจ้าองค์ใด แต่เกิดจากพระราชจริยวัตรที่งดงามด้วยพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นด้วย พระเมตตาปราณีไม่เลือกชั้นวรรณะ และเชื้อชาติดังมีผู้กล่าวถึงพระองค์ว่า “ พระองค์ผู้ทรงเป็นความมหัศจรรย์ ”